ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 270 รับบทผู้มีพระคุณ
หญิงสาวดูเหมือนมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเจียงซื่อ เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นผ้าหยาบทั้งตัวแต่ไม่อาจปกปิดความเนียนขาวของผิวได้ รูปหน้าไข่ที่เล็กเท่าฝ่ามือแม้จะเรียกว่าสวยไม่ได้ แต่ความสาวคือต้นทุนที่ดีที่สุด ใครมองก็รู้สึกได้ว่านางเป็นสาวน้อยที่น่ารักคนหนึ่ง
เวลานี้รูปหน้าไข่เนียนขาวของสาวน้อยมีรอยฝ่ามือที่ทั้งแดงและบวม ดูแล้วชวนให้รู้สึกยิ่งน่าสงสารกว่าเดิม
เจียงอีเป็นคนจิตใจดี เมื่อถูกสาวน้อยกอดขาร้องไห้ นัยน์ตาพลันเกิดความทนดูไม่ไหวออกมาเล็กน้อย
เจียงซื่อมองสาวน้อยตรงพื้นอย่างไร้สีหน้า ในใจพลางเกิดความดีใจ เบาะแสที่นางสืบหาอย่างลำบาก ที่แท้ก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้านางแล้ว สาวน้อยคนนี้ ก็คือคนที่พี่ใหญ่บอกเมื่อชาติก่อนว่าไม่ควรช่วย!
ถ้าเช่นนั้น พี่ใหญ่คงจะยอมช่วยสาวน้อยคนนี้ในเร็วๆ นี้แน่
วินาทีนี้ เจียงซื่อลังเลเล็กน้อย
ห้ามพี่ใหญ่ไม่ให้ช่วยนางนั้นไม่ยาก แต่เมื่อชาติก่อน พี่ใหญ่ตกอยู่ในสภาพสิ้นหวังขนาดนั้น เกิดสิ่งใดขึ้นในระหว่างนั้นไม่มีใครทราบ แล้วคนที่พี่ใหญ่เอ่ยถึงว่าไม่ควรช่วยมีบทบาทอย่างไรก็ไม่มีใครทราบ
ตอนนี้ นางให้หญิงสาวคนนี้อยู่ห่างจากพี่ใหญ่ ถ้ามีใครเข้าหาพี่ใหญ่ด้วยวิธีที่ยิ่งคิดไม่ถึงล่ะ!
คนมีเล่ห์เหลี่ยมมักเล่นงานคนที่ไม่ทันคน และทำให้คนๆ นั้นแทบป้องกันไม่ทัน หากเป็นเช่นนี้ ไม่ห้ามพี่ใหญ่ช่วยสาวน้อยน่าจะดีกว่า อย่างน้อยก็มีหนึ่งเป้าหมายให้จับตามอง หลังจากนี้ไม่ว่าสาวน้อยทำร้ายพี่ใหญ่เพราะเหตุผลส่วนตัวหรือมีผู้บงการอยู่เบื้องหลัง ก็สามารถสืบหาได้ทั้งหมด
“ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้!” ชายร่างใหญ่จับสาวน้อยขึ้นมาเหมือนจับลูกเจี๊ยบ
สาวน้อยตกใจวิ่งไปหลบด้านหลังเจียงอี
ชายร่างใหญ่ตัวสูง ขี่ม้าตัวใหญ่ ใบหน้าเนื้อแน่น เจียงอีเห็นก็รู้สึกตื่นตระหนกด้วยคน
จูจื่ออวี้ยื่นมือออกไปขวางชายร่างใหญ่ “มีอะไรคุยกันดีๆ อย่าทำให้ภรรยาข้าตกใจ”
ชายร่างใหญ่มองดูจูจื่ออวี้ เขายิ้มเย็นชาและกล่าว “ข้าแนะนำให้เจ้าอยู่ห่างๆ ไว้ดีกว่า พี่ชายของเด็กคนนี้ติดเงินข้ายี่สิบตำลึง เขาพูดกับปากว่าจะใช้น้องสาวชำระหนี้”
พอพูดถึงตรงนี้ ชายร่างใหญ่ดึงสาวน้อยออกมาอย่างทุลักทุเลโดยไม่สนใจสายตาผู้อื่น “ทุกคนดูนี่ รูปร่างหน้าตาของเจ้าเด็กคนนี้ เงินยี่สิบตำลึงข้าขายได้ถึงสามคน ข้ายอมให้เขาใช้น้องสาวใช้หนี้แทนนับว่าข้าเมตตามากแล้ว…”
สาวน้อยดิ้นรนพร้อมน้ำตา “ปล่อยข้านะ พี่ข้าติดหนี้เจ้า เจ้าก็ไปเอาที่เขาสิ เขามีสิทธิ์อะไรใช้ข้าชำระหนี้แทน”
ชายร่างใหญ่ตบหน้าอีกหนึ่งฉาก “นังพวกสตรี ถ้าจะโทษก็โทษชะตาชีวิตตัวเองสิ ใครให้เจ้าไม่มีแม่ล่ะ การที่พี่ชายเจ้าใช้เจ้าชำระหนี้ ต่อไปนี้เจ้าก็จะเป็นคนบนเรือบุปผาของพวกข้า ถ้าคิดหนีอีก ข้าจะโยนเจ้าลงไปเป็นอาหารของปลา!”
“ไม่ ถึงข้าตายข้าก็ไม่ยอมขึ้นเรือบุปผา ฮูหยิน ได้โปรดช่วยข้าด้วย…”
เจียงอีกัดริมฝีปาก นางลังเลอย่างมาก
หากเป็นวันทั่วไป ถ้าพบเด็กน่าสงสารเช่นนี้ นางจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลืออย่างไม่ลังเล แต่วันนี้น้องสี่นำเรื่องม้าตื่นตกใจไปฟ้องทางการ เป็นการสร้างปัญหาให้กับจวนจูไม่น้อยแล้ว…
แต่คำวิงวอนที่สิ้นหวังของสาวน้อยทำให้เจียงอีไม่สามารถทำเป็นเมินเฉยได้ จึงมองหน้าจูจื่ออวี้
เวลานี้ ในขณะเดียวกัน เจียงซื่อแอบสังเกตอาการของจูจื่ออวี้
ก่อนอื่น รถม้าสูญเสียการควบคุม ตามมาด้วยสาวน้อยขอความช่วยเหลือ เรื่องแรกนางมั่นใจว่าเป็นฝีมือของคน ส่วนเรื่องหลังการปรากฏตัวของคนๆ นี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับจูจื่ออวี้หรือไม่ ยังต้องดูต่อไป
จูจื่ออวี้ปลอบใจเจียงอีและกุมมือนางไว้ พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เจ้าตัดสินใจเถิด”
หางคิ้วเจียงซื่อกระดกขึ้นเล็กน้อย ภายในใจนั้นยิ้มเย็นชา
คำพูดของจูจื่ออวี้สวยหรูมาก ให้เกียรติต่อการตัดสินใจของพี่ใหญ่ทุกเรื่อง แต่ความจริง ใครกันล่ะ ที่จับจุดอ่อนของพี่ใหญ่เอาไว้ แสดงว่า การที่จูจื่ออวี้ไม่ห้าม แปลว่าเขาสุขใจที่เห็นสาวน้อยถูกพี่ใหญ่ช่วย
แต่…เจียงซื่อเหล่ตามองจูจื่ออวี้หนึ่งที ตัดสินใจที่จะยืนยันอีกครั้ง
“หากเป็นเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้น…”
“ช้าก่อน” เจียงซื่อพูดแทรกเจียงอี
เจียงอีมองน้องสาวอย่างงงงวย จูจื่ออวี้ก็มองมาด้วยอีกคน
เจียงซื่อเดินเข้าไปยืนตรงหน้าชายร่างใหญ่
ชายร่างใหญ่ตะลึงงันก่อน จากนั้นก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ว่าอย่างไร เจ้าจะช่วยเหลือนางรึ…”
“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว เท่านี้พอหรือยัง” เจียงซื่อยื่นทองคำก้อนหลายเม็ดออกไป
เมื่อเห็นชายร่างใหญ่ตะลึงงันครู่หนึ่ง เจียงซื่อจึงเอ่ยถามอย่างรำคาญ “อย่าบอกนะว่าเท่านี้ไม่พอชำระยี่สิบตำลึง? เจ้าอย่าหลอกข้าเชียวนะ ข้ามีลุงเป็นขุนนางทำงานอยู่ที่ทางการ เขาไม่ชอบพวกคดโกงเป็นที่สุด”
ชายร่างใหญ่กลอกตามองไปมา พลางหยุดลงที่จูจื่ออวี้
ตอนแรกเขาทำมันไม่ชัดเจนมาก แต่จะทำอย่างไรได้ สิ่งที่เจียงซื่อจะจับตามองก็คือสิ่งนี้ แน่นอนว่านางจับสังเกตได้ในทันที
เจียงซื่อขมวดคิ้วทันใด “แปลว่าไม่พอหรือไม่เอา ช่วยออกเสียงหน่อย”
“พอแล้วขอรับ…” ชายร่างใหญ่อดทนกับความลำบากใจและกล่าว
“หมายความว่าเจ้าไม่เอา?” เจียงซื่อเหลือบตามองสาวน้อยหนึ่งที นางเอ่ยถามพร้อมยิ้มและเหมือนไม่ยิ้ม “หรือว่าจะเก็บคนไว้เป็นนางคณิกาชั้นสูง”
การคัดเลือกนางคณิกาชั้นสูงที่จัดขึ้นสามปีครั้งหนึ่งในเมืองหลวงต้าโจว ถือเป็นงานยิ่งใหญ่ไม่ด้อยไปกว่าการสอบชิวเหวย สถานที่จัดงานอยู่ที่ริมแม่น้ำจินสุ่ย ถึงตอนนั้น แม้แต่เด็กเล็กคนชรา ต่างก็จะเด็ดดอกไม้มอบให้กับหญิงสาวที่แต่งตัวสวย ช่วยสร้างความคึกคัก
พอเจียงซื่อพูดออกไปเช่นนี้ ผู้คนที่ยืนดูความคึกคักก็พากันหัวเราะอย่างอดไม่ได้
สาวน้อยที่ตกที่นั่งลำบาก อย่างมากก็ถือว่าเป็นหญิงสาวสดใสคนหนึ่ง หากส่งไปเป็นสาวรับใช้ของไท่ไท่หรือคุณหนูในตระกูลชั้นสูงก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก แต่หากพูดว่าส่งไปประกวดนางคณิกาชั้นสูง คงน่าขำเกินไป
เห็นได้ชัดว่าชายร่างใหญ่เข้าใจสิ่งนี้ เมื่อถูกเจียงซื่อถามเช่นนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะมองจูจื่ออวี้อีกครั้ง
เจียงซื่อยกคิ้ว “เจ้าช่างเป็นคนแปลกเสียจริง จะรับหรือไม่รับก็พูดตรงๆ เอาแต่มองหน้าพี่เขยข้าทำไมกัน? หรือเจ้ายังคิดจะหาที่พึ่งที่ดีให้กับหญิงสาวคนนี้อีก”
จูจื่ออวี้ได้ยินพลันใจเต้น เขาอยากตอบโต้แต่กลัวว่ายิ่งอธิบายยิ่งไปกันใหญ่ จึงทำได้เพียงปิดปากเงียบสนิท และแอบส่งสายตาให้กับเจียงอี ถึงตอนนี้ เขาเพิ่งจะพบว่า น้องสาวของภรรยาในภาพจำที่วางตัวสูงส่ง มีระดับการเข้าถึงที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
“น้องสี่ พี่มีเงิน…”
“พี่ใหญ่ นี่ไม่ใช่การแย่งกันจ่ายเงินเลี้ยงข้าวนะเจ้าคะ” คำพูดเพียงหนึ่งประโยคขัดขวางความคิดของเจียงอีทันที นางมองชายร่างใหญ่อย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าจะถามอีกครั้ง จะเอาหรือไม่เอา ถ้าไม่เอา ก็ให้คนรีบพาออกไปโดยเร็ว ตอนแรกก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเราอยู่แล้ว”
“เอาๆ!” ชายร่างใหญ่รับท้องคำก้อนแล้วหันหลังจากไปพร้อมกับเพื่อนทันที
“เจ้าลืมให้ของสิ่งหนึ่งกับข้ากระมัง หนังสือขายตัวใช้หนี้ที่พี่ชายของหญิงคนนี้ให้กับพวกเจ้าล่ะ”
ชายร่างใหญ่ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับเจียงซื่อ แล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
เจียงซื่อยื่นหนังสือฉบับนั้นให้กับหญิงสาว พลางยกริมฝีปากขึ้นกล่าว “พี่ใหญ่ เราไปกันเถอะ”
จากนี้ สาวน้อยจะพูดว่าบุญคุณชีวิตนี้ไม่มีสิ่งใดจะตอบแทน ยอมเป็นวัวเป็นม้าอยู่รับใช้แล้วสินะ
เพียงแต่ว่าครั้งนี้ นางเป็นคนควักเงินออกไป แล้วละครของหญิงสาวจะดำเนินต่อไปอย่างไรล่ะ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เจียงซื่อค่อนข้างตั้งตารอการแสดงออกหญิงสาว
และสาวน้อยก็เกิดลังเลขึ้นมาจริงๆ นางมองเจียงอีแล้วมองเจียงซื่อ สุดท้ายเดินเข้าไปคุกเข่าตรงหน้าเจียงซื่อ สองมือยื่นหนังสือออกไป “บุญคุณชีวิตจากคุณหนูข้าไม่มีสิ่งใดตอบแทน ต่อจากนี้ไป ข้ายอมเป็นวัวเป็นม้าอยู่รับใช้คุณหนูเจ้าค่ะ…”
“เป็นวัวเป็นม้า…” เจียงซื่อยิ้มอ่อน “ที่เรือนข้าไม่ขาดวัวม้า อีกอย่าง เจ้าก็เป็นวัวเป็นม้าไม่ได้เหมือนกัน อย่าพูดเพ้อเจ้อเลยดีกว่า”
หญิงสาวตะลึงงัน… นี่มันแตกต่างจากคุณหนูตระกูลชั้นสูงในจินตนาการของนางสิ้นเชิง!