ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 275 เปรียบเทียบ
การถามย้ำของอวี้จิ่นทำให้จูฮูหยินยิ่งโมโห
นางจะรู้ได้อย่างไรว่าทำไมบุตรชายถึงยังไม่กลับมา ลูกสะใภ้คนโตแค่ไปไหว้พระแต่สร้างเรื่องใหญ่โตกลับมา จนถึงตอนนี้นางยังมึนงงไม่หาย
เมื่อเห็นว่าจูฮูหยินไม่ตอบ อวี้จิ่นไม่คิดจะทำให้ลำบากใจอีก จึงหันไปลูบหัวเอ้อร์หนิวเป็นพักๆ
สายตาของจูฮูหยินไม่ขยับไปไหน ยังจับจ้องอยู่แต่กับสุนัขตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ อวี้จิ่น
สุนัขตัวใหญ่เท่าครึ่งตัวคน พอมันนั่งลง ก็ชวนให้รู้สึกอึดอัดอย่างน่ากลัว
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของจูฮูหยิน เอ้อร์หนิวบิดหัวเงียบๆ
น่าเบื่อจริงๆ เจ้านายพามันมาที่นี่ทำไมกัน ที่นี่ไม่มีทั้งนายหญิงและกระดูก
สีหน้าและท่าทางของจูฮูหยินบิดเบือนไปเล็กน้อย
นางตาฝาดไปแล้วหรือ นางเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจในดวงตาของสุนัขตัวนี้
ความไม่พอใจของจูฮูหยินที่มีต่ออวี้จิ่นเพิ่มมากขึ้นอีกขั้น ไม่เคยพบเห็นใครพาสุนัขมาไขคดี!
ห้องโถงบุปผานี้นางเอาไว้รับรองแขกที่คัดเลือกอย่างพิถีพิถันเสมอ กับกลุ่มคนหยาบคายนางไม่เคยคิดจะมีปฏิสัมพันธ์ด้วยเลย แต่ตอนนี้ มีสุนัขหนึ่งตัวเข้ามาอยู่ในห้องนี้อย่างผ่าเผย จูฮูหยินรู้สึกกลุ้มใจเป็นเนืองๆ
สาวรับใช้สวมใส่ชุดสีฟ้าครามคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าที่เร่งรีบ “ฮูหยิน นายท่านกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
ไม่นาน เสียงฝีเท้าที่ก้าว ฉับๆ อย่างไวก็ดังขึ้น ชายวัยกลางคนเดินตรงเข้ามากุมมือประสานให้กับอวี้จิ่นและกล่าว “ข้าขออภัยที่ทำให้ท่านอ๋องคอยนาน”
อวี้จิ่นยิ้ม “มิเป็นไร”
จูเส้าชิงมองหน้าจูฮูหยิน “เกิดอะไรขึ้น”
จูฮูหยินกล่าว “วันนี้จื่ออวี้ไปไหว้พระเป็นเพื่อนลูกสะใภ้แซ่เจียง แต่เมื่อสักครู่ท่านอ๋องก็นำเจ้าหน้าที่ศาลาว่าการพระนครมาถึงที่นี่ รายงานว่าคุณหนูเจียงสี่ฟ้องตระกูลเราต่อทางการ จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นเจ้าค่ะ”
จูเส้าชิงมองหน้าอวี้จิ่น “ท่านอ๋อง…”
อวี้จิ่นลูบศีรษะเอ้อร์หนิวไปมา ยิ้มและกล่าว “เรื่องนี้ รอให้ผู้ร้องทุกข์มาพูดรายละเอียดเองดีกว่า”
มุมปากของจูเส้าชิงกระดกขึ้น เขายิ้มแห้งและกล่าว “ท่านอ๋องบอกกล่าวสถานการณ์กับข้าสักหน่อยดีกว่าขอรับ ข้าจะได้ไม่มึนงง”
อวี้จิ่นยิ้มและส่ายหัว และเผยใบหน้าที่เดาไม่ออก
ก่อนจะได้พบหน้าอาซื่อ เขาไม่มีทางพูดมั่วๆ แน่ ไม่เช่นนั้น เขาให้ความร่วมมือได้ไม่ดีในตอนนั้นจะทำอย่างไร
ส่วนความเป็นกลางและความยุติธรรม เหอะๆ ไม่เคยมีหรอก เห็นเขาเป็นคนประเภทช่วยคนนอกไม่ช่วยคนใน? หึ ไม่ใช่เขา
จูเส้าชิงจนปัญญา
เป็นถึงท่านอ๋องแต่ไม่ยอมพูด เขาคงบีบบังคับไม่ได้ด้วยเช่นกัน
บรรยากาศภายในห้องโถงพลันสงบลง แต่อวี้จิ่นไม่สนใจ เขายังคงลูบขนสุนัขตัวใหญ่ต่อไป
เมื่อเห็นขนสุนัขร่วงหล่นเต็มพื้น จูฮูหยินอยากเรียกสาวรับใช้เข้ามาเก็บออกไปถึงหลายครั้ง แต่ก็เก็บความอยากนี้เข้าไปอย่างกล้ำกลืนฝืนทน และแล้วก็มีสาวรับใช้เดินเข้ามารายงานว่าจูจื่ออวี้และคนอื่นๆ กลับมาถึงจวนแล้ว จูเส้าชิงสองสามีภรรยาเดินออกไปต้อนรับทันทีแทบรอไม่ไหว
เวลานี้ อวี้จิ่นกลับทำอะไรช้าลง เขาปัดผงฝุ่นบนเสื้อผ้าที่ไม่มีอยู่จริง แล้วจึงยืดหลังตรงและเดินออกไป
คนจำนวนหนึ่งทยอยเดินเข้ามา อวี้จิ่นมองแวบเดียวก็เห็นสาวน้อยที่มีใบหน้าเย็นชาคนนั้น
อืม ทุกครั้งที่พบหน้า อาซื่อมีท่าทีแค้นฝังใจตลอดเวลา สาวน้อยคนหนึ่งจะมีความกังวลมากมายเช่นนี้ทำไมกันนะ
อวี้จิ่นเอ็นดูได้ครู่หนึ่ง ก็เห็นเจียงอันเฉิงที่อยู่ข้างๆ เจียงซื่อ สีหน้าพลันแข็งทื่อในทันใด
เกิดอะไรขึ้น เหตุใดบิดาของอาซื่อตามมาด้วย
เขา เขายังเตรียมตัวไม่พร้อมเลย!
ตอนแรก อวี้จิ่นได้ปลอมตัวเป็นคนในครอบครัวธรรมดา พึ่งพาตัวเองได้และเป็นคนดีที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นเวลาอยู่ต่อหน้าเจียงอันเฉิงได้อย่างสำเร็จ เขาสามารถไปเป็นแขกที่จวนตงผิงปั๋วได้ทุกเวลา ตอนนี้หากสถานะจริงถูกเปิดเผย แล้วในอนาคตพ่อตารับไม่ได้จะทำอย่างไร
เมื่อคิดได้เช่นนี้ อวี้จิ่นเริ่มกังวล หยดเหงื่อเริ่มไหลลงจากหน้าผาก
จูเส้าชิงเดินเข้าไปต้อนรับ ถึงแม้การปรากฏตัวของเจียงอันเฉิงนั้นทำให้เขาประหลาดใจ แต่ก็ยังเก็บความรู้สึกนั้นไว้ เขายิ้มและกล่าว “พ่อตาของลูกชายมาด้วยหรือ”
เจียงอันเฉิงส่งเสียง ฮึ่ม หนึ่งที “ถ้ายังไม่มา ลูกสาวข้าคงถูกทำร้ายจนเสียชีวิตไปแล้ว อย่างไรก็ต้องมา”
“หมายความเช่นไรขอรับ” จูเส้าชิงชำเหลืองมองจูจื่ออวี้หนึ่งทีอย่างเร็ว หน้าที่เห็นคือหน้าความลำบากใจ
“ให้บุตรชายท่านพูดเองดีกว่า” เจียงอันเฉิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ความไม่พอใจที่มีต่อลูกเขยได้เพิ่มขึ้นจนถึงขีดสูงสุด
บุตรสาวคนโตบอกกับตนเสมอว่าพวกเขาสองสามีภรรยารักใคร่กลมเกลียวกันมาก คิดไม่ถึงว่าตระกูลแม่สามีจะก่อเรื่องทำร้ายชีวิตเช่นนี้ขึ้นมาได้ สามีเช่นนี้เอาไว้แล้วจะมีประโยชน์อย่างไร
เจียงอันเฉิงกำลังบ่นอยู่ในใจ พลางเหลือบไปเห็นอวี้จิ่น ก็อดชะงักไม่ได้
เหตุใดเสี่ยวอวี๋ถึงอยู่ที่นี่
ครุ่นคิดครู่หนึ่ง เจียงอันเฉิงก็เข้าใจ ใช่ เสี่ยวอวี๋ทำงานกับพี่เจิน ซื่อเอ๋อร์ส่งอาหมานไปร้องทุกข์ที่ศาลาว่าการพระนคร เสี่ยวอวี๋พาเจ้าหน้าที่มาจวนจูก็เป็นไปตามที่ควรจะเป็น
เขามองบุตรสาวคนเล็ก แล้วมองเสี่ยวอวี๋ที่เขาชื่นชอบจากใจจริง เจียงอันเฉิงพลันรู้สึกว่าการมาในครั้งนี้เขามาได้ถูกเวลามาก ไม่แน่ พอหนุ่มสาวได้สบตากันและกันและเกิดชอบใจขึ้นมา ถ้าเช่นนั้นเขาก็เบาใจลงได้
เจียงอันเฉิงไม่ได้กังวลเสี่ยวอวี๋ ด้วยรูปร่างหน้าตาของซื่อเอ๋อร์ ถ้าบุรุษคนใดไม่ชอบ คนนั้นก็คือคนตาบอด แล้วคนตาบอดเช่นนี้ไม่เอาก็ไม่เป็นไร
เขาเป็นห่วงบุตรสาว แม้แต่ผู้ที่สอบได้ที่หนึ่งของท้องถิ่นบุตรสาวยังไม่ชอบ ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป คงมิใช่ว่าต้องอยู่ที่เรือนตัวเองไปตลอดชีวิตหรอกกระมัง ถึงแม้ว่าการมีบุตรสาวอยู่ข้างกายนั้นคือความโชคดี แต่เขาก็กลัวว่าในวันหนึ่งบุตรสาวอายุมากขึ้นแล้วรู้สึกว่าคิดผิด
อวี้จิ่นขนลุกไปทั้งตัวต่อสายตาที่ถูกเจียงอันเฉิงมองมา โชคดีที่เวลานี้จูจื่ออวี้ส่งเสียงขึ้นมา แล้วบอกเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดหนึ่งรอบ ตบท้ายด้วย “เข็มแท่งนั้นทิ่มลงที่ก้นม้าอย่างไรคงอธิบายยาก จริงๆ ก็มิควรทำให้ศาลาว่าการพระนครต้องลำบากเลยขอรับ…”
“ไม่ควรอย่างไร” เจียงอันเฉิงยิ้มเย็นชา “ลูกเขย ข้าฟังที่เจ้าพูดแล้วรู้สึกว่าเจ้าปกป้องคนขับรถม้ามากไปกระมัง หรือว่าความปลอดภัยของอีเอ๋อร์ในสายตาเจ้า ไม่สำคัญเท่าคนขับรถม้า”
จูจื่ออวี้พลันรู้สึกหัวโตเท่ากระบวย จึงรีบกล่าว “ท่านพ่อเข้าใจผิดแล้วขอรับ ข้าหมายความว่าไฟในอย่านำออกไฟนอกอย่านำเข้าขอรับ ส่วนใครที่คิดจะทำร้ายอีเหนียง ข้าจะหาตัวออกมาลงโทษให้หนัก”
อวี้จิ่นไอค่อกแค่กหนักๆ หนึ่งที “ควรจะให้เจ้าหน้าที่ทางการแทรกแซงหรือไม่ ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว ไหนๆ ก็ร้องทุกข์ไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ให้คนขับรถม้ามาตอบคำถามดีกว่า”
เจียงอันเฉิงพลันรู้สึกชอบใจเสี่ยวอวี๋ที่ไม่ได้พบหน้ามาหลายวันมากขึ้นกว่าเดิม ดีกว่าลูกเขยคนโตที่ไร้ยางอายมาก กำลังจะเอ่ยทักทายอวี้จิ่น ก็เห็นฝ่ายตรงข้ามส่งสายตา ปริบๆ มาให้
เจียงอันเฉิงชะงักก่อนแล้วตามด้วยการเข้าใจ ห้ามทำให้จวนจูจับสังเกตได้ว่าเขากับเสี่ยวอวี๋รู้จักกัน ไม่เช่นนั้น อาจกลายเป็นขี้ปากได้
นายท่านใหญ่เจียงผู้มีปฏิกิริยาการตอบสนองอย่างว่องไว พยักหน้ากลับให้กับอวี้จิ่นอย่างลับๆ อันเป็นการแสดงว่าให้วางใจได้
อวี้จิ่นวางใจลงได้ครึ่งหนึ่ง
อืม หลอกพ่อของอาซื่อไปได้ชั่วคราว ยังมีจูเส้าชิงที่ต้องการจัดการ
“ท่าน…” จูเส้าชิงเพิ่งเอ่ยเสียง ก็เห็นอวี้จิ่นส่งสายตามาให้
ชายหนุ่มรูปร่างหน้าตางดงามสง่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาแหลมคมคู่นั้นที่ส่งมาช่างไม่ต่างไปจากสายตาแห่งการแสดงความรัก
คำว่า “อ๋อง” ที่ต่อท้าย จูเส้าชิงลืมพูดออกมา จากนั้นพลันไอขึ้นอย่างรุนแรง
เมื่อกลับคืนสู่ปกติ จูเส้าชิงพลันคิดได้เรื่องหนึ่ง ดูจากท่าทางแล้ว ตงผิงปั๋วไม่รู้สถานะของเยี่ยนอ๋อง ถ้าเช่นนั้นเขาไม่จำเป็นต้องพูดออกมา ด้วยนิสัยของตงผิงปั๋ว พูดเพียงไม่กี่ประโยคก็คงจะทำให้เยี่ยนอ๋องขุ่นเคืองได้แน่ ถึงตอนนั้น จวนจูก็ย่อมได้รับผลดีไปโดยปริยาย
จูเส้าชิงเปลี่ยนคำสรรพนามตามสถานการณ์ “ข้าลืมแนะนำบุคคลหนึ่งให้ท่าน ท่านผู้นี้คือลูกน้องของใต้เท้าเจินแห่งศาลาว่าการพระนคร ครั้งนี้ เขามาที่นี่เพื่อจัดการเรื่องนี้”
เจียงอันเฉิงตอบกลับอืมอย่างไม่สบอารมณ์
อวี้จิ่นใช้การส่งสายตาอยู่สองครั้งในการจัดการปกปิดสถานะของตัวเอง จากนั้นแอบมองเจียงซื่อหนึ่งที