ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 261 อันตราย
“ผู้ใด!” ชายผู้มีหนวดเคราครึ้มตะโกนเอ่ยถามขึ้น จากนั้นมองไปยังทิศทางที่สองพี่น้องหลบฝนอยู่
เจียงอีสีหน้าซีดเผือด นางจับมือเจียงซื่อเอาไว้แน่น
ชายผู้สวมชุดยาวมองไปทางชายที่มีหนวดแล้วเอ่ยถามว่า “มีคนหรือ”
ชายเคราครึ้มทำสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะเดินตรงไปที่ต้นไม้ใหญ่ซึ่งสองพี่น้องหลบอยู่ด้านหลัง
ร่างกายของเจียงอีสั่นสะท้านอย่างรุนแรง นางรีบผลักเจียงซื่อไปไว้ข้างหลังโดยสัญชาตญาณ
ลมพัดแรงมากขึ้น จนทำให้กิ่งไม้สั่นไหว ขณะที่ชายเคราครึ้มกำลังเดินเข้าไปใกล้ก็มีกิ่งไม้กิ่งหนึ่งถูกลมพัดหักตกลงมากระเด็นอยู่ตรงหน้าเขา
ชายเคราครึ้มเหยียบข้ามกิ่งไม้นั้นไป ก่อนจะขยี้มันด้วยปลายเท้าโดยไม่ได้ตั้งใจจะหยุดอยู่เพียงที่ตรงนั้น
เจียงอีเอามือปิดปากของตนเองไว้แน่น นางพยายามควบคุมตนเองไม่ให้กรีดร้องออกมา
บัดนี้นางรู้สึกหวาดกลัวจริงๆ
บุรุษที่มีลักษณะเช่นนี้ แม้จะบังเอิญเจอเพราะหลบฝน แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะกระวนกระวายใจ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อครู่นางได้ยินประโยคอันน่าตกใจด้วย
ทำอย่างไรดี หากว่าคนเหล่านี้พบเข้ากับน้องสี่ จะฆ่าปิดปากนางหรือไม่
ไม่ได้การละ ไม่ว่าอย่างไรจะปล่อยให้น้องสี่เกิดเรื่องขึ้นไม่ได้
เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดังขึ้นก้องอยู่ในหูของเจียงอี ท่ามกลางความสิ้นหวัง นางก็เกิดความกล้าหาญขึ้นมา
เจียงอียื่นมือของนางออกไปผลักให้เจียงซื่อหนี แต่กลับพบว่าข้างหลังว่างเปล่า ไม่รู้ว่าเจียงซื่อไปยืนอยู่ข้างหน้านางตั้งแต่เมื่อไหร่
“น้องสี่!” เสียงที่จะตะโกนออกไปถูกกักเก็บไว้ในลำคอ บัดนี้เจียงอีดุจเช่นใบไม้ร่วงท่ามกลางพายุ นางสิ้นหวังทำอะไรไม่ถูก
แต่หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้านางดูค่อนข้างสงบนิ่งอย่างน่าแปลกประหลาดใจ
บัดนี้เจียงซื่อเห็นรองเท้าสีดำคู่หนึ่ง ปรากฏขึ้นจากข้างต้นไม้ นางปล่อยหิ่งห้อยมายาให้ลอยออกไปทันที
หากใช้ตาเปล่าคงมองไม่เห็นว่าหิ่งห้อยมายาได้บินเข้าไปในหูข้างหนึ่งของชายเคราครึ้ม แล้วบินออกมาจากหูอีกข้างหนึ่ง
นัยน์ตาของชายเคราครึ้มที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าพี่น้องทั้งสองคนดูว่างเปล่า
เห็นได้ชัดว่าชายเคราครึ้มผู้นี้เป็นผู้ฝึกวิทยายุทธ์ บุคคลประเภทนี้มักจะมีจิตใจแน่วแน่ ประกอบกับบัดนี้ไม่มีการเอ่ยชวนด้วยวาจาที่เหมาะสม จึงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้หิ่งห้อยมายาสร้างภาพลวงตาให้เขาเห็น
เจียงซื่อรู้ถึงเรื่องนี้ดี เดิมทีนางก็ไม่ได้คาดหวังว่าให้เขาคนนี้มีอาการเกิดภาพลวงตาขึ้น เพียงแค่ต้องการให้เขาสติหลุดลอยไปชั่วครู่เท่านั้น
ขณะเดียวกันที่ชายเคราครึ้มรู้สึกมึนงง เจียงซื่อก็ได้ดีดหนามแหลมที่อยู่ในมือของนางออกไปถูกแขนของชายผู้นั้น
หนวดเคราของเขาสั่นสะท้าน จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตนขยับไม่ได้ ในขณะที่เขามองเห็นสถานการณ์ตรงหน้าได้ชัดเจน ก็พบว่ามีผงสีขาวลอยเข้าไปในดวงตา
ความรู้สึกแสบร้อน ทำให้ใบหน้าของชายเคราครึ้มดูบิดเบี้ยว แต่เขากลับไม่อาจส่งเสียงออกมาได้ อาการชาที่มาจากแขนครอบคลุมไปทุกส่วนของร่างกาย แม้แต่จะส่งเสียงออกมาก็ยังทำไม่ได้
“เกิดอะไรขึ้น” ชายหนุ่มชุดยาวอีกคนรู้สึกประหลาดใจที่เห็นเพื่อนอีกคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่ข้างต้นไม้ไม่ขยับเขยื้อน
ชายเคราครึ้มถูกผงแป้งสีขาวไร้นามบดบังดวงตา และรู้สึกเจ็บปวดจนน้ำตาของเขาไหลออกมาเป็นทาง
ชายชุดคลุมยาวจึงได้เอ่ยถามด้วยเสียงอันดังอีกครั้งว่า “พบอะไรงั้นรึ ทำไมจึงเงียบไป”
แต่คำตอบที่ชายชุดคลุมยาวได้รับนั้นมีเพียงแค่เสียงลมและฝน
“เจ้าทำอะไรกันอยู่แน่!” ในที่สุดชายชุดคลุมยาวก็อดไม่ได้ที่จะเดินตรงไปหาชายเคราครึ้ม
บัดนี้ดวงตาของชายเคราครึ้มเจ็บปวดจนไม่อาจลืมขึ้นมาได้ แต่ทักษะการได้ยินของเขากลับโดดเด่นมากกว่าเดิม เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของสหายเดินตรงเข้ามาใกล้ เขาก็เป็นกังวลมาก แต่บัดนี้อาการชาแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ลำคอของเขาไม่อาจเปล่งเสียงใดๆ ออกมาได้เลย
จากศาลามาถึงข้างต้นไม้ ระยะห่างเพียงไม่กี่ก้าว ในที่สุดชายชุดคลุมยาวก็เดินตรงเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
ไม้ท่อนหนึ่งฟาดลงมาที่ศีรษะของเขาตรงหน้าผากพอดี!
ชายชุดคลุมยาวเป็นลมล้มไปต่อหน้าต่อตาและไปทับร่างของชายมีเคราจังหวะเหมาะเจาะพอดี ทั้งสองคนจึงล้มลงไปกองอยู่ที่พื้น
เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตรงหน้า ทำให้เจียงอีรู้สึกตกตะลึงยิ่ง
ชายชุดคลุมยาวและชายเคราครึ้มล้มลงไปสู่พื้นเสียงดัง ตุ้บ!
เจียงซื่อไม่ลังเลที่จะทุบชายเคราครึ้มลงไปอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็โยนไม้อันแข็งแกร่งที่อยู่ในมือของตนทิ้งไป ก่อนจะหันมาคว้าข้อมือเจียงอีวิ่งหนี
บัดนี้ถูกรายล้อมไปด้วยม่านฝน แต่แม้ทั้งสองจะถูกฝนล้อมเอาไว้ ทว่าเจียงซื่อจะไปมัวสนใจสิ่งต่างๆ มากมายไม่ได้ นางดึงเจียงอีแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ฝนตกลงมาหนักขึ้นกว่าเดิม ถนนกลายเป็นโคลนและทำให้ทั้งสองคนต้องเหยียบย่ำอยู่ในโคลนนั้น
“น้องสี่!” เจียงอีอ้าปากขึ้นทำให้น้ำฝนไหลเข้าไป
เจียงซื่อจับมือของเจียงอีเอาไว้แน่น ฝีเท้าของนางไม่หยุดลงแม้แต่ก้าวเดียว
ความแน่วแน่ของเจียงซื่อทำให้เจียงอีทิ้งความสงสัยและความตื่นตระหนกทุกอย่างไว้เบื้องหลัง ก่อนจะเร่งฝีเท้าไปตามนาง
เดิมทีนางตั้งใจที่จะปกป้องน้องสาว แต่บัดนี้นางกลับกำลังหนีตายและพึ่งพาน้องสาว หากว่านางเป็นตัวถ่วงให้กับน้องสาวอีกล่ะก็ ไม่รู้จะลงโทษตนเองอย่างไรดี
สองพี่น้องพยุงกันวิ่งไปไม่รู้นานเท่าใด ในที่สุดพวกเขาก็เห็นร่มสีเขียวดุจดั่งใบบัวบานรออยู่ท่ามกลางสายฝนบริเวณไกลออกไป จากนั้นก็เข้าใกล้พวกนางขึ้นเรื่อยๆ
“อาหมาน!” เจียงซื่อตะโกนขึ้นอย่างมั่นใจ
นางกลัวเหลือเกินว่าจะคลาดกันกับอาหมาน
หากว่าอาหมานไปยังศาลานั้นแล้วพบเข้ากับชายสองคนเข้าก็คงจะแย่แน่
เจียงซื่อไม่แน่ใจเท่าไรนักว่าชายชุดคลุมยาวจะหมดสติไปนานเท่าไหร่ แต่ชายเคราครึ้มที่ร่างกายมีอาการชา ไม่เท่าไหร่ก็คงจะหายไป ไม้กระบองที่นางฟาดไปยังศีรษะของชายเคราครึ้มคนนั้นคงไม่ถึงแก่ชีวิต ผู้ที่ฝึกวิทยายุทธ์มาคาดว่าคงไม่นานสภาพร่างกายก็คงจะฟื้นขึ้น
หนามแหลมที่เจียงซื่อดีดให้พุ่งไปยังชายเคราครึ้มลึกเพียงไม่กี่นิ้ว ส่วนปลายของหนามนั้นมีพิษกู่ที่นางเลี้ยงเอาไว้ พิษนี้เพียงแค่ทะลุเข้าไปในผิวหนังของมนุษย์ ก็ทำให้ร่างกายของคนเรากลายเป็นอัมพาตได้ในชั่วคราว แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่พิษอยู่ได้ไม่นาน ทว่าคงจะเพียงพอให้พ้นช่วงวิกฤต
สำหรับแท่งไม้ที่ฟาดลงไปยังชายชุดคลุมยาว เจียงซื่อดึงมันออกมาจากเอวของชายเคราครึ้ม นับว่าใช้ของรอบกายได้คุ้มจริงๆ
เรื่องทั้งหมดนี้จะให้เล่าคงใช้เวลายืดยาว แต่แท้จริงแล้วเหตุการณ์เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที จนถึงบัดนี้เจียงอียังคงตกอยู่ในภวังค์ราวกับความฝัน เมื่อเห็นอาหมานและอาหยาเดินตรงเข้ามา นางก็พูดอะไรไม่ออกสักคำ
อาหมานเห็นว่าคุณหนูทั้งสองร่างกายเปียกปอนก็ตกตะลึงและรีบเปิดร่มกางออกเพื่อบังฝนให้แก่เจียงซื่อ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างรีบร้อนว่า “คุณหนูเจ้าคะ ไหนว่าจะรอพวกเราและหลบฝนอยู่ที่ศาลานั่น”
อาหยาเองก็รีบกางร่มให้เจียงอีและเข้าไปพยุงเจียงอีซึ่งบัดนี้ร่างกายอ่อนล้า
เจียงซื่อสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางพูดออกมาอย่างเด็ดขาดว่า “กลับไปที่ห้องรับรองก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ร่มที่กางออกถูกลมพัดไหวไปมา ไม่อาจบดบังเม็ดฝนที่พัดเข้ามาได้ เมื่อนายบ่าวทั้งสี่กลับเข้ามาถึงห้องรับรอง อาหมานและอาหยาที่ถือร่มอยู่นั้นก็ร่างกายเปียกปอนไปกว่าครึ่ง ไม่ต้องพูดถึงเจียงซื่อและเจียงอี
หยดน้ำฝนไหลลงมาตามปลายผมและเสื้อผ้า เกิดเป็นแอ่งน้ำนองบนพื้น
อาหมานวางร่มแล้วกระทืบเท้า “คุณหนูเจ้าคะ บ่าวจะเข้าไปเอาน้ำร้อนมาให้ล้างตัว”
เจียงซื่อเงยหน้ามองไปทางด้านนอก หยาดฝนไหลเป็นม่าน หล่นลงมาตามชายคาระหว่างทางเดิน ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย บางครั้งก็มองเห็นเงาของคนที่เดินผ่านประตูจันทราไปมา
ฝนที่ตกลงมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ทำให้ผู้คนจำนวนมากติดอยู่ที่นี่
เจียงซื่อเหลือบไปมองดูเจียงอีที่ร่างกายเปียกโชก หน้าซีดเผือด นางจึงพยักหน้าแล้วตอบว่า “ไปเถอะ”
เมื่อเห็นว่าอาหมานไปตักน้ำร้อน อาหยาเองก็รีบกล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินเจ้าคะ ประเดี๋ยวบ่าวจะไปตักน้ำกับพี่อาหมาน”
เจียงอีพยักหน้าช้าๆ
แต่เจียงซื่อกลับเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าอยู่ก่อน!”