ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 342 ตงจื้อ
เตาผิงซึ่งจุดให้ความอบอุ่นในเรือนฉือซินสว่างไสวกว่าที่อื่น เมื่อเจียงอันเฉิงเข้าไปด้านในห้องก็ต้องถอดเสื้อคลุมออกเพราะรู้สึกร้อน
“ท่านแม่เรียกลูกมามีเรื่องอันใดหรือขอรับ”
เฝิงเหล่าฮูหยินกล่าวขึ้นว่า “แน่นอนว่าต้องมีธุระ ว่าแต่เจ้าไม่ทักทายน้องสาวของเจ้าน้อยหรือ”
เจียงอันเฉิงจึงผงะมองไปทางอาหญิงโต้ว “น้องอยู่ที่นี่ด้วยหรือ”
เขาไม่ได้สนใจมองคนในเรือนของเหล่าฮูหยินสักเท่าไร คราแรกที่เหลือบตาไปเห็นคิดว่าเป็นบ่าวรับใช้มาใหม่เสียอีก
เมื่อเฝิงเหล่าฮูหยินเตือนให้เขาทักทายกับน้องสาวผู้มาอาศัย เจียงอันเฉิงก็นึกถึงเรื่องที่บุตรสาวถูกลวนลามเมื่อคืนนี้ สีหน้าของเขาจึงดูเยือกเย็นลงแล้วถอยหลังกลับไป
อาหญิงโต้วเดินตรงเข้ามาคำนับเจียงอันเฉิง “พี่ใหญ่”
เจียงอันเฉิงพยักหน้าตอบรับอย่างเยือกเย็น
เมื่อเฝิงเหล่าฮูหยินเห็นดังนั้นก็รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา
หลายปีมานี้ บุตรชายคนโตของนางถูกซูซื่อนางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์นั่นหลอกล่อเสียจนหัวปักหัวปำ ต่อให้บัดนี้ซูซื่อตายไปตั้งหลายปีแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยมองสตรีนางอื่นในสายตาเลย เขายังเป็นชายชาตรีอยู่หรือไม่!
แม้ว่าการสงสัยบุตรชายของตนเช่นนี้จะดูไม่เหมาะสมนัก แต่เฝิงเหล่าฮูหยินก็อดไม่ได้ที่จะคิด
นางเหลือบตาไปมองดูหลานสาว จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
หลานสาวคนนี้รูปร่างหน้าตางดงามยิ่งนัก เหตุใดเขาจึงไม่รู้สึกตื่นเต้นบ้าง อีกทั้งกลับทำท่าทางเยือกเย็นเช่นนี้!
ทันใดนั้น อาหญิงโต้วก็เอ่ยปากขึ้นว่า “ท่านป้าเจ้าคะ ในเมื่อท่านและพี่ใหญ่มีเรื่องต้องสนทนากัน เช่นนั้นหลานขอตัวกลับก่อนเจ้าค่ะ”
เมื่อพบว่าอาหญิงโต้วกำลังจะเดินออกไปข้างนอก ริมฝีปากของเฝิงเหล่าฮูหยินก็เผยอขึ้นเล็กน้อย แต่นางก็ไม่ได้เอ่ยเรียก
บัดนี้เพิ่งจะเริ่มต้น นางจะแสดงออกมาอย่างชัดเจนมากไม่ได้ ทว่าหลานสาวคนนี้ของนางช่างเป็นคนตรงไปตรงมาเหลือเกิน…
ความคิดของเฝิงเหล่าฮูหยินดูซับซ้อนสับสน นางเกลียดชังซูซื่อที่ทำให้ลูกชายหลงรักเสียจนหัวปักหัวปำโงหัวไม่ขึ้น ด้วยเหตุนี้นางจึงได้ชื่นชมหลานสาวผู้เรียบร้อยดุจผ้าพับไว้ แต่ในขณะเดียวกันนางก็รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจที่หลานสาวไม่รู้จักใช้มารยาหญิงมัดใจชาย นางแข็งกระด้างจนเกินไป…
ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่สมบูรณ์แบบ ว่าไปแล้วก็เป็นเพราะบุตรชายของนางที่ทำให้ผู้อื่นต้องอึดอัดใจเช่นนี้
หลังจากที่อาหญิงโต้วเดินออกไป ใบหน้าของเฝิงเหล่าฮูหยินก็ผ่อนคลายลง หางตาและหัวคิ้วของนางดูลึกล้ำ
“ท่านแม่มีเรื่องอันใดหรือ”
“เมื่อผ่านปีนี้ไป จั้นเอ๋อร์ก็อายุได้สิบแปดปีแล้วใช่หรือไม่ เจ้าสี่ก็อายุได้สิบหกปีแล้ว ตัวเจ้าในฐานะบิดาไม่คิดวางแผนอะไรบ้างหรือ”
เจียงอันเฉิงชะงักในตอนแรก จากนั้นก็ยิ้มขึ้นอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร “ชังเอ๋อร์ยังไม่แต่งภรรยาเลย จั้นเอ๋อร์จะรีบร้อนไปไยขอรับ”
บุตรชายคนเดียวของเขานั้น เขาไม่มีความคาดหวังใดๆ บัดนี้การที่สามารถเข้าไปในกององครักษ์จินอู๋ได้นับว่าเป็นเรื่องประหลาดใจแล้ว ในอนาคตขอเพียงแค่เขารับราชการได้อย่างมั่นคงก็พอ
ส่วนเรื่องแต่งงานของบุตรชาย เขาเองก็กำลังรออยู่ว่าเจ้าหมอนั่นวันใดจึงจะคิดได้แล้วเอ่ยปากด้วยตนเอง รอให้บอกกับเขาว่าชื่นชอบสตรีเช่นใด เพียงแค่สตรีนางนั้นมีนิสัยและหน้าตาพอใช้ได้ มาจากตระกูลที่ใสสะอาด เขาก็จะรีบให้แม่สื่อไปสู่ขอทันที
คนเราชีวิตนี้จะสร้างแรงกดดันให้ตนเองทำไมหนอ พวกเขาไม่ใช่ตระกูลฮ่องเต้ที่จะต้องมีคนสืบทอดบัลลังก์สักหน่อย การที่สามารถใช้ชีวิตร่วมกันกับผู้เป็นที่รักไปตลอดชีวิต เช่นนั้นจึงจะเรียกว่าความสุข
นั่นสิ ชีวิตจึงจะมีความสุข… เมื่อเจียงอันเฉิงนึกถึงสิ่งนี้ ดวงตาของเขาก็รู้สึกเปียกชื้น
ความสุขในชีวิตของเขาไม่มีอีกแล้ว
“พวกเขาจะเหมือนกันได้อย่างไร” เฝิงเหล่าฮูหยินกล่าวออกมา
เจียงอันเฉิงตื่นขึ้นจากภวังค์แล้วเอ่ยถามว่า “เหตุใดจึงไม่เหมือนกัน ชังเอ๋อร์เป็นพี่ใหญ่ จะให้จั้นเอ๋อร์แต่งงานก่อนเขาได้อย่างไร อีกอย่าง ลูกผู้ชายแต่งงานช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร เมื่อถึงเวลานิสัยใจคอและหน้าที่การงานมั่นคง ไม่แน่ว่าอาจจะดีกว่าเดิม”
เฝิงเหล่าฮูหยินยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มแล้วเหลือบไปมองเจียงอันเฉิง “อีกสามปีชังเอ๋อร์จะต้องเข้าสอบคัดเลือก รอให้เขาสอบติดจิ้นซื่อแล้วค่อยจัดการเรื่องของงานแต่ง จะให้จั้นเอ๋อร์รอถึงตอนนั้นเชียวหรือ”
เจียงอันเฉิงเบ้ริมฝีปากเล็กน้อย “ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องรอไปอีกสามปี แต่เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ควรจะใช้เวลาค่อยดูค่อยเป็นค่อยไป แต่งภรรยาควรจะต้องหาผู้ที่เป็นกุลสตรี ท่านแม่ว่าใช่หรือไม่”
เฝิงเหล่าฮูหยินเลิกคิ้วขึ้นแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่พึงพอใจว่า “แล้วเจ้าสี่เล่า เจ้าคิดว่าเรื่องที่ข้าเดิมพันกับนางเอาไว้เป็นเรื่องจริงจังหรือ”
แววตาของเจียงอันเฉิงเป็นประกาย
แน่นอนว่าเขาคิดจริงจัง
“หลานคนโตและหลานคนรอง ชีวิตแต่งงานของพวกนางล้วนไม่เป็นดั่งที่หวัง ส่วนเจ้าสามมีบิดามารดาคอยจัดการให้ เรื่องงานแต่งงานของเจ้าสี่จะปล่อยให้เป็นไปดังที่นางต้องการอีกหรือ”
เจียงอันเฉิงนิ่งเงียบไปช่วงหนึ่ง
“การจะหาคู่ครองให้กับบุตรสาวจะทำส่งๆ เช่นนี้ได้เชียวหรือ เจ้าเป็นบุรุษ รายละเอียดเล็กน้อยมากมายที่เจ้าคิดไม่ถึง อีกอย่างข้าเองก็อายุมากแล้ว ไม่ค่อยจะได้เข้าไปร่วมสนทนากับคนในเมืองสักเท่าไรนัก ดังนั้นจึงไม่มีความมั่นใจนัก หรือเจ้าอยากจะเห็นเจ้าสี่ต้องพบเจอกับเรื่องปวดใจเช่นเดียวกับพี่สาวคนโตนาง”
สีหน้าของเจียงอันเฉิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“จะว่าไป ข้าพอมีอยู่วิธีหนึ่ง”
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับบุตรสาวตน ดังนั้นเจียงอันเฉิงจึงตั้งใจฟังยิ่งนัก
เฝิงเหล่าฮูหยินยกมือขึ้นลูบไปที่หางตา แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าแต่งภรรยาเข้ามาเถิด เมื่อถึงเวลานั้นผู้เป็นแม่ก็จะดูแลจัดหาเรื่องคู่ครองให้นางเอง จะได้ไม่ต้องเปลืองแรง”
เจียงอันเฉิงตกตะลึงขึ้นทันใด
ในวันนี้ท่านแม่เป็นอะไรไป เดิมทีกล่าวถึงเรื่องแต่งงานของลูกๆ เขา ทว่าจู่ๆ กลับมาเข้าเรื่องตนได้อย่างไร
เจียงอันเฉิงชักสีหน้าเยือกเย็นแล้วตอบกลับไปโดยตรงว่า “ไม่ได้”
“เหล้าต้า!”
“ท่านแม่ไม่ต้องเอ่ยมากความแล้วขอรับ ก่อนหน้านี้ท่านก็เคยโน้มน้าวใจลูก ลูกยังคงยืนกรานคำเดิมว่าชีวิตนี้ลูกจะไม่แต่งงานกับผู้ใดอีก อีกร้อยปีข้างหน้าลูกไม่ต้องการให้ป้ายหลุมศพของลูกและซูซื่อมีคนอื่นอีก”
“เจ้าลูกไม่รักดี!” เฝิงเหล่าฮูหยินโมโหมากจริงในบัดนี้
เจียงอันเฉิงเลิกคิ้วมองดูมารดาของตน “เหตุใดท่านแม่จึงได้โมโหเช่นนี้ขอรับ ลูกมีทั้งบุตรชายและบุตรสาว ต่อให้ไม่แต่งงานใหม่ก็ไม่ได้ถือว่าอกตัญญู”
เฝิงเหล่าฮูหยินชี้ไปที่ประตู “เจ้าไสหัวไปบัดเดี๋ยวนี้!”
เจียงอันเฉิงลุกขึ้นยืน “เช่นนั้นลูกขอตัวก่อน ท่านแม่อย่าได้โกรธเคืองลูกไปเลย หากร่างกายทรุดโทรมขึ้นมาจะไม่คุ้มค่า”
เมื่อเห็นว่าเจียงอันเฉิงลุกขึ้นแล้วก้าวขาวิ่งออกไป เฝิงเหล่าฮูหยินก็โมโหเสียจนแทบหายใจไม่ออก
เจ้าลูกอกตัญญู!
เฝิงเหล่าฮูหยินบอกกับตัวเองอยู่ในใจว่าหนทางยังอีกยาวไกล แต่นางก็ยังคงโมโหยิ่งนัก จึงเอื้อมมือไปหยิบถ้วยน้ำชาโยนลงสู่พื้นแตกกระจาย
เฝิงมาหม่าที่ยืนอยู่ด้านข้างเข้ามาปลอบว่า “เหล่าฮูหยินเจ้าคะอย่าได้โมโหไป ใจเย็นๆ อย่าได้รีบร้อนเจ้าค่ะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินรับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมือแล้วพยักหน้าเล็กน้อย
อืม นางจะรีบร้อนไม่ได้ รอไปก่อนเถอะ รอเมื่อข้ามปีนี้ไปคำท้าพนันของเจ้าสี่ก็จะกลายเป็นเรื่องขบขัน คำสัญญาที่ว่าไว้นางจะจัดการด้วยตนเอง เมื่อถึงเวลานั้นนางก็มีวิธีควบคุมบุตรชายคนโตแล้ว
จากความรักและหวงแหนของบุตรชายคนโตที่มีต่อเจ้าสี่ นางไม่เชื่อว่าเขาจะไม่ยอมก้มศีรษะรับ
จากนั้นภายในจวนก็สงบลง เพียงชั่วพริบตาเดียวก็มาถึงเทศกาลตงจื้อ
ตงจื้อเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งแห่งปี
ในราชวงศ์ต้าโจวมีเทศกาลสำคัญอยู่สามเทศกาล ได้แก่ วันตรุษจีน วันพระราชพิธีหมื่นพรรษาและตงจื้อ สามวันนี้ราชสำนักจะจัดประชุมใหญ่ ขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นรวมถึงข้าราชการคนอื่นก็จะเดินทางมาร่วมด้วย
ในวันตงจื้อนี้ ฮ่องเต้จะพาขุนนางบู๊บุ๋นมุ่งหน้าไปบวงสรวงฟ้าดินที่ชานเมือง อีกทั้งทำการสักการะขอให้มีฝนตกตามฤดูกาล ขอให้ประชาชนอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข เมื่อถึงเวลากลางวันงานเลี้ยงของประเทศจะถูกจัดขึ้นที่ชานเมือง ส่วนงานเลี้ยงประจำตระกูลจะจัดขึ้นที่วังหลังในตอนกลางคืน
ในเทศกาลสำคัญทั้งสามเทศกาลนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ชื่นชอบเทศกาลตงจื้อเป็นที่สุด เหตุผลนั้นไม่ใช่อื่นใด เพียงแค่เพราะเทศกาลตงจื้อสามารถเดินทางออกจากวังได้
ถูกต้องแล้วฟังไม่ผิดไปหรอก ฮ่องเต้ผู้เป็นใหญ่ในใต้หล้า รอคอยที่จะได้ออกไปข้างนอกปีละครั้งนี้เป็นที่สุด
นอกเหนือจากวันบวงสรวงฟ้าดินนี้แล้ว หากฮ่องเต้ประสงค์จะเดินทางออกจากราชวังก็ไม่มีโอกาส ส่วนการออกตรวจราษฎรในชุดธรรมดาน่ะหรือ เหอะๆ สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงความฝันอันงดงามที่เขียนไว้ในเรื่องเล่าเท่านั้น
เมื่อครั้นจิ่งหมิงฮ่องเต้ยังเยาว์วัยไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดจะต่อต้าน แต่หลังจากที่ถูกบรรดาขุนนางผู้เคร่งครัดปิดประตูขังเอาไว้ดุจสุนัขก็ไม่ใช่สุกรก็ไม่ปานเป็นเวลาครึ่งค่อนปี นับแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็ทำตัวว่าง่าย
จะให้ทำอย่างไรเล่า ใครใช้ให้เขาเป็นฮ่องเต้ผู้มีความเมตตากัน ไม่เช่นนั้นเขาคงจะจัดการกับเจ้าคนเหล่านั้นด้วยการนำไปฆ่าทิ้งให้สิ้น แล้วโยนใส่ไปในโรงกลั่นสุรา
การเป็นฮ่องเต้ผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรม ก็จะต้องได้รับแรงกดดันเช่นนี้
ในวันบวงสรวงฟ้าดิน จิ่งหมิงฮ่องเต้อารมณ์ดีเป็นที่สุด เขามองไปทางขุนนางที่เดินทางมาร่วมเฉลิมฉลองงานเลี้ยง ก่อนจะเอ่ยถามพานไห่ว่า “ผู้ใดคือตงผิงปั๋ว”
อืม เขารู้สึกสนใจเจ้าคนโชคร้ายนี้มานานแล้ว