ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 271 รับเลี้ยง
มุมปากของเจียงซื่อมีรอยยิ้มจางๆ แววตาสุขุมนิ่งลึก ให้ความรู้สึกยากที่จะคาดเดา
สาวน้อยร้อนรนเล็กน้อย นางร้องไห้และกล่าว “หากคุณหนูไม่รับข้าไว้ ข้าก็ไม่มีที่ไป ท้ายที่สุด ข้าก็จะถูกขายในซ่องโดยพี่ชายผีพนันของข้า…”
เจียงซื่อถอนหายใจ…ฉะนั้นอย่ารับบทคนดี ไม่เพียงแต่จะทำให้ตัวเองสูญเสียเงินทอง แล้วยังต้องรับผิดชอบอีก
“ถ้าเช่นนั้น จะให้ข้าเรียกคนที่รับทองคำก้อนไปกลับมาหรือ” เจียงซื่อฟังสาวน้อยร้องไห้ไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยถามหน้านิ่ง
เสียงร้องไห้ของสาวน้อยเงียบลง เพราะหยุดกะทันหันจึงสะอึกไปหนึ่งที ใบหน้าพลันแดงและบวมขึ้นมาในทันใด นางมั่นใจแล้วว่า คุณหนูคนตรงหน้าคนนี้แตกต่างจากคุณหนูชนชั้นสูงอื่นๆ!
เมื่อสามารถทำให้สาวน้อยตอบโต้ไม่ได้อีก เจียงซื่อรู้สึกหายใจโล่งขึ้น แม้ว่าจะมีการตัดสินใจที่จะไม่เปลี่ยนแปลงวิถีเดิมชั่วคราว แต่การแสดงละครของคนที่ทำร้ายพี่ใหญ่ ดูแล้วน่าขยะแขยงเสียเหลือเกิน
เจียงอีเอ่ยเตือนอย่างอดไม่ได้ “น้องสี่ หยุดเถอะ”
ท่ามกลางผู้คน หญิงสาวพูดจาแหลมคมมากไปใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดี หากแพร่งกระจายออกไป มีแต่จะทำให้ชื่อเสียงของน้องสี่นั้นแย่
เจียงซื่อเข้าใจถึงความเป็นห่วงของเจียงอี แต่นางไม่คิดเช่นนั้น หากว่าจะปกป้องชื่อเสียงที่ดีด้วยการฝืนทนหรือแม้กระทั่งกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมเพื่อรักษาหน้าทุกฝ่าย ชื่อเสียงที่ดีเช่นนี้ ไม่เอาก็ได้
สาวน้อยหันศีรษะ และคุกเข่าตรงหน้าเจียงอีต่อ “ฮูหยิน ได้โปรดรับข้าไว้ด้วยนะเจ้าคะ ข้าทำเป็นทุกอย่าง ขอแค่ให้ที่อยู่กับข้าสักที่ มีข้าวให้ข้ากินก็พอแล้วเจ้าค่ะ…”
ฝูงชนที่ห้อมล้อมดูความคึกคักมีมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงวิพากษ์วิจารณ์เริ่มดังจนได้ยิน เจียงอีรู้สึกทำอะไรไม่ถูกมาก ลังเลครู่หนึ่งถึงตัดสินใจ “น้องสี่ หากว่าเจ้าไม่สะดวก ก็ให้หญิงผู้นี้ไปกับข้าเถอะ สภาพนางเช่นนี้ ถ้ากลับไป ก็ไม่มีทางรอดเหมือนกัน…”
หญิงสาวผู้ไม่มีบิดามารดาให้พึ่งพา เคยถูกพี่ชายขายตัวหนึ่งครั้ง ย่อมมีครั้งที่สอง หากรับหญิงผู้นี้มาไว้ ก็นับว่าเป็นการช่วยจนสุดทางแล้ว เจียงซื่อถอนหายใจอยู่ภายในใจ เป็นไปตามคาด ถึงนางเป็นคนออกเงินซื้อตัวหญิงสาว แต่ภายใต้เหตุการณ์ที่ไม่มีการขัดขวาง ท้ายที่สุดหญิงสาวก็ได้อยู่กับพี่ใหญ่อยู่ดี
หญิงสาวดีใจมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น พลันก้มหัวให้กับเจียงอี ปึกๆ หลายที “ขอบคุณฮูหยินมากเจ้าค่ะๆ…”
เจียงอีรีบดึงหญิงสาวขึ้นมา “ไม่ต้องทำถึงเช่นนี้ ข้ายังไม่รู้ชื่อของเจ้าเลย”
“บ่าวมีชื่อว่า ฉิงเอ๋อร์เจ้าค่ะ หากฮูหยินรู้สึกว่าเป็นชื่อที่ไม่ดี ได้โปรดตั้งชื่อใหม่ให้บ่าวด้วยนะเจ้าคะ” ผู้หญิงคนนี้เป็นคนฉลาด นางเปลี่ยนคำเรียกแทนตัวเองอย่างรวดเร็ว
เจียงอียิ้ม “ฉิงเทียน…ท้องฟ้าปลอดโปร่งหลังฝนตก นี่เป็นชื่อที่ดีแล้วไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน ต่อไปนี้ก็เรียกเจ้าว่าฉิงเอ๋อร์นั่นล่ะ”
เจียงอีไม่อยากอยู่นานให้คนมุงดู จึงให้สัญญาณแก่อาจูให้พาฉิงเอ๋อร์ไปยังด้านหลังรถม้า
“อีเหนียง พวกเจ้าก็ขึ้นรถม้าเถอะ” เมื่อเห็นว่าสายตาของเจียงอียังจับจ้องอยู่ที่ด้านหลังของรถม้า จูจื่ออวี้จึงยิ้ม “สาวน้อยคนหนึ่งเท่านั้นเอง หากว่านางมีพรหมลิขิตกับเจ้า ก็ให้อยู่ที่เรือนของเรา แต่ถ้าหากเจ้าไม่ชอบ ก็ส่งไปทำงานที่ไหนสักที่หนึ่งก็พอ ไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ”
ความเอาใจใส่ของจูจื่ออวี้ทำให้เจียงอียิ้มอย่างอ่อนโยน “ที่อื่นได้จัดคนไว้เรียบร้อยแล้ว ช่างเถอะเจ้าค่ะ ให้นางอยู่ที่เรือน ดูแลเรื่องกวาดพื้นรดน้ำก็ได้เจ้าค่ะ”
ที่อาศัยของฉิงเอ๋อร์ถูกกำหนดเสร็จสิ้นในหนึ่งประโยค ทำให้เจียงซื่อยิ่งมั่นใจได้ว่า ฉิงเอ๋อร์คือคนที่พี่ใหญ่เอ่ยถึงเมื่อชาติก่อนไม่มีผิดแน่
หลังจากขึ้นรถม้า คิ้วที่ย่นของเจียงซื่อได้ดึงดูดความสนใจของเจียงอี “น้องสี่ เจ้าไม่ดีใจที่ข้ารับเลี้ยงฉิงเอ๋อร์รึ”
เจียงซื่อเงยหน้าขึ้นสบตากับเจียงอี ยังคงไม่เอ่ยคำใด
เจียงอีถอนหายใจพลางดึงเจียงซื่อมาเกลี้ยกล่อม “น้องสี่ เจ้าช่วยฉิงเอ๋อร์แก้ไขปัญหาใหญ่ เป็นการแสดงความมีน้ำใจอันเป็นที่รู้จักกันดี เช่นนั้น จะแข็งกระด้างเพื่อสิ่งใดอีก คนอย่างพวกเราไม่ขาดของกินของใช้ ฉิงเอ๋อร์กลับบ้านมีแต่ทางตัน หากทำเช่นนี้ลงไป ความดีของเจ้าจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องในสายตาผู้อื่นได้…”
เจียงซื่อขมวดคิ้วและพูดแทรกเจียงอี “พี่ใหญ่ ความคิดของคนอื่นสำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ”
เจียงอีนิ่ง ในใจพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา ความคิดของคนอื่นไม่สำคัญหรอกหรือ
นี่คือความแตกต่างของสองพี่น้อง ถึงจะไม่เคยผ่านการกลับชาติมาเกิด เจียงซื่อก็หาใช่คนที่มีนิสัยซื่อตรงไม่ ชาติที่แล้ว นางมีนิสัยถึงขั้นทำตามใจตัวเองมากกว่า ส่วนเจียงอีเป็นคุณหนูที่ตรงตามมาตรฐานของตระกูลผู้ดีเสมอมา ทำตามกฎเกณฑ์ทุกระเบียบนิ้ว
“พี่ใหญ่ ยังจำคำพูดที่ข้าพูดไว้เมื่อตอนอยู่ที่วัดไป๋อวิ๋นหรือไม่”
เมื่อพูดถึงวัดไป๋อวิ๋น สีหน้าของเจียงอีซีดลงอย่างอดไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนั้น สำหรับนางมันไม่มีความทรงจำที่ดีเท่าไร เกรงว่าในอนาคตก็จะไม่ไปที่นั่นอีกพักใหญ่
“พี่ใหญ่ ข้าพูดกับพี่ว่าข้าฝันเห็นพี่ช่วยงูตัวหนึ่งมิใช่หรือ แต่งูตัวนั้นกลับแว้งกัดพี่หนึ่งที…”
เจียงอีใจเต้น “เจ้าหมายความว่า…”
“เรื่องราวทั้งหมดบังเอิญเกินไป ข้าเพิ่งฝัน ฉิงเอ๋อร์ก็ปรากฏตัวขึ้น ข้าเลยรู้สึกว่าความฝันนี้ต้องเป็นคำเตือนแน่ๆ!”
เจียงอีรู้สึกยากที่จะเชื่อ จึงบ่น “แต่คนที่ช่วยฉิงเอ๋อร์คือน้องสี่…”
เจียงซื่อเกือบจะโกรธ จึงกล่าวออกไปอย่างจนใจ “พี่ใหญ่ ถ้าข้าไม่ออกหน้าแทน คนที่ช่วยฉิงเอ๋อร์จะเป็นใครกันเล่า”
เจียงอีสะอึก…หากไม่มีน้องสี่แทรกเข้ามา อย่างไรเสีย นางก็เลือกช่วยคน
“พี่ใหญ่ พี่ลองจับตาฉิงเอ๋อร์ลับๆ ดูก็ได้ คอยสังเกตพฤติกรรมของนางเอาไว้ อย่าให้นางเล่นงานพี่ได้” เจียงซื่อกลัวเจียงอีไม่คิดเช่นนั้น จึงกล่าวย้ำ “อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน หากว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับพี่ คนที่น่าสงสารที่สุดคือเยียนๆ”
เจียงอีพยักหน้า “น้องสี่ไม่ต้องเป็นห่วง พี่จะคอยสังเกตนะ”
ถึงแม้เจียงอีจะรู้สึกว่ายากที่จะจินตนาการออกว่าบ่าวรับใช้รดน้ำกวาดพื้นคนใหม่คนหนึ่งจะเล่นงานมาถึงนางได้อย่างไร แต่ในเมื่อน้องสี่ฝันประหลาดเช่นนี้ เพื่อเยียนๆ นางควรจะสนใจจริงๆ
แน่นอนว่าเจียงซื่อไม่มีทางปล่อยวางเพราะเจียงอีพยักหน้า ภายในใจมีแผนการอื่นเรียบร้อย
เจียงอีรู้สึกหนักใจ เมื่อนึกถึงเรื่องที่น้องสาวฟ้องทางการ ก็หน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมา
“ช้าก่อน นี่จะไปที่ใด” มีเสียงของจูจื่ออวี้ดังขึ้นมาจากด้านนอก
เหล่าฉินเอ่ยตอบ “คุณหนูแจ้งให้กลับจวนปั๋วขอรับ”
จูจื่ออวี้ดึงเชือกและตะโกน “หยุดก่อน!”
รถม้าเลยผ่านจูจื่ออวี้ไปช้าๆ ตามมาด้วยการฟาดลงไปของเหล่าฉิน ม้าที่ดึงรถม้าพลันยกเท้าขึ้นและเริ่มวิ่งเร็ว รถม้าไกลออกไปในพริบตาเดียว เหลือไว้เพียงจูจื่ออวี้ที่สำลักผงฝุ่น
ความเร็วของรถม้าที่เพิ่มขึ้นกะทันหันทำให้เจียงอีตกใจมาก นางจับผนังรถม้าและมองออกไป พลางเห็นว่าจูจื่ออวี้ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง จึงกล่าวอย่างร้อนใจ “น้องสี่ เกิดอะไรขึ้น”
เจียงซื่อยิ้มแหยๆ ปลอบใจ “พี่ใหญ่อย่าได้ใจร้อนไป เรากลับจวนปั๋วก่อน แล้วนำเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้บอกกับท่านพ่อเสียหน่อย”
เจียงอีคิดไม่ถึงว่าเจียงซื่อคิดทำจริงๆ สีหน้าและแววตาแสดงไว้ด้วยความร้อนรน “นี่เป็นเรื่องของจวนจูนะน้องสี่ หากกลับถึงจวนแล้ว ข้าจะตรวจสอบพร้อมกับพี่เขยเจ้าอย่างละเอียด เหตุใดถึงต้องไปจวนปั๋วแล้วทำให้ท่านพ่อมิสบายใจอีกเล่า”
เจียงซื่อไม่รู้สึกหวั่นไหวใดๆ “พี่ใหญ่นั่งดีแล้วใช่หรือไม่”
“น้องสี่…”
ไม่ว่าเจียงอีจะรู้สึกกังวลเพียงใด ภายใต้การบังคับรถม้าของเหล่าฉิน รถม้าก็ได้จอดอยู่ด้านหน้าประตูจวนตงผิงปั๋วอย่างรวดเร็ว เจียงอีเป็นคนยอมคนง่าย เมื่อมาถึงขนาดนี้ ก็คงทำได้เพียงเดินตามเจียงซื่อเข้าไปข้างใน เจียงซื่อเพิ่งก้าวข้ามประตูใหญ่จวนปั๋ว พลันเกิดความรู้สึกผิดปกติบางอย่างขึ้นมาทันที