ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 305 หาหลักฐาน
เหล่าอวี๋กลัวจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ครั้นปีนขึ้นมาได้แล้วก็สับเท้าวิ่งหนีทันที แต่ระหว่างทางกลับถูกกำแพงสูงขวางทางไว้ แต่ชายหนุ่มแยกไม่ออกเลยว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือกำแพงหรือประตูกันแน่ เขาเพียงแต่ออกแรงทุบอย่างเอาเป็นเอาตาย
จู่ๆ ก็มีเสียงราบเรียบดังขึ้นจากด้านหลัง “ทำเช่นนี้คงไม่มีทางออกไปได้หรอก”
เหล่าอวี๋ชะงักค้างก่อนจะรีบหันกลับมา
ถึงแม้บริเวณที่เขายืนอยู่จะดูสลัวอยู่บ้าง แต่หากเทียบกับในโลงศพที่มืดสนิทแล้ว เขาก็ยังสามารถมองเห็นว่ามีเงาคล้ำของร่างมนุษย์ผู้หนึ่งยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกล
เหล่าอวี๋กลัวจนทั้งร่างลื่นไหลลงไปกองอยู่ที่พื้น ที่หว่างขาชุ่มโชกพร้อมกับมีน้ำหยดติ๋งๆ
แม่จ๋า การเห็นคนน่ากลัวเสียยิ่งกว่าการมองไม่เห็นอะไรอีก
เมื่อคิดถึงที่ที่เขาเพิ่งปีนขึ้นมาเมื่อครู่ เหล่าอวี๋จึงคิดแต่เพียงว่าสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าต้องเป็นผีอย่างแน่นอน และเป็นผีผู้หญิงเสียด้วย!
ผีสาวโบกมือให้เขา “มานี่”
เหล่าอวี๋ขัดขืนสุดใจ ทว่าเท้าของเขากลับไม่เชื่อฟัง กว่าจะรู้ตัวอีกทีร่างของเขาก็มาหยุดอยู่ที่ตรงหน้าผีสาวตนนั้นแล้ว ในชั่วอึดใจนั้นเหล่าอวี๋เพิ่งค้นพบว่ายังมีผีผู้ชายอีกตนยืนอยู่ข้างๆ ผีสาวตนนั้น
มีผีสองตัว! ข้าตายแน่!
เขาขาอ่อนทรุดนั่งลงกับพื้นพลางอ้อนวอนขอชีวิต “อมิตาภพุทธ ขอทวยเทพปกป้องคุ้มครอง หากท่านทั้งสองมีแค้นก็ไปล้างแค้น มีบ่วงก็ไปปลดบ่วง แต่อย่าได้มาหาข้าเลย…”
อวี้จิ่นอยากจะเตะร่างคนตรงหน้าที่เอาแต่พล่ามไร้สาระให้ติดกำแพง แต่ทำได้เพียงอดทนไว้
รออาซื่อถามให้เรียบร้อยก่อนค่อยจัดการก็ยังไม่สาย
“ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้าหน่อย หากข้าพอใจในคำตอบของเจ้า ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป” เจียงซื่อบอกพลางขมวดคิ้ว พยายามเก็บอาการกับกลิ่นปัสสาวะที่ลอยมาจากเหล่าอวี๋
“พวก พวกเจ้าไม่ใช่ผี?” หน้าของเหล่าอวี๋เริ่มมีเลือดฝาดเล็กน้อย
หญิงสาวเอ่ยเสียงเรียบด้วยสีหน้าเฉยเมย “หากไม่ยอมตอบแต่โดยดี เจ้านั่นแหละจะได้กลายเป็นผี โลงนั่นจะถูกใช้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเจ้า”
เหล่าอวี๋ตัวสั่นเทา เลือดฝาดที่มีน้อยอยู่แล้วหายวับไปอีกครั้ง
แต่ถึงกระนั้น เขาก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง
ขอแค่เป็นคน ก็ยังพอพูดกันรู้เรื่อง เพราะหากเป็นผีแล้วคงไม่เป็นเช่นนั้น
อย่าถามว่าเขาทราบได้อย่างไร เขารู้เพียงคนอื่นๆ เคยกล่าวไว้เท่านั้น
“เหตุใดเจ้าถึงไปไถ่ตัวอวี่เอ๋อร์”
เหล่าอวี๋ผงะ แววตาเริ่มล่อกแล่กคล้ายว่ากำลังจะโกหก “อวี่เอ๋อร์เป็นชู้ของข้า…”
มือขาวผ่องของหญิงสาวยื่นออกไปเคาะฝาโลงเบาๆ “ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าพูด คุณชาย ท่านว่าควรตัดนิ้วหนึ่งนิ้ว หรือสองนิ้วดีเจ้าคะ”
เจียงซื่อยังอยู่ในคราบสาวรับใช้ การเรียกอวี้จิ่นว่า ‘คุณชาย’ จึงมิได้รู้สึกแปลกแต่อย่างใด
หญิงสาวว่านอนสอนง่าย ทั้งยังวาจาอ่อนหวาน อวี้จิ่นได้ฟังก็ยิ่งชอบใจ ชายหนุ่มคิดในใจว่า อาซื่อเรียกคุณชายแล้วน่าฟังเหลือเกิน ออกเรือนเมื่อไหร่จะขอให้นางเรียกบ่อยๆ
มีแสงสะท้อนลอยพุ่งออกไป กริชเล่มหนึ่งปักเล็บมือของเหล่าอวี๋เข้ากับพื้น
อวี้จิ่นหัวเราะ “จะกี่นิ้วก็ได้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับความพอใจของเจ้า”
เลือดสดสีเข้มไหลซึมออกมา เหล่าอวี๋กรีดร้องโหยหวน “ข้าบอกแล้ว ข้าบอกแล้ว!”
อวี้จิ่นยิ้มหยัน “ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา เจ้าช่างกล้าหาญเสียจริง โลงศพตั้งอยู่ทนโท่ ข้าจะถามคำถามเดิมอีกที คราวนี้ก็ใคร่ครวญให้ดีก่อนจะตอบออกมา”
เหล่าอวี๋กลัวจนหัวหดรีบเอ่ยเสียงดัง “ไม่ต้องคิด ข้าจะบอกเดี๋ยวนี้! จริงๆ แล้วข้ามิได้รู้จักกับอวี่เอ๋อร์ แต่มีวัยรุ่นคนหนึ่งให้เงินข้ามา บอกให้ข้านำเงินนี้ไปไถ่ตัวอวี่เอ๋อร์ออกมาจากหอเยี่ยนชุน”
“แล้วหลังจากไถ่ตัวแล้วเกิดอะไรขึ้น”
“หลังจากไถ่ตัว? หลังจากไถ่ตัวแล้วคนๆ นั้นก็พาตัวนางไป”
เจียงซื่อผิดหวังขึ้นมาชั่วขณะ
ทีแรกนางคิดว่าอีกฝ่ายใช้เหล่าอวี๋ไปไถ่ตัวอวี่เอ๋อร์แล้ว จะให้เหล่าอวี๋จัดการจนจบเรื่อง โดยการให้เหล่าอวี๋พาตัวอวี่เอ๋อร์ไปส่งให้กับพี่ชายของนาง เพราะเมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะสามารถตามหาตัวพี่ชายของอวี่เอ๋อร์ได้อย่างง่ายดาย
แต่ดูเหมือนว่าจะมองโลกในแง่ดีเกินไป
“วัยรุ่นคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร มีลักษณะเฉพาะตรงไหนหรือไม่ หรือว่าเจ้าสังเกตเห็นอะไรผิดปกติก็บอกมาให้หมด”
อีกฝ่ายรอบคอบปานนั้น ไม่มีทางที่เหล่าอวี๋จะทราบตัวตนของเขาได้เลย แต่หากเขาพอจับสังเกตลักษณะเฉพาะของอีกฝ่ายได้บ้างก็นับว่าเป็นประโยชน์อยู่ไม่น้อย
ทันใดนั้นเหล่าอวี๋ก็เงียบไป
กริชที่ปักอยู่ที่ฝ่ามือทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่แวบแล่นเข้าไปถึงหัวใจ แต่ถึงอย่างไรสำหรับเขา การเจ็บตัวถือเป็นเรื่องธรรมดา ภายใต้สถานการณ์ที่ชีวิตปราศจากความกังวลเช่นนี้ ความเจ็บปวดที่พอทนได้ก็ต้องทนไป
อวี้จิ่นเอ่ยขึ้น “ดูๆ แล้วเจ้าคงไม่เพียงแต่สังเกตเห็นลักษณะพิเศษของคนๆ นั้น…เจ้ารู้จักกับเขา?”
เหล่าอวี๋เงยหน้าขึ้นโดยฉับพลัน พลางมองอวี้จิ่นด้วยความประหลาดใจ
ในห้องที่มีเพียงแสงสลัว แหล่งกำเนิดแสงเดียวที่มีคือแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่อยู่สูงขึ้นไป
แสงนั้นรวมตัวเป็นลำแสงเดียว ส่องให้เห็นฝุ่นละอองที่ลอยล่องอยู่ในอากาศ
เหล่าอวี๋ยังคงเห็นหน้าตาของอวี้จิ่นได้ไม่ชัดเจนนัก แต่สัมผัสได้ถึงความเย็นชาที่รุกไล่เข้ามา
ชายผู้นี้ไม่แยแสกับบุคคลไร้ตัวตนเช่นเขาเลยสักนิด
เหล่าอวี๋เอียงหน้าหันไปมองโลงที่แสนจะมืดมิด ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจบอกออกไป “ข้าน้อยรู้จักผู้นั้นจริง…”
“คือใคร” อวี้จิ่นถามต้อน
เจียงซื่อทั้งตกใจและประหลาดใจ สายตาที่มองมาที่อวี้จิ่นเปลี่ยนไปในทันใด
เล่ห์เหลี่ยมสู้เขาไม่ได้เลยสักนิด
เหล่าอวี๋ส่ายหัว “ข้าบอกชื่อของเขาไม่ได้ ที่ข้าบอกว่ารู้จักเพียงเพราะเคยบังเอิญเจอเท่านั้น ดูเหมือนว่าเขาน่าจะเป็นบ่าวรับใช้ของคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ท่านหนึ่ง มีอยู่ครั้งหนึ่ง คุณชายท่านนั้นเคยผ่านมาแถวที่กบดานของข้า เขาซื้อดอกไม้สดกำหนึ่งจากร้าน เพราะเป็นชายหนุ่มมาซื้อดอกไม้จึงเป็นที่สะดุดตา ไม่คิดว่าหลังจากนั้นเขาจะมาไหว้วานให้ข้าไปไถ่ตัวหญิงงามเมือง…”
“หากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่า เขาไม่รู้ว่าเจ้ารู้จักเขา การที่เขามาหาเจ้าเป็นเพราะความบังเอิญงั้นหรือ”
เหล่าอวี๋พยักหน้า “น่าจะเป็นเช่นนั้น”
“หากเจ้าได้พบเขาอีก เจ้าจะจำได้?”
เหล่าอวี๋ตอบอย่างมั่นใจ “แน่นอน”
อวี้จิ่นหันไปมองเจียงซื่อ
เจียงซื่อเก็บความตื่นเต้นนั้นไว้ก่อนจะถามซ้ำอีกครั้ง “หากเจ้าพบหน้าคุณชายตระกูลสูงศักดิ์นั้นอีก เจ้าก็จะจำได้?”
“ได้” เหล่าอวี๋ยืนกราน
เจียงซื่อผุดยิ้มจางๆ
เช่นนั้นก็ดี คุณชายผู้นั้นจะใช่จูจื่ออวี้หรือไม่ ไม่นานคงได้รู้กัน
สำนักฮั่นหลินเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ว่างงานที่สุดในเมืองหลวง แม้ว่าจะเป็นเช้าวันแรกของการทำงาน บรรยากาศกลับดูผ่อนคลายอยู่ไม่น้อย
จูจื่ออวี้เพิ่งชงชาสำหรับตัวเองเสร็จ จิบไปได้เพียงสองสามอึกก็มีคนๆ หนึ่งเดินเข้ามา “พี่จู ด้านนอกมีคนมาหา”
ยามนี้จะมีใครมาหาเขา
แม้จูจื่ออวี้จะสงสัยอยู่บ้างแต่เข้าก็เดินออกไปที่หน้าประตูใหญ่สำนักฮั่นหลิน
ด้านนอกกลับโล่งโจ้ง มีเพียงคนที่สัญจรไปมาตามท้องถนนซึ่งห่างออกไปไม่ไกล
ไหนล่ะคน?
จูจื่อวี้มองซ้ายมองขวา รออยู่ครู่หนึ่งก็ไม่เห็นใครจึงขมวดคิ้วและหันหลังกลับไป
ที่โรงน้ำชาฝั่งตรงข้าม อวี้จิ่นถามเหล่าอวี๋ “ใช่ชายคนนั้นหรือไม่”
“ใช่ขอรับ…”
เจียงซื่อพินิจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามเหล่าอวี๋ “บ่าวรับใช้คนนั้นใช่ที่ร่างเล็กๆ หน้าตาอ่อนเยาว์?”
แม้ว่าตอนนั้นจะไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่นางก็จำได้รางๆ ว่าจูจื่ออวี้มีบ่าวรับใช้คนหนึ่งหน้าตาประมาณนี้
แม้ว่านางจะไม่มีโอกาสได้พบจูจื่ออวี้บ่อยนัก แต่การที่สามารถจำคนรับใช้ของจูจื่ออวี้ได้ก็ย่อมต้องเป็นบ่าวรับใช้คนสนิทของเขาอย่างแน่นอน
เหล่าอวี๋พยักหน้า “ใช่ ใช่ ดูตัวเล็กแปลกๆ ฉะนั้นพอได้ยินว่าให้ข้าไปไถ่ตัวคณิกาที่แม่น้ำจินสุ่ย ข้าเลยรู้สึกแปลกใจอยู่พอควร”
อวี้จิ่นส่งสัญญาณให้หลงต้านพาตัวเหล่าอวี๋จากไป
เจียงซื่อจ้องมองประตูสำนักฮั่นหลินจากหน้าต่างฝั่งตรงข้าม หัวใจของนางก็เย็นวาบราวกับน้ำแข็งขึ้นมาทันที