ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 349 ยุยง
เทียบเชิญสลักทองประณีตและมีน้ำหนักเบา แต่พอตกถึงมือเฝิงเหล่าฮูหยินกลับมีน้ำหนักถึงพันชั่ง
นางอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อมั่นใจแล้วว่าเป็นเทียบเชิญถึงคุณหนูสี่จวนตงผิงปั๋วไม่ผิดแน่ ถึงได้ยกแก้วน้ำชาขึ้นดื่มจนหมดแก้วในอึดใจเดียว จากนั้นจึงสั่งอาฝูด้วยความปกปิดความตื่นเต้นไม่อยู่ “ไปเชิญคุณหนูสี่มา!”
อาฝูวิ่งเหยาะๆ มาเชิญคน ณ เรือนไห่ถัง ระหว่างที่เดินเป็นเพื่อนเจียงซื่อกลับไปยังเรือนฉือซิน นางโน้มตัวลงแล้วลงอีก สายตาที่มองไปยังเจียงซื่อเต็มไปด้วยความสงสัยและความเคารพ
คุณหนูสี่อยู่นิ่งๆ เงียบๆ เหตุใดถึงได้เทียบเชิญจากพระราชวังได้
ช่างน่าเหลือเชื่อเสียจริง!
“เหล่าฮูหยินเจ้าคะ คุณหนูสี่มาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินนำเทียบเชิญทับไว้ที่มือ “เชิญคุณหนูสี่เข้ามา”
สาวรับใช้เฝ้าประตูเปิดม่านผ้าฝ้ายออก สาวน้อยสวมใส่ชุดคลุมสีแดงคนหนึ่งย่ำเท้าเดินเข้ามาเสียงเบา
เมื่อเห็นชุดสีแดงสดชุดนั้น เฝิงเหล่าฮูหยินรู้สึกสบายใจขึ้นมาทันใด
หนูสี่ชอบใส่เสื้อผ้าสีสด ไม่เหมือนผู้หญิงเหล่านั้นที่ใส่แต่สีเรียบและคิดเองว่าไม่มีสิ่งใดจะเทียบเท่าได้กับความเรียบง่ายอีก แต่หารู้ไหมว่า ไม่ว่าจะเรียบง่ายหรือไม่ กับใส่เสื้อผ้าสีอะไรแล้วมันเป็นอย่างไรเล่า เขามองกันที่รูปหน้าต่างหาก
เพียงใบหน้าของหนูสี่ ก็ไม่แปลกที่นางจะมีโชคดี
เจียงซื่อเดินเข้ามาถึงในห้อง ก็ทำการถอดชุดคลุมออกแล้วยื่นให้สาวรับใช้ที่อยู่ด้านข้าง นางย่อตัวน้อมทักทายให้เฝิงเหล่าฮูหยินอย่างอ่อนน้อม “ท่านย่า”
เฝิงเหล่าฮูหยินยื่นมือออกไป ท่าทีนั้นอ่อนโยนอย่างไม่ค่อยจะได้เห็นบ่อยนัก “มานั่งข้างๆ ย่า”
เจียงซื่อเดินเข้าไปโดยที่สีหน้าไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ
เฝิงเหล่าฮูหยินมองหลานสาวอย่างถี่ถ้วน ดวงตาพลางเผยรอยยิ้มออกมา “วันนี้ทางพระราชวังส่งเทียบเชิญมาให้เจ้า เจ้าลองดูสิ”
เจียงซื่อมองเทียบเชิญอันสวยงามที่เฝิงเหล่าฮูหยินยื่นมาให้และยื่นมือรับเอาไว้
เมื่อหย่อนตาลงและมอง เจียงซื่อถูไถลายสลักบุปผาที่นูนขึ้นมาของเทียบเชิญโดยไม่รู้ตัว รูปหน้าของอวี้จิ่นที่เผยรอยยิ้มตรงมุมปากพลางปรากฏขึ้นในสมองของนาง
เขาหาวิธีทำให้นางได้รับเทียบเชิญได้จริงๆ
วันนี้นางได้รับเทียบเชิญไปงานเลี้ยงชมดอกเหมยแล้ว สองวันหลังจากนี้ก็จะเดินทางไปร่วมงานที่พระราชวัง แล้วเขาจะทำอย่างไรต่อในการทำให้ตนได้กลายเป็นพระชายาเอกที่ไม่เป็นสองรองใครของเยี่ยนอ๋อง
เจียงซื่อครุ่นคิดเรื่องนี้เงียบๆ มุมปากเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมาไม่รู้ตัว
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นางเชื่อว่าเขาทำได้
ความเชื่อใจนี้ คงมีที่มาจากชาติที่แล้ว
ในตอนนั้น นางมีสถานะเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์เผ่าอูเหมียว การปรองดองกับองค์ชายแห่งต้าโจวนั้นเกี่ยวข้องถึงความสัมพันธ์ของสองอาณาจักร ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำสำเร็จได้ด้วยตัวเอง แต่อวี้ชีกลับได้รับพระราชโองการการสมรสมาในท้ายที่สุด
เฝิงเหล่าฮูหยินมองรอยยิ้มจางๆ ของเจียงซื่อ แววตาเผยความแวววับและหยั่งถาม “ซื่อเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดถึงได้รับเทียบเชิญฉบับนี้”
เจียงซื่อยิ้มให้ “ท่านย่าล้อหลานเล่นหรือเจ้าคะ หลานจะรู้ได้อย่างไรว่าพระสนมในวังจะจัดงานเลี้ยงชมดอกเหมย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะได้รับเทียบเชิญด้วยหรือไม่ ความจริงหลานเองก็ยังสงสัยว่างานเลี้ยงเช่นนี้ หลานได้รับเทียบเชิญได้อย่างไร”
เฝิงเหล่าฮูหยินไม่เชื่อ สายตายังคงจ้องใบหน้าของเจียงซื่อ แต่สิ่งที่เห็นก็ยังคงเป็นใบหน้าที่แสดงไว้ด้วยความนิ่งเรียบ
“ในเมื่อเจ้าไม่รู้ เหตุใดย่าไม่เห็นเจ้าตกใจ”
เจียงซื่อมองเฝิงเหล่าฮูหยินอย่างประหลาดใจ “ท่านย่าเคยสอนพวกเรามิใช่หรือว่า ไม่หวั่นแม้ภูผาถล่มเป็นกิริยาท่าทางอันพึงมีของสตรี?”
การถามกลับเพียงหนึ่งประโยค ทำให้เฝิงเหล่าฮูหยินค่อนข้างทำตัวไม่ถูก นางอยากระบายความโมโหแต่ก็ทำไม่ได้
ใช่ เทียบเชิญฉบับเดียว มันก็เพียงพอที่จะทำให้นางห้ามโมโหได้
นี่เป็นถึงหนังสือการเลือกพระชายาเอกให้องค์ชายแทนฮ่องเต้เชียวนะ!
ยังไม่มองว่าจะถูกเลือกหรือไม่ หนูสี่ได้รับเทียบเชิญโดยไม่รู้สาเหตุ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้นางลืมตาอ้าปาก ต่อจากนี้ไป เวลาพูดถึงงานมงคลของหนูสี่ นางก็สามารถพูดได้อย่างองอาจผ่าเผย
พวกคำพูด คุณหนูสี่ของตระกูลเจ้าเคยยกเลิกงานสมรส? แล้วยังได้ชื่อว่ากระทำผิดอย่างไร้ความยำเกรง?
นับจากนี้แล้วมันจะเป็นอย่างไรเล่า ในเมื่อมีโอกาสได้เป็นผู้รอเลือกตำแหน่งพระชายาเอก ซึ่งผ่านการคัดเลือกอย่างเคร่งครัดโดยเบื้องบน เท่านี้ก็เพียงพอที่จะยืนยันได้แล้วว่าความประพฤติของคุณหนูสี่แห่งจวนตงผิงนั้นไร้ที่ติ ต่อจากนี้ไป ใครหน้าไหนก็ไม่สามารถหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาตำหนิต่อว่าได้อีก
เมื่อเฝิงเหล่าฮูหยินคิดได้เช่นนี้ ก็รู้สึกว่าได้ยกภูเขาออกจากอก
หลานสาวจวนปั๋วที่แต่งออกไปสองคนเกิดเรื่องขึ้นอย่างต่อเนื่อง มันรู้สึกเหนื่อยใจเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่า ถึงจะได้รับเทียบเชิญจากพระราชวังมา เฝิงเหล่าฮูหยินก็ไม่คิดว่าเจียงซื่อจะสามารถเป็นคนที่ถูกเลือก
เพราะการเป็นพระชายาเอกขององค์ชายนั้น คือเรื่องที่นางไม่กล้าแม้แต่จะคิด
“หลังจากที่กลับไป ก็ไปเตรียมตัวให้ดี ขาดเหลือสิ่งใดก็แจ้งพ่อบ้าน ย่ายังมีเครื่องประดับศีรษะสองชุดที่เคยใช้เมื่อสมัยเป็นสาว ไว้ย่าหาเจอแล้วจะให้อาฝูส่งไปให้…” เฝิงเหล่าฮูหยินพูดถึงหลายสิ่งในอึดใจเดียว นางยิ้มพร้อมกับดึงมือเจียงซื่อขึ้นมาลูบไล้ “จวนปั๋วของเราจะเสียหน้าไม่ได้”
“หลานทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นท่าทีนิ่งเรียบของเจียงซื่อ เฝิงเหล่าฮูหยินอยากกำชับอีกคำ แต่สุดท้ายก็กลืนคำเหล่านั้นกลับไป จากนั้นก็แสดงท่าทีให้กับเจียงซื่อว่ากลับไปได้แล้ว
เรื่องที่คุณหนูสี่ได้รับเทียบเชิญไปชมดอกเหมยได้แพร่งกระจายไปทั่วจวนปั๋ว
ท่าทีป่วยอิดออดเมื่อช่วงก่อนของเอ้อร์ไท่ไท่เซียวซื่อเปลี่ยนไปตั้งแต่อาหญิงโต้วมาหา นางใส่ใจกับหน้าที่ผู้ดูแลมากขึ้น เรื่องราวทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ทำออกมาได้อย่างไม่มีข้อบกพร่อง
นางแทบจะเป็นคนแรกที่ได้ยินเรื่องนี้ ตอนนั้น นางกำแก้วน้ำชาที่ร้อนนิ่งไม่พูดจาครู่ใหญ่
ส่วนเซียวมาหม่าเหมือนว่าจะดีขึ้นมากจากเหตุการณ์สูญเสียลูกสาว จิตใจที่แจ่มใสกับความกระฉับกระเฉงได้ฟื้นกลับมาเรียบร้อย หลายวันมานี้ นางทำงานให้เซียวซื่ออย่างเต็มใจและเต็มกำลัง อีกทั้งยังได้รับความไว้วางใจใหม่อีกครั้ง
เมื่อเห็นเซียวซื่อเป็นเช่นนี้ นางเอ่ยปลอบด้วยเสียงอ่อนโยนครั้งแล้วครั้งเล่า
จนเซียวซื่อรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง นางพลางกำชับ “นี่ก็เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว เสื้อผ้าในฤดูนี้ของทุกคนต้องเตรียมให้พร้อมล่วงหน้า แล้วยังมีผ้าปู ผ้าม่านเหล่านั้นอีก ข้าจำได้ว่าของที่เก็บไว้ใช้หมดไปตั้งแต่ปีที่แล้ว ควรไปซื้อของใหม่แล้ว เจ้าไปหาเชี่ยนเอ๋อร์ด้วยตัวเองหน่อย พวกบ่าวรับใช้จะได้ไม่ดูถูก ไม่หาว่าละเลยนาง”
“ไท่ไท่วางใจได้เจ้าค่ะ เดี๋ยวบ่าวไปดูให้เจ้าค่ะ”
เมื่อออกมาจากตรงเซียวซื่อแล้ว เซียวมาหม่าลูบดอกไม้ประดับศีรษะข้างผมเบาๆ จากนั้นก็ย่ำเท้าเดินไปยังที่พักของเจียงเชี่ยน
ตั้งแต่เจียงเชี่ยนกลับมาอยู่ที่จวนปั๋ว นางแทบจะไม่เดินออกจากห้อง
ไม่ใช่ว่าไม่อยากออกมา แต่นางทำไม่ได้
ด้วยความที่เฝิงเหล่าฮูหยินเคยกล่าวไว้ว่า หญิงออกเรือนที่หย่าร้างกลับมายังบ้านแม่ ก็ควรจะวางตัวให้ดี อย่างน้อยให้ผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปก่อนค่อยว่ากันต่อไป
เดิมทีเจียงเชี่ยนคิดว่าตนเองจะได้เงยหน้าขึ้นอีกครั้งหากว่าพี่ชายสอบผ่าน แต่คิดไม่ถึงว่าเรื่องที่พี่ชายมั่นใจเป็นอย่างมากจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ ปีนี้ช่างเป็นปีที่เฮงซวยอย่างที่สุดจริงๆ
เมื่อได้ยินว่าเซียวมาหม่ามาหา เจียงเชี่ยนจึงปรับสภาพจิตใจและออกมาพบ นางฟังเซียวมาหม่าพูดเรื่องยิบย่อยเหล่านั้นอย่างอดทน
นางตกต่ำมาถึงจุดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แม้แต่คำพูดของบ่าวรับใช้ข้างกายของท่านแม่ นางก็ต้องฟังอย่างอดทน
เจียงเชี่ยนรู้สึกช้ำใจเป็นพักๆ
มุมปากของเซียวมาหม่ากระดกขึ้นโดยไม่มีใครเห็น คล้ายว่าเป็นการพูดถึงอย่างไม่ตั้งใจ “ชะตาชีวิตของคุณหนูสี่ช่างดีเสียจริง ได้รับเทียบเชิญไปงานเลี้ยงชมดอกเหมยอย่างคาดไม่ถึงด้วย”
“งานเลี้ยงชมดอกเหมย?”
“เจ้าค่ะ ได้ยินว่าเป็นงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อคัดเลือกพระชายาเอกให้กับองค์ชายเจ้าค่ะ”
แววตาของเจียงเชี่ยนหดลงทันใด นางออกแรงดึงผ้าเช็ดหน้าแน่น “เหตุใดน้องสี่ถึงได้รับหรือ น้องสาวคนอื่นๆ ล่ะ”
เซียวมาหม่ายิ้มและกล่าว “มีเพียงคุณหนูสี่ที่ได้รับเจ้าค่ะ คนทั้งจวนต่างก็พูดว่า ไม่แน่คุณหนูสี่อาจจะได้เป็นพระชายาเอก…”
“เป็นไปไม่ได้!”
เซียวมาหม่าหยุดลง
เจียงเชี่ยนเม้มปากและสงบสติ จากนั้นถึงฝืนยิ้มและกล่าวออกไป “จากนี้ไป เซียวมาม่ามาหาข้าบ่อยๆ แล้วมาเล่าเรื่องข้างนอกให้ข้าฟังบ้าง”
“คุณหนูรองวางใจได้เจ้าค่ะ ไท่ไท่กำชับบ่าวแล้วว่าให้บ่าวมาบ่อยๆ”
หลังจากเซียวมาหม่ากลับแล้ว เจียงเชี่ยนพลันก้มหน้าลงทันใด นางบ่นพึมพำ “เจียงซื่อมันเป็นใคร เป็นแค่ลูกสาวท่านปั๋วที่แม้แต่สืบทอดฐานันดรยังไม่ได้ คิดว่าจะได้ขึ้นเป็นพระชายาเอกหรือ ฝันไปเถอะ!”