ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 252 โชคร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เจียงชังช่างโชคร้ายเสียจริง มีผู้เข้าสอบนับพันนับหมื่นคน ห้องถ่ายหนักมีเพียงแค่สิบกว่าห้อง เขากลับถูกจัดให้ไปอยู่ที่ข้างห้องนั้นได้ เป็นไปดังที่นายท่านรองเจียงคิดเอาไว้ หากถูกจัดไปอยู่ที่ข้างห้องถ่ายหนักก็อย่าได้กล่าวถึงเรื่องสอบเลย เพียงแค่มีชีวิตรอดออกมาก็นับว่าบุญแล้ว แต่เจียงชังไม่ใช่คนธรรมดา ตั้งแต่เด็กเขาตั้งมั่นว่าจะต้องเข้าสอบเคอจวี่ให้ได้ เนื่องจากเขามีความพากเพียรเป็นเลิศ ดังนั้นจึงสามารถอดทนมาได้ถึงสองวัน ก่อนจะไม่อาจทนกับกลิ่นเหม็นนี้ได้จนเป็นลมไป
บัดนี้เจียงชังที่นอนอยู่บนเปลหาม และถูกหามเข้าไปด้านในก็ได้ตื่นขึ้น
“ชังเอ๋อร์!” เซียวซื่อล้มลุกคลุกคลานเข้าไป เมื่อมองเห็นท่าทางของลูกชายอย่างชัดเจนแล้ว สมองของนางก็มึนงง เมื่อครั้นเข้าไปในห้องสอบ สีหน้าท่าทางของลูกชายเริงรื่นนัก ทว่าบัดนี้กลับซีดเหลือง แก้มตอบมองไปราวกับป่วยเป็นโรคร้ายระยะสุดท้ายใกล้ตาย
เหตุใดบุตรชายของตนจึงเป็นเช่นนี้ไปได้!
“ชังเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง”
เจียงชังพยายามลืมตาขึ้นเพื่อมองดูมารดา และพบว่านางมีท่าทางตื่นตระหนกไป จึงได้ยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็นว่า “ลูกทำให้ท่านแม่ต้องผิดหวัง…”
หลังจากที่เขาพยายามฝืนกล่าวประโยคนี้ออกมาจบ เจียงชังก็หลับตาและหมดสติลงไปอีกครั้งหนึ่ง
“ชังเอ๋อร์! ชังเอ๋อร์!” เซียวซื่อร้องไห้ออกมาใจแทบขาด นางรู้สึกว่าท้องฟ้ากำลังจะถล่มทลายในวินาทีนี้
ทุกคนที่เหลือนำโดยเฝิงเหล่าฮูหยินก็รีบตรงเข้ามาเช่นกัน
นายท่านรองเจียงตะโกนขึ้นว่า “มัวแต่นั่งร่ำไห้มีประโยชน์อันใด ยังไม่รีบตามหมอมาอีก”
บุตรชายคนโตนี้เพียงแค่โชคไม่ดี ใช่ว่าไม่มีความสามารถ ในเมื่อบัดนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้วคงทำได้แต่รออีกสามปีค่อยสอบใหม่ บัดนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือรักษาร่างกายให้หายดี เพราะร่างกายคืออนาคตของทุกสิ่ง แม้ว่าเขาจะปลอบใจตัวเองเช่นนี้ แต่เมื่อหันไปมองเห็นลูกชายคนโตที่มีท่าทางอันน่าสังเวชเช่นนั้น หัวใจของนายท่านรองเจียงก็รู้สึกอึดอัดแทบหายใจไม่ออก
การที่มีความสามารถแต่ไม่มีโชค มักทำให้ผู้คนกระอักกระอ่วนได้เสมอ
เจียงชังถูกทรมานโดยสภาพแวดล้อมในห้องสอบ หลังจากเชิญหมอมาก็ได้สั่งยาให้สองสามชนิด ในที่สุดร่างกายของเขาก็ค่อยๆ ฟื้นตัว
แม้ว่าร่างกายจะฟื้นตัวแล้ว แต่จิตใจของเขากลับเฉื่อยชา
หลังจากร่ำเรียนศึกษาตำรามาอย่างหนักนานนับสิบปี เดิมทีการสอบชิวเหวยในครั้งนี้เขาควรจะทำให้ทุกคนตกตะลึง ใครจะรู้เล่าว่าเขาโชคร้ายจนกระทั่งไม่อาจทำการสอบในสนามแรกได้เสร็จสิ้นด้วยซ้ำ จะไม่ให้เขารู้สึกปวดใจได้อย่างไร สิ่งที่ทำให้เจียงชังรู้สึกขมขื่นใจไปมากกว่านี้ก็คือ เขาตอบคำถามเกี่ยวกับหนังสือทั้งสี่ได้เป็นอย่างดี อย่าว่าแต่ได้รับคัดเลือกเลย เขาอาจจะสอบติดสามอันดับแรกก็เป็นได้
การสอบระดับท้องถิ่นนี้ ผู้คนกล่าวกันว่าในสามสนามให้ความสำคัญกับสนามแรก และในสนามแรกให้ความสำคัญกับหนังสือทั้งสี่[1]
สนามแรกมีคำถามทั้งสิ้นเจ็ดข้อ ถามเกี่ยวกับหนังสือทั้งสี่สามข้อ และคัมภีร์ทั้งห้า[2]อีกสี่ข้อ ส่วนคำถามจากหนังสือทั้งสี่ในสามข้อนั้นจะเป็นสิ่งตัดสิน ผลสอบในสนามแรก ด้วยเหตุนี้เองผู้เข้าสอบโดยมากจึงเลือกจะทำสามข้อนี้ก่อน
เจียงชังพยายามอดทนต่อกลิ่นเหม็นและตอบคำถามหนังสือทั้งสี่ในสามข้อนั้นออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม น่าเสียดายเหลือเกิน ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่อาจทนได้ นอกเหนือจากความรู้สึกสะอิดสะเอียนนั้นแล้ว เจียงชังยังพยายามจดคำตอบที่เขาเขียนจำเอาไว้อย่างขึ้นใจ
นายท่านรองเจียงที่อ่านคำตอบของเจียงชังแล้วเขาอยากจะอาเจียนออกมาเป็นเลือดเหลือเกิน
ตัวเขาเองก็เป็นจิ้นซื่อ อีกทั้งเคยเข้าศึกษาที่สำนักฮั่นหลิน แน่นอนว่าเขามีแววตาอันโดดเด่น จะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าคำตอบของบุตรชายนั้นวิเศษเพียงใด แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้หัวใจของเขาก็รู้สึกปวดร้าว เหมือนมีเลือดหยด
น่าเสียดาย ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน!
เมื่อคนคนหนึ่งมีความสามารถแข็งแกร่ง ผลงานคงต้องดูที่โชคชะตา คำถามจากหนังสือทั้งสี่ในการสอบคัดเลือกครั้งนี้เจียงชังถนัดยิ่ง หากรออีกสามปีใครจะรู้เล่าว่าผู้ออกข้อสอบจะออกมาในแนวไหน
ตำแหน่งจวี่เหรินที่เดิมทีกำไว้ในมือ บัดนี้บินหายไปแล้ว
นายท่านรองเจียงเดินทางมาปลอบโยนเขาอยู่หลายครั้งหลายครา ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจนำคำตอบของเจียงชังเผยแพร่ออกไป
ในไม่ช้า ผู้ที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับการสอบคัดเลือกในครั้งนี้ก็ได้รับรู้ว่าคุณชายใหญ่แห่งจวนตงผิงปั๋วมีความสามารถเพียงพอที่จะได้รับตำแหน่งเจี่ยหยวน เพียงแต่เขาโชคร้ายที่ถูกจัดไปอยู่ในข้างห้องถ่ายหนัก จึงไม่อาจอยู่จนกระทั่งเสร็จสิ้นการสอบได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่เจียงชังถอนตัวออกจากสนามสอบจึงเป็นเรื่องที่ทุกคนเห็นว่าน่าเสียดายยิ่งนัก
ด้านของเซียวซื่อมีปฏิกิริยามากกว่านายท่านรองเจียงเสียอีก หลายวันมานี้นางไม่อาจกลืนอาหารลงคอได้เลย ในไม่ช้าก็ล้มป่วยจนไม่อาจลุกจากเตียงได้
ผู้คนมากมายเดินทางมาเยี่ยมเยียน เมื่อเซียวซื่อได้ยินเรื่องของบุตรชายจากปากของผู้คนเหล่านี้ยิ่งทำให้นางรู้สึกปวดใจ
จนกระทั่งนายท่านรองเจียงเดินทางมา เซียวซื่อจึงอดไม่ได้ที่จะสะอึกสะอื้นแล้วกล่าวว่า “คำตอบของชังเอ๋อร์ถูกเผยแพร่ออกไปแล้ว บัดนี้ทุกคนล้วนเสียดายแทนเขา และกล่าวว่าเขามีความสามารถที่จะได้รับตำแหน่งเจี่ยหยวน ประโยคนี้หากชังเอ๋อร์ได้ยินขึ้นจะทนไหวได้อย่างไร…”
เมื่อได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของเซียวซื่อ นายท่านรองเจียงก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา และมีความคิดหนึ่งซึ่งดูไร้เหตุผลเกิดขึ้นในใจว่า หากในวันนั้น ตนไม่สนทนากับสตรีผู้นี้เรื่องของห้องถ่ายหนัก บางทีชังเอ๋อร์อาจไม่โชคร้ายเช่นนั้น เป็นเพราะปากอันอัปมงคลของสตรีผู้โง่เง่า
“เจ้าหยุดร้องไห้ได้แล้ว เจ้าจะไปเข้าใจอะไรเล่า!”
เซียวซื่อหยุดสะอื้นไปชั่วครู่ ใบหน้าอันซีดเผือดของนางพยายามเงยหน้ามองดูนายท่านรองเจียง
ภูมิหลังของเซียวซื่อนั้นเป็นเพียงคนธรรมดา เรื่องใหญ่ประการใดนางมักจะฟังตามคำสั่งของนายท่านรองเจียงเสมอ
“ทุกครั้งในการสอบชิวเหวยมีผู้เข้าสอบที่เจ็บป่วยและถอนตัวจากการสอบมากเท่าไหร่ ชังเอ๋อร์เป็นผู้มีความสามารถ แต่บรรดาผู้ที่ถอนตัวออกจากสนามสอบจะไม่มีรายชื่อปรากฏ ใครจะรู้เล่าว่าเขามีความสามารถ จะให้พวกเราคอยตามอธิบายหรือ บัดนี้ การที่เผยแพร่คำตอบของชังเอ๋อร์ออกไป บรรดาผู้ที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ก็จะรู้สึกเสียดายแทนเขายิ่งนัก และจดจำความสามารถของชังเอ๋อร์เอาไว้ หลังจากนี้สามปี ทุกคนก็จะพากันจับตามองเขา สิ่งนี้เป็นผลดีต่อเขายิ่งนัก” นายท่านรองเจียงอธิบายออกมาอย่างอดทน
กล่าวตรงๆ ก็คือ นายท่านรองเจียงพยายามสร้างสถานการณ์เพื่อเจียงชังขึ้น ท่ามกลางความเลวร้ายเช่นนี้ก็เพื่อการเตรียมตัวสอบคัดเลือกในอีกสามปีหน้า
ด้านในเรือนฉือซิน เฝิงเหล่าฮูหยินได้ยินเรื่องที่คนภายนอกพากันกล่าวถึง นางก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
พวกเขากล่าวว่าหลานชายคนโตมีความสามารถที่จะได้เป็นเจี่ยหยวน นางไม่รู้สึกว่าพวกเขากล่าวเกินจริง เมื่อตอนที่หลานชายคนโตเรียนหนังสือ ท่านอาจารย์ผู้ชี้แนะก็ตัดสินยืนยันว่าเขานั้นเหมาะสมที่จะศึกษาตำราเป็นอย่างยิ่ง ในอนาคตบิดาและบุตรชายคู่นี้ล้วนจะได้เป็นจิ้นซื่อทั้งสองรุ่น นับว่าเป็นคำพูดมงคล… ทั้งบิดาและบุตรล้วนได้เป็นจิ้นซื่อ ช่างเป็นภาพที่น่าพอใจเหลือเกิน
เฝิงเหล่าฮูหยินเพียงแค่คิดเรื่องนี้ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบของนางก็กำเริบขึ้น
หากหลานชายคนโตของนางไร้ความสามารถ นางจะไม่กล่าวสิ่งใดเลย แต่เห็นได้ชัดว่าหลานชายคนโตผู้นี้มีความสามารถยิ่งนัก เป็นเพราะโชคไม่ดีจึงพลาดสอบระดับท้องถิ่นในครั้งนี้ไป ช่างน่าอึดอัดใจเหลือเกิน บรรยากาศในจวนตงผิงปั๋วดูย่ำแย่อยู่นับสิบวัน จนทำให้เจียงจั้นไม่กล้าจะโอ้อวดแต่อย่างใด ในแต่ละวันเขาเดินทางไปทำงานที่หน่วยองครักษ์จินอู๋ ในไม่ช้าก็ทำความเคยชินกับตัวตนและอาชีพใหม่นี้ได้
หลังการทดสอบทั้งสามสนามสิ้นสุดลง ในไม่ช้ารายชื่อก็จะถูกนำไปประกาศ เจี่ยหยวนคนแรกกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนทันที
เจี่ยหยวนคนใหม่ คือชายหนุ่มนามว่าเจินเหิง คุณชายผู้มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งเมืองหลวง
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่รายชื่อถูกจัดอันดับออกมาแล้ว เจินเหิงก็เป็นดั่งเช่นเดือนที่มีดาวรายล้อม ไม่รู้ว่าสหายมากมายเพียงใดนำสุรามามอบแก่เขา
ชายหนุ่มรู้สึกภาคภูมิใจยิ่งนัก จึงทำให้ใครบางคนมักไม่ชื่นชอบ กระทั่งพูดจาหยาบคายกระแนะกระแหนว่า “น่าเสียดายเหลือเกินที่คุณชายใหญ่แห่งจวนตงผิงปั๋วเจียงชังไม่อาจทำการสอบได้จนเสร็จ คำตอบของเขานั้นข้าเคยเห็นมาก่อน ช่างมีพรสวรรค์ควรค่าแก่การเป็นเจี่ยหยวนเสียจริง”
เจินเหิงไม่ใช่พวกหนอนหนังสือที่แม้แต่ถูกคนเหยียบย่ำก็จะแสร้งทำเป็นใจกว้าง ดูเหมือนเขาจะไม่อาจเรียนรู้การอดทนอดกลั้นจากบิดามาได้เลย ดังนั้นเขาจึงเลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าวว่ายิ้มแย้มกว่า “ไม่ทราบว่าท่านเคยเห็นคำตอบของข้าแล้วหรือไม่”
เมื่อเขากล่าวจบก็ได้ให้คนไปหยิบพู่กัน กระดาษและหมึกมา ก่อนจะเขียนบทหนึ่งของหนังสือทั้งสี่ออกมาจนจบ หลังจากนั้นก็โยนพู่กันทิ้งไป แล้วผล็อยหลับที่บนโต๊ะ
ผู้ใดจะไม่ให้อภัยชายหนุ่มเจี่ยหยวนที่ดื่มอย่างมึนเมาเล่า?
คำตอบที่เจินเหิงเขียนออกมานั้น ในไม่ช้าก็เผยแพร่ไปให้แก่ผู้อยู่ในเหตุการณ์ทุกคนรับรู้ ต่อจากนั้นก็เผยแพร่ออกไปสู่ด้านนอกอย่างน่าอัศจรรย์
หากกล่าวว่าเจียงชังเป็นผู้มีความสามารถในการศึกษาเล่าเรียน เช่นนั้นเจินเหิงคงจะเป็นอัจฉริยะ หากนำคำตอบของทั้งสองมาวางเทียบกันแล้ว เดิมทีคำตอบของเจียงชังที่ทุกคนได้แต่เสียดายกลับถูกคำตอบอันน่าทึ่งของเจินเหิงบดขยี้เสียจนกลายเป็นขยะไปทันที
————————–
[1] หนังสือทั้งสี่ ได้แก่ หลุนอวี่ เมิ่งจื่อ ต้าเสวีย และจงยง
[2] คัมภีร์ทั้งห้า ได้แก่ ซือจิง ซ่างซู หลี่จี้ โจวอี้ และชุนชิว