ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 250 คนงามเพราะแต่ง
เอ้อร์ไท่ไท่เซียวซื่อจัดการตรวจสอบสิ่งของในตะกร้าจัดสอบซ้ำแล้วครั้งเล่า ต้องให้นางหลับตาก็จำได้ว่าของชิ้นใดวางอยู่ในตำแหน่งใด จึงจะวางใจ แล้วกำชับกับผู้ติดตามว่า “ถือของของคุณชายใหญ่ให้ดี หากว่าเกิดข้อผิดพลาดขึ้น ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”
ผู้ติดตามของเจียงชังเป็นผู้กระฉับกระเฉง เขาตอบรับออกมาว่า “เอ้อร์ไท่ไท่วางใจเถิดขอรับ คุณชายใหญ่จะนำตำแหน่งจวี่เหรินกลับมามอบให้ท่านอย่างแน่นอน”
เซียวซื่อเม้มริมฝีปากแล้วกล่าวออกมาอย่างเชื่องช้าว่า “เมื่อถึงเวลานั้น แน่นอนว่าข้าจะตกรางวัลเจ้าอย่างงาม”
ในวันที่เจียงชังเดินทางไปก้งย่วนหรือสถานที่จัดสอบส่วนขุนนาง เขาเริ่มเตรียมตัวตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ทุกคนในจวนล้วนออกมาส่งเขา
“ชังเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้กังวลใจไป ทำให้ดีที่สุดตามปกติที่เจ้าเป็น” นายท่านรองเจียงตบลงบนบ่าของเจียงชังเบาๆ
“ลูกเข้าใจแล้วขอรับ”
เซียวซื่อกล่าวตามออกมาด้วยความกังวลว่า “ข้าได้ยินมาว่าด้านในห้องนั้นสภาพย่ำแย่หนักหนา ชังเอ๋อร์ลูกจะต้องดูแลตนเองให้ดี”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของชังเอ๋อร์ “ท่านแม่วางใจเถิด ลูกจะดูแลตนเองเป็นอย่างดีขอรับ”
นายท่านรองเจียงดูเหมือนจะหมดความอดทนขึ้นมา “เอาล่ะ อย่าได้มัวแต่กล่าวเรื่องเหล่านี้เลย ให้ชังเอ๋อร์รีบเดินทางไปที่ก้งย่วนเถิด”
เซียวซื่อยกมือขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าให้แก่เจียงชังและไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก
เจียงชังหันไปคารวะเฝิงเหล่าฮูหยินแล้วกล่าวว่า “ท่านย่า รีบกลับไปพักผ่อนเถิดขอรับ หลานจะเดินทางไปผเดี๋ยวนี้”
เฝิงเหล่าฮูหยินพยายามทำตัวให้สงบ นางพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ไปเถิด เจ้าจงจำคำของบิดาไว้ให้ดี จะไม่มีปัญหาใดผิดพลาดแน่นอน”
เจียงชังยกมือขึ้นคารวะเฝิงเหล่าฮูหยินพร้อมทั้งคนอื่นๆ อีกครั้ง ก่อนจะขึ้นรถม้าแล้วมุ่งหน้าไปทางก้งย่วน
เส้นขอบฟ้าที่มืดสนิทค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีส้ม เช้าวันใหม่เวียนมาถึงอีกครั้ง น้ำค้างแรกของวันปรากฏขึ้น ช่างเป็นวันที่อากาศดีเหลือเกิน
เฝิงเหล่าฮูหยินยังคงยืนอยู่ที่เดิม สายตามองไปยังทิศทางที่เจียงชังจากไปอยู่เนิ่นนาน ในใจของนางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น หลานชายคนโตของนาง ปีนี้อายุได้สิบเก้าแล้ว หากว่าในปีนี้เข้าสอบได้อย่างราบรื่น ปีหน้าในเดือนสองก็จะสามารถเข้าร่วมสอบชุนเหวยได้ หากว่าได้รับคัดเลือกในการสอบชุนเหวย เขาก็จะเข้าตาบรรดาชนชั้นสูงในเมืองหลวง
การสอบคัดเลือกขุนนางนั้นโหดร้ายเพียงใด ผู้ใดบ้างจะไม่รู้ ผู้ที่เข้ารับราชการเป็นจิ้นซื่อตั้งแต่อายุน้อยล้วนเป็นที่ต้องการตัวของทุกคน เมื่อถึงเวลานั้นไม่ต้องกลัวเลยว่าหลานชายคนโตของนางจะไม่มีอนาคตที่ดี หรือไม่มีคู่แต่งงานที่ดี
ในรุ่นลูกของนาง บุตรชายคนรองนับว่ามีอนาคตที่กว้างไกล ส่วนในรุ่นหลาน หลานชายคนโตคาดว่าคงจะสืบทอดกันต่อไปในไม่ช้า ในอนาคตต่อให้จวนปั๋วจะสูญสิ้นตำแหน่งฐานันดรไป ก็ไม่ได้น่ากลัวสักเท่าไร เฝิงเหล่าฮูหยินยิ่งคิดถึงเรื่องเหล่านี้ หัวใจอันห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรงของนางก็ได้กลับมามีพลังอีกครั้ง แม้แต่รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้ายังดูเต่งตึงขึ้นมาเล็กน้อย
“อ้าว พี่ใหญ่ไปแล้วหรือ” เจียงจั้นขยี้ตาและรีบเดินตรงเข้ามา
แม้ว่าโดยส่วนตัวแล้วเจียงจั้นกับเจียงชังจะไม่ได้สนิทกันเท่าไร แต่การสอบขุนนางนับว่าเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลใด คนในตระกูลล้วนออกมาส่งเขา ดังนั้นเจียงจั้นจึงได้รีบตื่นมาแต่เช้าเพื่อส่งเขาไปสอบเช่นกัน
อวี้จิ่นได้แจ้งกับเขาแล้วว่าในไม่ช้าจะต้องไปรายงานตัวที่หน่วยองครักษ์จินอู๋ ดังนั้นในแต่ละวันเขาจึงได้ฝึกฝนร่างกายอย่างหนัก ประกอบกับเป็นชายหนุ่มร่างกายกำยำ จึงทำให้นอนหลับพักผ่อนเป็นเวลานาน เขานอนเลยเวลาโดยไม่ได้ตั้งใจ
เมื่อหันไปเห็นเจียงจั้น เฝิงเหล่าฮูหยินที่เดิมทีเต็มไปด้วยรอยยิ้มก็ค่อยๆ จางหายไปแล้วกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “เจ้ารู้ด้วยหรือว่าต้องตื่นมาส่งพี่ใหญ่เจ้า!”
เจียงจั้นกล่าวออกมาอย่างเคอะเขินว่า “ข้าคิดไม่ถึงว่าพี่ใหญ่จะเดินทางไปเร็วเช่นนี้”
เฝิงเหล่าฮูหยินทำหน้าเคร่งขรึมแล้วยื่นมือออกไปเป็นความหมายว่าให้อาฝูพยุงนางกลับไป กับหลานชายคนนี้ นางไม่อยากจะฝากความหวังอะไรไว้เลยแม้แต่น้อย หากจะให้มองดูอีกสักหน่อย ก็ดูขัดหูขัดตาไปหมด
เจียงจั้นยิ้มออกมาอย่างเก้ๆ กังๆ เรื่องในวันนี้เขาทำไม่ถูกก็จริง แต่ในสายตาของท่านย่าที่แสดงถึงความดูถูกรังเกียจนั้นช่างชัดเจนเหลือเกิน
เซียวซื่อเดินผ่านข้างกายของเจียงจั้นไป นางกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็นว่า “การศึกษาตำราล้วนลำบากเช่นนี้ คุณชายรองกลับไปเถิด บัดนี้ยังเช้านัก กลับไปนอนต่อให้หายขี้เกียจเถอะ”
แน่นอนว่าเจียงอันเฉิงก็ไม่พอใจที่เจียงจั้นเดินทางมาช้า แต่เมื่อนึกถึงความพยายามของบุตรชายในช่วงนี้ เดิมทีที่เขาต้องการจะดุด่า กลับกลืนมันลงไป จากนั้นเดินทางออกไปทำธุระพร้อมกับนายท่านสาม
เจียงซื่ออยู่ในตำแหน่งสุดท้าย นางเดินกลับเข้าไปด้านในพร้อมกับเจียงจั้น
“ดูเหมือนป้าร้องนับวันจะยิ่งประหลาดพิลึกชอบกล” เจียงจั้นกระซิบ
เจียงซื่อมองไปยังร่างของเซียวซื่อที่จากไปพร้อมกับยิ้มขึ้นกล่าวว่า “นั่นสิ เราแต่ละคนล้วนแตกต่างกันไป บางคนเมื่อชีวิตเจอกับสิ่งผิดพลาดก็ยิ่งสงบนิ่ง บางคนเมื่อพบกับความผิดพลาดก็ลืมความสงบนิ่งที่มีไปเสียสนิท”
นึกถึงชาติก่อน เจียงเชี่ยนไม่เคยถูกท่านย่าของนางดูหมิ่นเพราะ ‘ความร้ายกาจ’ ในตัวของนาง และนางก็ไม่เคยกลับไปจวนบ้านเกิดของนางเพราะด้วยความอับอายที่ฉังซิงโหวซื่อจื่อสังหารสตรี เซียวซื่อมักจะรักษาความดีงาม ความรู้สึกเหนือกว่าไว้ต่อหน้าผู้คนในบ้านใหญ่อยู่เสมอ
ส่วนในชาตินี้ ด้วยหลายสิ่งหลายอย่างที่เปลี่ยนไป จึงไม่น่าแปลกใจที่หน้ากากแห่งความเจ้าเล่ห์ของเซียวซื่อจะรักษาไว้ได้ยาก ท่ามกลางความขุ่นเคืองที่สะสมไว้
“ดูท่าแล้วโรคประจำตัวของอาสะใภ้รองคงจะหายขาดสักที” เจียงจั้นกล่าว
เจียงซื่อไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก
เจียงจั้นยิ้มแล้วกล่าวว่า “พี่ใหญ่จะต้องสอบได้แน่ เมื่อถึงเวลานั้น อาสะใภ้รองคงจะได้ใจน่าดู ยังทำเป็นกังวลใจไปได้”
“ก็ไม่แน่หรอกนะ” เจียงซื่อกล่าวออกมาอย่างมีความหมาย
เจียงจั้นเข้าใจว่าประโยคเมื่อครู่เจียงซื่อกล่าวถึงเซียวซื่อจึงไม่ได้คิดอะไรมาก น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนแปลงไปแล้วกล่าวว่า “น้องสี่ พี่อวี๋ชีบอกกับข้าว่าวันพรุ่งนี้ให้ไปรายงานตัวแล้ว ข้าได้รับแผ่นป้ายหมายเลขแล้ว”
เมื่อได้รับป้ายแล้ว เจียงจั้นก็เข้าไปดำรงตำแหน่งองครักษ์จินอู๋ได้อย่างแท้จริง ทำให้เขาวางใจลงไม่น้อย
เจียงซื่อเปลี่ยนจากท่าทางหดหู่เป็นดีอกดีใจ กล่าวว่า “ข้าดีใจกับพี่รองด้วย”
เช้าวันต่อมา เจียงจั้นเดินทางออกไปแต่เช้าตรู่ เมื่อตอนกลับมา เขาสวมชุดสีน้ำเงินดำปักลายด้วยสีทองเป็นชุดขององครักษ์ มองไปช่างงดงามยิ่ง
นายประตูทำหน้าตางุนงงแล้วกล่าวว่า “คุณ คุณชายรอง?”
“ลุงหวังจำข้าไม่ได้หรือ” เจียงจั้นไม่ได้แม้แต่จะขี่ม้ากลับมา เขาเดินเท้าเปล่าแต่รู้สึกกระฉับกระเฉงยิ่งนัก ไม่เหนื่อยแม้แต่น้อย ที่แท้ ความรู้สึกที่ถูกคนอื่นยกย่องมันดีแบบนี้นี่เอง
“คุณชายรองขอรับ ไปยืมชุดจากที่ใดมา ชุดนี้ดูเหมือนจะเป็นชุดขององครักษ์จินอู๋กระมัง” เขาเป็นนายประตูให้แก่จวนตงผิงปั๋วมานานหลายปี พอจะมองออกอยู่บ้าง
เจียงจั้นได้ยินดังนั้นก็แทบจะทรุดลง เหตุใดจึงกล่าวว่าชุดนี้เขาไปยืมใครมา! เป็นเพียงแค่นายประตูธรรมดาๆ กล้าดูถูกเขาถึงเพียงนี้เชียว!
คุณชายรองเจียงยืนนิ่งแล้วยืดอก เขานำมือตบไปที่ดาบซึ่งแขวนไว้ตรงเอว “ลุงหวังว่าอะไรนะ ข้าจะไปยืมชุดของผู้ใดมาเล่า นี่คือชุดของข้าเอง!”
เมื่อกล่าวจบเขาก็เดินยืดตัวตรงเข้าไปข้างใน คนเฝ้าประตูมองไปแล้วบ่นพึมพำด้วยความกังวลว่า “คุณชายรอง แต่งกายเลียนแบบชุดราชการนั้น อาจต้องติดคุกนะขอรับ”
ฝีเท้าของเจียงจั้นชะงักลงแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ บัดนี้เขาเป็นถึงองครักษ์จินอู๋แล้ว อย่างน้อยก็ไม่ควรจะทะเลาะเบาะแว้งกับนายประตู
เรื่องที่เจียงจั้นได้เป็นองครักษ์จินอู๋ถูกเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็ว
เฝิงเหล่าฮูหยินมองเห็นหลานชายที่สวมชุดองครักษ์จินอู๋พอดีตัวยืนอยู่อย่างสง่าผ่าเผย ความรู้สึกของนางก็ซับซ้อนขึ้นทันใด นางคิดว่าชีวิตนี้หลานชายของตนคนนี้คงจะเป็นได้เพียงคนไม่เอาไหน หากเขาไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับตระกูลก็นับว่าเป็นบุญแล้ว คาดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถเข้าไปในหน่วยงานจินอู๋ได้
นายท่านรองเจียงอดไม่ได้ที่จะมองไปทางเจียงซื่อเฉิงแล้วกล่าวว่า “พี่ใหญ่ จั้นเอ๋อร์สามารถเข้าไปในจินอู๋ได้ ท่านคงใช้ความสัมพันธ์ไปมากน่าดู?”
การที่จะเข้าไปในหน่วยองครักษ์จินอู๋ได้ด้วยความสัมพันธ์คงต้องใช้เงินไม่น้อย แต่เขากลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย ฟังแล้วน่าประหลาดจริง
เจียงอันเฉิงยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่มีหนทางเช่นนั้นหรอก จั้นเอ๋อร์มีสหายมากมาย เขาหาทางด้วยตนเอง”
อืม เสี่ยวอวี๋ไม่เลวเลยทีเดียว หากว่าเจียงซื่อพึงพอใจเขาล่ะก็ ตนอยากจะได้มาเป็นลูกเขยเสียจริง แต่เรื่องนี้จะบอกให้ผู้อื่นรู้ไม่ได้
เจียงจั้นกล่าวออกมาอย่างไม่เคยภาคภูมิใจเช่นนี้มาก่อนว่า “ใช่ขอรับท่านอารอง ข้าให้มิตรสหายช่วยเหลือโดยไม่ได้สิ้นเปลืองเงินในจวนแม้แต่อีแปะเดียว”
เซียวซื่อมองไปทางเจียงจั้นที่ดูหยิ่งผยอง นางรู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก ก่อนจะยิ้มแล้วกล่าวว่า “คาดไม่ถึงว่าบัดนี้คุณชายรองจะได้เป็นถึงองครักษ์จินอู๋ แต่เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน นับจากนี้ไปสองพี่น้องพวกเจ้าคนหนึ่งมีความสามารถด้านบู๊ อีกคนหนึ่งมีความสามารถด้านบุ๋น ทั้งสองช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ดียิ่ง”
หึ เป็นองครักษ์จินอู๋แล้วอย่างไร เชิดหน้าชูตาสู้กับจวี่เหรินหรือจิ้นซื่อได้หรือไม่