ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 329 ตัดบัวอย่าให้เหลือใย
ยอมรับผิด?
จูจื่ออวี้จ้องเขม็งไปที่เจียงซื่อประหนึ่งสัตว์ร้าย
ทุกอย่างถูกวางแผนเอาไว้อย่างดี แต่เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้
มุมปากของเจียงซื่อกระตุกยิ้มเยาะเย้ย สายตาจ้องกลับไปที่จูจื่ออวี้อย่างไม่กริ่งเกรง แสงจางๆ วาบขึ้นที่ฝ่ามือของนาง และลอยลิ่วอย่างไร้สุ้มเสียงเข้าไปที่ร่างของชายหนุ่มที่กำลังพังทลายอยู่รอมร่อ
“จูจื่ออวี้ คนที่วางแผนกำจัดภรรยาโดยทำราวกับว่าตนเองถูกสวมเขาเช่นนี้ ข้าก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ข้าว่าทุกคนที่นี่ก็เคยเห็นเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรกใช่หรือไม่”
ฝูงชนในที่นั่นหัวเราะพลางตอบเป็นเสียงเดียว “จริงๆ ไม่เคยเห็นแบบนี้ที่ไหนมาก่อนเลย!”
เสียงหัวเราะเหล่านั้นเข้าไปในโสตประสาทของจูจื่ออวี้ นั่นยิ่งทำให้สมองของเขาวิงเวียนหนักขึ้น ประหนึ่งว่ามีม้าดีดวิ่งโลดอยู่ในหัวก็ไม่ปาน
มันไม่ควรเป็นเช่นนี้แต่แรก!
เหตุใดเจียงอีถึงไม่ตายเสียตั้งแต่ตอนม้าพยศนั่น หากนางตายเสียตั้งแต่ตอนนั้น ก็คงไม่ต้องใช้หมากอย่างฉิงเอ๋อร์!
จูจื่ออวี้กู่ร้องตะโกนในใจ พลางคร่ำครวญถึงความโชคร้ายที่เกิดขึ้นกับตนเอง
ไม่นานเขาก็เริ่มรู้สึกว่าทั้งห้องกำลังตกอยู่ในความเงียบ ทุกสายตากำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยความคิดต่างๆ นานา
แต่แล้วก็เหมือนมีพลังคลื่นใหญ่ถาโถมเข้ามา
“ไอ้ลูกเวร นี่เจ้ากำลังพูดอะไรของเจ้า!” สองสามวันมานี้ เส้นผมของจูเส้าชิงเปลี่ยนเป็นสีขาวไปกว่าครึ่งแล้ว เขาทั้งแก่ทั้งอยู่ในสถานการณ์คับขัน แต่คำพูดไร้สาระของบุตรชายเมื่อครู่กลับเป็นหมัดที่ชกซ้ำเติมเข้าที่ร่างของเขา จูเส้าชิงตบหน้าจูจื่ออวี้อย่างเหลืออด
ราวกับว่าจูจื่ออวี้เริ่มได้สติขึ้นอีกครั้ง แต่ทว่าเขาก็ไม่อาจห้ามปากของตัวเองได้
เมื่อครู่เขาพูดสิ่งที่คิดไปงั้นหรือ
เรื่องม้าพยศระหว่างกลับจากวัดไป๋อวิ๋นเป็นเรื่องที่เขาวางแผนไว้อย่างดี
เพราะความเข้มงวดของท่านแม่ โอกาสที่เจียงอีจะได้ออกจากจวนไปไกลๆ จึงมีมาไม่บ่อยนัก ฉะนั้นเขาจำเป็นต้องเตรียมแผนสองเผื่อไว้ด้วย
แผนแรกคือม้าพยศ หากนางตายเสียในตอนนั้นก็จะเป็นการดีที่สุด แล้วเขาก็จะอดทนรออีกสักหนึ่งปีแล้วค่อยแต่งงานใหม่
ทว่าการจะจัดฉากอุบัติเหตุควบคุมได้ยากยิ่งนัก หากนางไม่เป็นอะไร เขาก็จะผูกผ้าหลากสีไว้ที่บังเหียน เมื่อฉิงเอ๋อร์ที่ยืนรออยู่ระหว่างทางเห็นผ้าหลากสีผืนนั้น นางก็จะออกมาเล่นละครตบตา
นางรู้จักเจียงอีเป็นอย่างดี เจียงอีจะต้องลงมาช่วยฉิงเอ๋อร์และพากลับไปที่จวนอย่างแน่นอน และนั่นก็จะนำไปสู่แผนการที่สอง
ตราบใดที่เจียงอีถูกตั้งข้อหามีสัมพันธ์คบชู้ก็จะถูกส่งกลับไปอยู่ที่บ้านของมารดาตัวเอง เขาไม่จำเป็นต้องลงมือเอง เมื่อเจียงอีไปแล้ว ถึงเวลานั้นก็จะไม่มีผู้ใดคอยขวางทางเขาอีก
แผนการนี้ต้องอาศัยความอดทนอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้มีข้อผิดพลาด
การที่เขาวางแผนที่แสนแยบยลแต่กลับมีจุดบอดขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ มันเป็นไปได้อย่างไรกัน
เจียงซื่อไม่สามารถทนดูสภาพกึ่งเป็นกึ่งตายของจูจื่ออวี้ได้อีกต่อไป จึงหันไปทำความเคารพเจินซื่อเฉิง
เสียงของหญิงสาวดังขึ้นและชัดเจนเสียยิ่งกว่าเสียงของบุรุษ
“ใต้เท้า ท่านคงได้ยินทั้งหมดแล้ว จูจื่ออวี้ยอมรับเองว่าเขาหวังให้ฝ่ายหญิงเสียชีวิตในเหตุการณ์ม้าพยศ ยิ่งไปกว่านั้นคือจากหลักฐานพบว่ามีเข็มขนาดยาวฝั่งอยู่ที่ก้นม้าตัวนั้น สาเหตุที่คนขับรถม้าที่ฆ่าตัวตายไปก่อนหน้านี้ก็ฟังดูไม่สมเหตุสมผล อีกทั้งจูจื่ออวี้ยังยอมรับเรื่องหมากพี่น้องฝาแฝดคู่นี้ที่วางไว้เสียด้วย... ข้าจึงมีเหตุผลเพียงพอที่จะเชื่อว่าจูจื่ออวี้คือคนบงการคดีม้าพยศอย่างไม่ต้องสงสัย!”
เจินซื่อเฉิงฟังที่เจียงซื่ออธิบายพลางลูบเคราเป็นระยะ
ฝูงชนที่มาดูเหตุการณ์กล่าวร้องอย่างอดไม่ได้
“ไม่ผิดแน่ คนแซ่จูต้องการจะฆ่าภรรยาตัวเอง!”
“โอ้สวรรค์ มีชายชั่วช้าเช่นนี้อยู่บนโลกนี้ด้วยหรือนี่ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยจริงๆ”
“มีเยอะแยะไป ขนาดสะใภ้จางต้าหลางลอบมีชู้ ก็ยังวางยาพิษจางต้าหลางได้ลงคอ คนพวกนี้ ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย หากมีความคิดอยู่ในหัวแล้วล่ะก็ เรื่องอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น”
…
เสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ผ่านเข้ามาในหูของจูจื่ออวี้ไม่หยุดหย่อน ราวกับเป็นเสียง หึ่งๆ ของผึ้งที่บินตอม นั่นยิ่งทำให้เขารำคาญใจยิ่งขึ้น
“หุบปาก!” จูจื่ออวี้ตะโกนลั่นราวกับคนเสียสติ
เสียงเอ็ดอึงนั้นเงียบลงทันใด
จูจื่ออวี้จ้องมองที่เจียงซื่ออย่างเคียดแค้นก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “คุณหนูสี่เอ่ยปาวๆ ว่าข้าฆ่าพี่ของเจ้า แล้วตอนนี้พี่สาวของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”
เจียงซื่อเลิกคิ้วเล็กน้อย
ตอนนี้พี่ใหญ่อยู่ที่จวนตงผิงปั๋ว แน่นอนว่านางปลอดภัยดี
ไม่เพียงแต่เจียงซื่อเท่านั้น ทุกคนในที่นั่นเข้าใจสิ่งที่จูจื่ออวี้ต้องการจะสื่อในทันที
ในต้าโจวไม่มีข้อหาพยายามฆ่า
ในเมื่อภรรยาของจูจื่ออวี้ยังคงสบายดี และไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดในการยืนยันคดีม้าพยศ ต่อให้จูจื่ออวี้ยอมรับว่าตั้งใจจะใช้ฝาแฝดคู่นั้นมาจำกัดภรรยาตนเอง แต่เมื่อเรื่องยังไม่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถตัดสินโทษได้ อย่างมากที่สุดก็แค่ถูกประณามจากสังคมเท่านั้น
เจียงซื่อถอนหายใจเบาๆ “พวกมีการศึกษาช่างเก็บอาการได้ดีเหลือเกิน”
กฎหมายบนโลกนี้ช่างไร้สาระสิ้นดี หากยังมิได้ลงมือก็ถือว่าไม่มีความผิดเสียอย่างนั้น
จริงอยู่ที่บนเนื้อตัวของพี่ใหญ่ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บ ทว่าสภาพจิตใจนั้นบอบช้ำเพราะน้ำมือของจูจื่ออวี้ และมันไม่มีวันกลับมาเป็นดังเดิม
จูจื่ออวี้ในขณะนี้คล้ายกับหมาป่าที่กำลังจนตรอก เขายังคงจ้องมองเจียงซื่อไม่วางตา
จู่ๆ เจียงซื่อก็ยิ้มพลางกล่าวขึ้น “จูจื่ออวี้ เจ้าคงลืมไปแล้วสิว่า จุดประสงค์ที่พวกข้ามาแจ้งทางการคืออะไร”
“จุดประสงค์?” จูจื่ออวี้พึมพำ
ทั้งหมดในที่นั้นรอฟังคำตอบจากเจียงซื่อ
เจียงซื่ออยากจะหัวเราะออกมา
ใต้หล้านี้ มีเพียงกฎเกณฑ์ที่มั่นคงอยู่ชั่วนิรันดร์ ทว่าจิตมนุษย์นั้นกลับปรวนแปรจนยากแท้หยั่งถึง
เพราะจูจื่ออวี้ทำให้ทุกคนมัวแต่ตกตะลึงจนลืมสาเหตุที่จวนตงผิงปั๋วมาขึ้นศาลไปเสียสนิท
เป็นเช่นนั้นก็ดี ในเมื่อจิตใจมนุษย์ยากเกินคาดเดา นางต้องโหมไฟให้ทุกคนเห็นพ้องกับนางให้ได้
“จริงด้วย เจ้าคงลืมไปแล้วสิว่าจวนปั๋วมาวันนี้ก็เพื่อขอให้ทางการยื่นฟ้องหย่าระหว่างพี่ใหญ่และเจ้า!”
ใครบอกเล่าว่าพวกเขาต้องการแจ้งความเรื่องที่จูจื่ออวี้พยายามฆ่าคน จวนปั๋วต้องการฟ้องหย่าตั้งแต่แรก และต้องการพาเยียนเยียนออกจากจวนจูอย่างสง่าผ่าเผย
จูจื่ออวี้ไม่ได้เข้าไปอยู่ในคุกแล้วอย่างไร คนที่เคยเป็นความภาคภูมิใจ เจิดจรัสอยู่ท่ามกลางหมู่ดาวกลับต้องตกอยู่ท่ามกลางสายตาเหยียดหยามของผู้คน เช่นนี้คงได้ลิ้มรสการอยู่ไม่สู้ตายดูสักครั้ง
เจียงซื่อค้อมคารวะเจินซื่อเฉิงพลางกล่าว “ใต้เท้า จูจื่ออวี้เจตนาจะฆ่าภรรยา นับว่าขาดคุณสมบัติในการเป็นสามี ไม่สนใจว่าบุตรสาวจะเจ็บปวดเพียงใดหากมารดาต้องจากโลกนี้ไป นับว่าขาดคุณสมบัติในการเป็นบิดา ในฐานะลูกศิษย์ของโอรสสวรรค์ ถูกคัดเลือกเป็นซู่จี๋ซื่อแห่งสำนักราชบัณฑิตหลวง แต่กลับล้มเหลวในหน้าที่ นับว่าเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ เจตนาปองร้ายผู้เป็นภรรยา หวังทำลายสหายคู่คิด นับว่าประพฤติตนมิชอบ อีกทั้งยังทำให้บุพการีต้องถูกคนดูถูกเหยียดหยาม และสร้างความขายหน้า นับว่าเป็นคนอกตัญญู คนที่ไม่ซื่อสัตย์ ไม่ชอบธรรม และอกตัญญูเช่นนี้ ขอใต้เท้าโปรดเมตตาตัดสินอย่างยุติธรรมให้พี่สาวของข้าได้หย่าขาดจากจูจื่ออวี้ และอนุญาตให้เยียนเยียน ผู้เป็นบุตรสาว กลับไปอยู่ที่จวนและรับการอบรมเลี้ยงดูจากฝั่งมารดาด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
วาจาของเจียงซื่อฉะฉานและห้าวหาญประหนึ่งเปลวเพลิง ไฟนั้นจุดประกายส่องสว่างให้ผู้คนตื่นตัว
ต่างก็ร้องตะโกนว่า “ฟ้องหย่า ฟ้องหย่า ใต้เท้าช่วยตัดสินฟ้องหย่าด้วย!”
เสียงนั้นท่วมท้นจนถึงตอนที่เจินซื่อเฉิงกำลังจะเริ่มกล่าวตัดสินคดี “จูจื่ออวี้มีเจตนาปองร้ายภรรยา จึงตัดสินให้ความสัมพันธ์สามีภรรยาถือเป็นอันสิ้นสุด ส่วนบุตรสาวเยียนเยียนให้ตกอยู่ในความดูแลของฝ่ายหญิงแต่เพียงผู้เดียว เลิกศาล!”
เสียงปีติยินดีดังขึ้นจากทั้งในและนอกศาล
ครั้นได้ฟังคำตัดสินนั้นแล้ว จูจื่ออวี้ก็สติหลุดไปทันที เขาก้าวเท้าถอยไปอย่างงุ่มง่าม
คนที่อยู่ใกล้เขาต่างก็ขยับถอยหนีราวกับเห็นชายหนุ่มเป็นตัวเชื้อโรค ทั้งใบกะหล่ำปลีเน่า ไข่เน่าเก่าเก็บลอยล่องมาที่ร่างของเขา
ท่ามกลางความอึกทึกนั้น เจียงซื่อหันไปส่งยิ้มให้ผู้เป็นบิดาพลางบอก “ท่านพ่อ เราไปพาเยียนเยียนกลับจวนกันเถิดเจ้าค่ะ”