ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 381 เอาคืน
นำตัวเข้าเรือนจำงั้นรึ!
พวกขุนนางได้ยินต่างก็พากันอึ้ง
นี่ นี่มันไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้นี่นา ฝ่าบาททรงตรัสอย่างไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนเช่นนี้มันเหมาะสมแล้วหรือ
จิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดสายตามองพวกขุนนางด้านล่าง แล้วมองไปทางอวี้จิ่น “เยี่ยนอ๋อง เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่”
เขาอยากจะเห็นนักว่าเจ้าเด็กไม่ได้เรื่องคนนี้จะอธิบายว่าอย่างไร
อวี้จิ่นคุกเข่าลง เอ่ยเสียงเรียบ “กระหม่อมไม่มีอะไรจะพูดพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้า…”
ขุนนางสองสามคนที่ยื่นมติไม่ไว้วางใจเยี่ยนอ๋องรีบพูดด้วยความหวาดกลัว “ฝ่าบาท ไม่ได้ ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยกมือขึ้นหยุดการเคลื่อนไหวขององครักษ์ในพระตำหนัก พร้อมกับขมวดคิ้วตรัสถามออกไป “เหตุใดถึงไม่ได้”
เขารู้ดีว่าเจ้าพวกนี้มักจะระแวดระวังแต่แท้จริงแล้วขี้ขลาด!
ขุนนางท่านหนึ่งเอ่ยพูดอย่างจนปัญญา “ฝ่าบาท ถึงแม้เรื่องที่เยี่ยนอ๋องปฏิเสธนางกำนัลที่เสียนเฟยเหนียงเหนียงส่งไปให้จะเป็นการอกตัญญู แต่ แต่ความผิดไม่ถึงขั้น…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ทำหน้าเคร่งขรึม ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ “ต้าโจวให้ความสำคัญเรื่องการกตัญญู ในเมื่ออกตัญญู แน่นอนว่าต้องได้รับโทษหนัก ข้ารู้สึกว่าการนำตัวเข้าเรือนจำนั้นยังเบาไป ไม่เช่นนั้น…”
พวกขุนนางได้ยินต่างร้อนรนอยู่ไม่สุข จึงตะโกนออกมาโดยพลัน “ฝ่าบาท ไม่ได้เด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะ!”
เมื่อเห็นขุนนางคุกเข่าลงกับพื้นเต็มไปหมด จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นมา
เขายังไม่ทันได้พูดอะไรเลย อะไรคือไม่ได้เด็ดขาดกัน
พอชำเลืองมองอวี้จิ่น เห็นเขาคุกเข่าลงบนพื้น สีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ จิ่งหมิงฮ่องเต้ทั้งโกรธทั้งหมดปัญญา
เจ้าคนโง่ เหตุใดถึงต้องไล่นางกำนัลที่เสียนเฟยส่งไปด้วย เก็บไว้ทำกับข้าวกับปลาก็ได้ ทำไม่ถึงซื่อได้ขนาดนี้! ทว่าคิดดูแล้ว อย่างน้อยเจ้าเจ็ดก็ยังเก็บนางกำนัลที่เขาส่งไปให้ แสดงว่าในใจของเจ้าเจ็ดเสด็จพ่ออย่างเขาสำคัญกว่าเสด็จแม่สินะ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ทำหน้าจริงจัง
พอคิดดูดีๆ เจ้าลูกไม่รักดีคนนี้ก็สมควรโดนตีจริงๆ
ตามที่พวกขุนนางพูดเกลี้ยกล่อม จิ่งหมิงฮ่องเต้นิ่งเงียบ สีหน้าเคร่งขรึมจนน่าตกใจ
ทันใดนั้นเจินซื่อเฉิงก็เอ่ยปากพูดขึ้น “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าเดิมที่ใต้เท้าทุกท่านยื่นมติไม่ไว้วางใจเยี่ยนอ๋องนั้นไม่เหมาะสม เยี่ยนอ๋องไม่ใช่องค์รัชทายาท ไม่จำเป็นต้องแบกรับการสืบทอดพระราชบัลลังก์ต่อจากฮ่องเต้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เสียนเฟยเหนียงเหนียงเพียงแค่ส่งนางกำนัลไปเพื่อช่วยเรื่องภายในเรือน ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับบ้านเมือง เยี่ยนอ๋องปฏิเสธความหวังดีของผู้อาวุโส ฝ่าบาทกับเสียนเฟยเหนียงเหนียงเป็นเสด็จพ่อเสด็จแม่ของเขาเรียกเขาไปอบรมสั่งสอนเป็นการส่วนตัวก็ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ นำมายื่นมติไม่ไว้วางใจในพระตำหนักใหญ่เช่นนี้ ต้าโจวของพวกเราไม่มีเรื่องอื่นต้องเป็นกังวลแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้แอบพยักหน้าเห็นด้วยอยู่ในใจ
สุดท้ายแล้วก็มีแต่เจินอ้ายชิง[1]ที่เข้าใจ
พวกขุนนางกัดฟันกรอด
ตาแก่เจินซื่อเฉิงทำตัวดีต่อหน้าฝ่าบาท มีผู้ใดกันไม่รู้ว่าเยี่ยนอ๋องเป็นคนช่วยลูกชายเขาไว้ นี่มันเห็นแก่ตัวชัดๆ
“ไม่ต้องนำตัวเข้าเรือนจำงั้นรึ” เมื่อเห็นว่าพวกขุนนางต่างเตรียมที่จะสู้กับเจินซื่อเฉิง จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงตรัสถามด้วยความสงสัย
ขุนนางทั้งหลายยุติการวิพากษ์วิจารณ์ไปชั่วขณะหนึ่ง พร้อมกับเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันออก “ยังจะทำให้ฝ่าบาทต้องพิจารณาทบทวนอีกครั้ง!”
แน่นอนว่าที่เยี่ยนอ๋องทำนั้นไม่ถูกต้อง เพียงแต่ว่าการต้องเข้าเรือนจำเพราะไม่รับนางกำนัลที่เสด็จแม่มอบให้นั้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปพวกเขาจะกลายเป็นคนอย่างไรกัน
ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่เยี่ยนอ๋องช่วยชีวิตจอหงวนหลางก็ถูกเล่าลือออกไปแล้ว เวลานี้ประชาชนทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนทราบกันแล้วว่านิมิตมงคลของต้าโจวถูกเยี่ยนอ๋องปกป้องไว้ หากพวกเขาส่งตัวเยี่ยนอ๋องเข้าเรือนจำ จากนี้ไปเจ้าหน้าที่ตรวจการชั้นน้อยใหญ่คงถูกโยนไข่เน่าใส่เป็นว่าเล่นแน่
พอนึกถึงสภาพการณ์นั้น พวกขุนนางทั้งหลายต่างก็รู้สึกหวาดกลัว
จิ่งหมิงฮ่องเต้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตรัสขึ้น “ในเมื่อเจินอ้ายชิงขอความเมตตาให้เยี่ยนอ๋อง เช่นนั้นข้าก็ไม่เอาความ แต่ว่าต้องได้รับการลงโทษ เยี่ยงนี้แล้วกัน ลงโทษให้เยี่ยนอ๋องอยู่แต่ในจวนอ๋อง คิดทบทวนความผิดของตัวเองสักเจ็ดวัน!”
ขุนนางทั้งหลายต่างพากันโล่งอก เอ่ยขึ้นพร้อมกัน “น้อมรับพระบัญชาฝ่าบาทพะย่ะค่ะ”
เมื่อทุกคนออกไปจากพระตำหนักฮ่องเต้ก็มีลมเย็นพัดผ่านเข้ามา บัลลังก์หลิงไถดูสงบเยือกเย็นขึ้นมาทันที
ไม่ใช่สิ พวกเขามายื่นมติไม่ไว้วางใจเยี่ยนอ๋อง และเร่งให้ฝ่าบาทลงโทษเยี่ยนอ๋อง แล้วเหตุใดสุดท้ายถึงได้กลายเป็นพวกเขามาขอความเมตตาให้เยี่ยนอ๋องไปได้ล่ะ
นี่พวกเขาถูกฝ่าบาทหลอกงั้นหรือ
เมื่อหันกลับไปมองที่ประตูวังอันเงียบสุขุม ขุนนางทั้งหลายก็ผ่อนฝีเท้าลง
หากตอนนี้กลับเข้าไปขอให้ฝ่าบาทเพิ่มโทษเยี่ยนอ๋อง ก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดอยู่หรือไม่
ช่างเถอะ ช่างเถอะ ครั้งหน้าจะต้องตื่นตัวไว้เสมอ อย่าได้คล้อยตามอีก
ณ ภายในวัง จิ่งหมิงฮ่องเต้มองอวี้จิ่นที่ยังคงคุกเข่าอยู่ แล้วตรัสถามออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ “องค์ชายเจ็ด เหตุใดเจ้าถึงไม่ยอมรับนางกำนัลที่เสด็จแม่เจ้าส่งให้”
อวี้จิ่นหลุบตาลง เอ่ยเสียงเรียบ “ลูกโตป่านนี้เพิ่งจะได้รับของขวัญจากเสด็จแม่เป็นครั้งแรก คาดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นคนเป็นๆ ถึงสองคน ตอนนั้นลูกนึกว่ามีคนส่งมาโดยแอบอ้างชื่อเสด็จแม่ คนเป็นนั้นไม่เหมือนของตาย เก็บนางกำนัลสองคนนั้นไว้ข้างกาย หากเป็นมือสังหารจะทำอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หลงกลพยักหน้า
มีเหตุผล…มีเหตุผลบ้าบออะไรกัน! เกือบจะคล้อยตามเจ้าลูกบ้าคนนี้ไปแล้วเชียว
ทว่าเสียนเฟยก็เกินไปจริงๆ เจ้าเจ็ดโตขนาดนี้แล้วไม่นึกเลยว่านี่เป็นครั้งแรกที่ให้ของขวัญเขา…
เมื่อคิดเช่นนี้ ความโมโหที่คุกรุ่นอยู่ในใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ลดลงมาก จึงตรัสออกมาด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม “เจ้าเติบโตอยู่นอกวังมาตั้งแต่เด็ก มีอีกหลายเรื่องที่เจ้าไม่รู้ ข้าส่งนางกำนัลเจี้ยวอิ่นสองคนไปหาเจ้า ห้ามจัดการให้พวกนางไปทำเรื่องอื่นๆ ข้าส่งไปเพื่อสอนหญิงเจ้านะ”
อวี้จิ่นนิ่งเงียบ
เมื่อไม่เห็นเขาขอบขอบพระทัย จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงรู้สึกประหลาดใจยิ่งขึ้น “เป็นอะไรไป”
ท่ามกลางองค์ชายมากมายไม่เคยพบเคยเห็นคนที่อาจกล้าเช่นนี้มาก่อน รู้สึกแปลกใหม่เสียจริง
อวี้จิ่นเงยหน้าขึ้น มองเคราที่ขาวโพลนของจิ่งหมิงฮ่องเต้ พลางพูดด้วยความลำบากใจ “มีบางอย่าง หากลูกพูดไปกลัวว่าเสด็จพ่อจะโกรธ แต่หากไม่พูดก็ไม่สบายใจ”
“พูดมา” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอามือไขว้หลังเดินเข้ามา
อืม หากทำให้เขาโกรธมาก จะได้ถีบได้สะดวก
อวี้จิ่นทำท่าทางจริงจัง “ลูกเห็นชาวบ้านนอกวังมีลูกตั้งเยอะแยะ ไม่เคยเห็นเลยว่าจะมีผู้ใดไม่เข้าใจเรื่อง…”
“ไม่ได้เรื่อง!” จิ่งหมิงฮ่องเต้พาลโกรธเอาดื้อๆ
เจ้าลูกไม่รักดี เอาเรื่องนอกวังมากระทบจิตใจเขา
อวี้จิ่นไม่พูดไม่จา นั่งคุกเข่านิ่ง
จิ่งหมิงฮ่องเต้เดินวนรอบเขา ยิ่งคิดก็ยิ่งพิโรธ จึงยกเท้าถีบออกไป
อวี้จิ่นไม่หลบ ยอมรับเท้าที่เตะเข้ามาที่ก้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชะงัก ตรัสถามเสียงขรึม “นี่เจ้าไม่อยากรับนางกำนัลงั้นรึ”
“เสด็จพ่อทรงมีพระปัญญาอันเฉลียวฉลาดยิ่งนัก”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ระงับโทสะ ตรัสถามออกไป “มันเป็นเพราะเหตุใดกันแน่”
ถึงขั้นยอมรับโทษจากคนที่เป็นพ่ออย่างเขา แทนที่จะยอมรับนางกำนัลไปด้วยความเต็มใจกัน
อวี้จิ่นพูดอย่างจริงจัง “ลูกเป็นคนที่ยอมขาดดีกว่ามีมากเกินไป พวกนางยังดูดีไม่เท่ากับลูก หลับนอนด้วยไม่ลงจริงๆ…”
“ไสหัวออกไปให้พ้นหน้าข้าซะ!” จิ่งหมิงฮ่องเต้ชี้นิ้วออกไป เคราสะบัดเอียงตาม
อวี้จิ่นรีบลุกขึ้น “ลูกขอทูลลา ลูกจะกลับไปกักบริเวณตัวเองอย่างดี”
พริบตาเดียวภายในวังก็เหลือเพียงแค่จิ่งหมิงฮ่องเต้กับบ่าวรับใช้
จิ่งหมิงฮ่องเต้เงียบอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งโกรธทั้งตลก “เจ้าคนไม่ได้เรื่อง”
หากองค์รัชทายาทสามารถยอมขาดดีกว่าจะมีให้มาก เขาก็คงสบายใจได้
อวี้จิ่นเดินออกจากพระราชวังไปก็เห็นเจินซื่อเฉิงยืนอยู่ใต้ต้นหลิว
“ใต้เท้าเจินยังไม่ไปอีกหรือ” พอเดินออกมาจากพระราชวังได้ก็รู้สึกหายใจสบายขึ้นมาก อวี้จิ่นถามด้วยรอยยิ้ม
เจินซื่อเฉิงเดินตรงมาที่อวี้จิ่นพร้อมกับน้อมคำนับ “ยังไม่ได้ขอบคุณท่านอ๋องที่ช่วยชีวิตลูกชายข้าไว้เลย ลูกชายข้าก็อยากจะมาขอบคุณท่านอ๋องด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ฝ่าบาทจึงออกพระบัญชาลงมาว่าให้เขาอยู่แต่ในจวนชั่วคราว…”
อวี้จิ่นโบกมือปัดเป็นเชิงไม่ถือสา “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ใต้เท้าเจินกลับไปทำธุระเถอะ ข้ายังต้องกลับจวนไปสำนึกผิดอีก”
เจินซื่อเฉิงเงียบไปครู่หนึ่ง พลางยิ้มออกมา “ท่านอ๋องกับคุณหนูเจียงซื่อต้องเป็นคู่ที่มีความสุขมากแน่”
อวี้จิ่นยิ้ม “ใต้เท้าเจินตัดสินคดีได้อย่างแม่นยำดั่งเซียน แถมดวงตายังเฉียบแหลมกว่าผู้อื่น ข้าขอตัวก่อนล่ะ”
—————————
[1]อ้ายชิง คำที่ฮ่องเต้ใช้เรียกขุนนางที่โปรดปราด