ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 384 โอสถเทียบหนึ่ง
เนื่องจากชุยหมิงเย่ว์ก่อเรื่องไว้เมื่อปีก่อน เป็นเหตุให้ไทเฮาเองรู้สึกรำคาญใจอยู่พักหนึ่ง แต่อย่างไร ในสายตาไทเฮา องค์หญิงใหญ่หรงหยางก็แตกต่างจากคนอื่นๆ เพราะนางเป็นคนเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่พร้อมๆ กับจิ่งหมิงฮ่องเต้
เมื่อไทเฮาผงกศีรษะรับ นางในคนสนิทก็ส่งสายตาให้ข้าหลวงทันที
ข้าหลวงเชื้อเชิญองค์หญิงใหญ่หรงหยางเข้ามาด้านใน
ม่านลูกปัดกวัดแกว่งไปมาพร้อมการมาถึงของสตรีงาม และในมือของนางมีกล่องผ้าแพรกล่องหนึ่ง
“เสด็จแม่ ทรงดีขึ้นบ้างไหมเพคะ” ยามอยู่ต่อหน้าคนอื่น องค์หญิงใหญ่หรงหยางเต็มเปี่ยมไปด้วยความสง่างามและความเย่อหยิ่ง ทว่ายามอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮา นางเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้น
ไทเฮาค่อยๆ ปรือตาขึ้นพร้อมตอบด้วยน้ำเสียงไม่เย็นไม่ร้อน “ก็ยังไม่ตาย”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางเม้มปากแน่น
ไทเฮายังกริ้วอยู่ ทรงกริ้วเพราะหมิงเย่ว์ไม่รู้จักระมัดระวัง และทรงกริ้วเพราะนางมิได้อบรมบุตรีให้ดี
องค์หญิงใหญ่วางกล่องผ้าแพรลงบนโต๊ะตัวเล็ก ส่งยิ้มพลางจับมือผู้เป็นมารดา “เสด็จแม่ ตรัสเช่นนี้ หรงหยางเจ็บปวดใจเหลือเกินเพคะ ท่านต้องอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร มิฉะนั้นแล้วหม่อมฉันจะทำอย่างไรเพคะ”
ไทเฮาเหล่มองไปที่องค์หญิงใหญ่หรงหยางก่อนจะหัวเราะเย้ยหยัน “อะไรคือจะทำอย่างไร บุตรสาวของเจ้าโตจนถึงวัยที่จะต้องออกเรือนแล้ว เจ้ายังกล่าววาจาไร้อนาคตเช่นนั้นอีกหรือ ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางหลับตาลง ขนตาของนางสั่นเล็กน้อย สีหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนฉายแววเศร้าสร้อย “เสด็จแม่อาจมิทรงทราบ ชุยซวี่เอง…ก็ไม่เคยเห็นหม่อมฉันในสายตาเลยเพคะ หากท่านไม่ทรงห่วงใยด้วยอีกคน หม่อมฉันคงจะ…”
“เจ้าเนี่ยนะ” ไทเฮาถอนหายใจ ความโกรธเคืองทั้งหมดจางหายไปสิ้น
นางไร้บุตรสืบสกุล นางจึงเห็นองค์หญิงใหญ่หรงหยางไม่ต่างจากเลือดเนื้อแท้ๆ ของนาง
ครั้นองค์หญิงหรงหยางเห็นว่าเหมาะแก่เวลาแล้ว จึงเอื้อมมือไปเปิดกล่องผ้าแพรบนโต๊ะตัวเล็ก แล้วหยิบถ้วยกระเบื้องสีขาวที่มีฝาปิดออกมา
ไทเฮามองไปที่ถ้วยนั้น “นี่คือ…”
องค์หญิงใหญ่เปิดฝากระเบื้องนั้นออก ด้านในมีน้ำแกงใสสีอำพัน
“ลูกเชิญหมอชาวบ้านที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งมา และขอให้เขาออกเทียบโอสถนี้ให้เพคะ หมอบอกว่าโอสถนี้จะสามารถรักษาอาการประชวรแปลกๆ ของเสด็จแม่ได้ อยากลองเสวยดูหรือไม่เพคะ”
ไทเฮาขมวดคิ้วพลางพินิจมองไปที่ยาในถ้วยอีกครั้ง
ครั้นดูไปแล้วก็แปลกตรงที่ยานี้แตกต่างจากยาต้มปกติที่นางเคยกิน เพราะมีเพียงกลิ่นจางๆ เท่านั้น
“เสด็จแม่…” องค์หญิงใหญ่หรงหยางขานเรียกพร้อมกับสายตาประกายความหวัง
ไทเฮาใช้เวลาตกลงใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า
ทันทีนั้นมีนางกำนัลคนหนึ่งถือช้อนเงินเดินตรงไปตักโอสถนั้นขึ้นมาชิม
ฝ่ายองค์หญิงก็มิได้เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแปลก
เพราะถึงแม้เป็นบุคคลที่ใกล้ชิดไทเฮาเพียงใด แต่หากนำอาหารจากนอกวังมาถวายก็จำเป็นต้องให้นางกำนัลตรวจสอบพิษเสียก่อน
อันที่จริง การนำอาหารจากนอกวังเข้ามาถวายถือเป็นเรื่องต้องห้าม แม้รู้ดีว่านี่เป็นการละเมิดกฎ แต่เพื่อพระวรกายของไทเฮา นางก็พร้อมจะยอมเสี่ยง
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางกำนัลผู้นั้นก็พยักศีรษะเล็กน้อยเป็นสัญญาณ แล้วจึงมีนางในอีกสองคนเข้ามายกถ้วยโอสถถวายให้แก่ไทเฮา
“เสด็จแม่รู้สึกอย่างไรบ้างเพคะ” เมื่อเห็นว่าไทเฮาดื่มยานั้นแล้ว ใจขององค์หญิงใหญ่ก็กระตุกวูบ นางจึงถามด้วยความระมัดระวัง
ไทเฮาลืมตาขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มระบายเล็กน้อยที่มุมปาก “ดูเหมือนว่าจะสบายขึ้นแล้ว”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางแย้มยิ้มเป็นสุข “ดีเหลือเกินเพคะ ได้ยินหมอท่านนั้นบอกว่าหากเสวยโอสถนี้แล้วจักทำให้รู้สึกง่วงนอน เสด็จแม่ทรงพักเสียหน่อยเถิดเพคะ ไม่แน่ว่าตื่นบรรทมแล้ว พระอาการอาจจะดีขึ้น”
แม้ไทเฮาจะไม่เชื่อว่ายาวิเศษวิโสได้ถึงเพียงนั้น แต่ก็เพียงส่งยิ้มพร้อมพยักหน้ารับ “ช่างใส่ใจเหลือเกิน”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางยืดหลังขึ้น “หม่อมฉันไม่รบกวนการพักผ่อนจะดีกว่าเพคะ”
เป็นไปตามที่องค์หญิงใหญ่ว่าไว้ ไม่ช้าไม่นานไทเฮาก็เริ่มมีอาการง่วงงุน นางหลับใหลยาวไปถึงเช้าวันที่สอง
จิ่งหมิงฮ่องเต้กำลังเคียดขึ้ง “ไปพาตัวองค์หญิงใหญ่หรงหยางมาพบข้าเดี๋ยวนี้! พวกเจ้าไปเอาความกล้าหาญมาจากไหนถึงได้ปล่อยให้ไทเฮาเสวยอาหารที่มาจากนอกวัง!”
นางกำนัลในตำหนักฉือหนิงต่างก็คุกเข่าโดยพร้องเพรียงด้วยใบหน้าซีดเซียว เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้พิโรธขึ้งเช่นนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล้าก้าวเท้าออกไปเลยสักคนเดียว
แต่แล้วก็มีนางกำนัลอีกคนหนึ่งถลาเข้ามา “ไทเฮาฟื้นแล้วเพคะ ไทเฮาฟื้นแล้วเพคะ!”
แพทย์หลวงผู้หนึ่งเดินตามนางกำนัลผู้นั้นออกมาพร้อมใบหน้าพิลึกพิลั่น
“เป็นอย่างไร” จิ่งหมิงฮ่องเต้เดินเข้าไปด้านในพร้อมถามอย่างร้อนใจ
แพทย์หลวงรีบตอบ “ถวายพระพรฝ่าบาท พระอาการของไทเฮาหายเป็นปลิดทิ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตกตะลึงนิ่งไปก่อนจะจ้องไปที่แพทย์หลวงอย่างคาดคั้น “จริงรึ”
ในเสี้ยวนาทีนั้นหมอหลวงเองก็คล้ายกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน เขาได้แต่พยักหน้ารับหงึกหงัก “กระหม่อมได้ตรวจดูชีพจรของไทเฮาแล้วพ่ะย่ะค่ะ พระอาการของพระองค์ทรงดีขึ้นแล้วดังที่กราบทูลไป ขอพระองค์ทรงพระเกษมสำราญค้ำฟ้าพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่อาจรับฟังถ้อยคำไร้สาระของแพทย์หลวงได้อีกต่อไป เขารีบสาวเท้าเข้าไปทันที
มีนางในช่วยประคองไทเฮาลงจากเตียง
“เสด็จแม่ เหตุใดพระองค์ถึงลุกขึ้นมาเดินแล้วเล่า”
ไทเฮาเผยยิ้มเบาใจที่มีให้เห็นได้ไม่บ่อยนัก “ฝ่าบาทเสด็จมาแล้วรึ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้รีบเข้าไปประคองไทเฮาเอาไว้
ไทเฮาเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็ถอดถอนหายใจออกมา “ข้าคิดว่าคราวนี้คงมิได้กลับมาแล้ว โชคดีที่ได้หรงหยาง…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ้มเหยเกพลางถาม “เสด็จแม่รู้สึกอย่างไรบ้าง”
ไทเฮาเกาะเกี่ยวที่วางแขนเก้าอี้แล้วค่อยๆ ทิ้งตัวนั่งลง “รู้สึกร่างกายบางเบา มีแรงกระปรี้กระเปร่าขึ้นแล้ว จริงซี แล้วหรงหยางเล่า รีบให้คนไปตามหรงหยางมาที่วังเร็วเข้า ข้าอยากจะรู้ว่านางไปเชิญหมอวิเศษผู้นั้นมาจากไหนถึงได้ออกเทียบโอสถได้น่าอัศจรรย์เพียงนี้”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักศีรษะ “จริงสิ หมอวิเศษเช่นนี้เห็นทีต้องให้อยู่ในวังหลวง เสด็จแม่ยังมิต้องร้อนพระทัยไป อีกเดี๋ยวหรงหยางคงจะมาถึงแล้ว”
ทันทีที่เสียงเงียบลง ข้าหลวงก็ตะโกนเสียงแหลมขึ้นว่า “องค์หญิงใหญ่หรงหยางเสด็จ…”
“รีบให้นางเข้ามาเร็วเข้า!” จิ่งหมิงฮ่องเต้และไทเฮากล่าวเป็นเสียงเดียว
องค์หญิงใหญ่หรงหยางเดินเข้ามา ครั้นเห็นหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้แล้วจึงรีบคุกเข่าลงทันที “ไม่ทราบว่าน้องทำความผิดใด ขอเสด็จพี่ช่วยชี้แนะด้วยเพคะ…”
ไทเฮาหันไปมองจิ่งหมิงฮ่องเต้ด้วยสายตางุนงง “ฝ่าบาท นี่เรื่องอะไรกัน”
ฮ่องเต้กระแอมไอแผ่วเบา พลางหันไปเรียกองค์หญิงใหญ่หรงหยางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “รีบลุกขึ้นเถิด ใครบอกกันว่าเจ้ามีความผิด ที่ข้าเรียกเจ้าเข้ามาก็เพราะพระอาการของไทเฮาดีขึ้นแล้ว ได้ข่าวว่าเป็นเพราะยาที่เจ้านำมาถวายเมื่อวานนี้…”
วินาทีนั้นดูเหมือนว่าองค์หญิงใหญ่หรงหยางจะเพิ่งสังเกตเห็นไทเฮาที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ ใบหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นความชื่นชมยินดี “เสด็จแม่ทรงดีขึ้นแล้วหรือเพคะ”
ไทเฮาส่งยิ้ม “ดูเจ้าตกใจเพียงนี้ ก็มิใช่เพราะยาที่เจ้านำมาเมื่อวานหรอกรึ”
นัยน์ตาของนางเรื่อสีแดงขึ้นในทันใด นางหยิบผ้าขึ้นมาซับน้ำตา
“เป็นอะไรไปล่ะ” ไทเฮาตรัสถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
พระอาการของไทเฮาหายดีเช่นนี้ เห็นทีความสัมพันธ์กับองค์หญิงใหญ่ของแน่นแฟ้นขึ้นเป็นเท่าตัว
องค์หญิงใหญ่หรงหยางเขยิบเข้ามาใกล้แล้วทรุดตัวลงที่หัวเข่าของไทเฮาก่อนจะสารภาพอย่างโล่งใจ “เสด็จแม่ทรงหายดีแล้ว หม่อมฉันก็เบาใจ แม้ท่านหมอผู้นั้นจะบอกว่าสามารถรักษาพระองค์ได้ ทว่าหม่อมฉันก็มิอาจวางใจสงบ แค่คิดว่าถ้าเรื่องกลับตาลปัตร ชีวิตของหม่อมฉันคงถึงคราวจบสิ้นเป็นแน่…”
ครั้นพูดจนถึงท่อนสุดท้าย นางก็เงียบไป
ไทเฮาได้ยินดังนั้นก็ยิ่งซาบซึ้งใจเป็นที่สุด
การเจ็บป่วยครั้งนี้ นางได้กินยารักษามานับไม่ถ้วน หมอหลวงพวกนั้นต่างก็ไร้ความสามารถ ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ หรงหยางกล้าเสี่ยงชีวิตของตัวเองเพื่อแลกกับการที่นางจะหายดี เห็นได้ชัดว่านางกตัญญูยิ่งนัก
“ลำบากเจ้าแล้ว จริงซี หมอวิเศษผู้นั้นอยู่ที่ไหนกัน ข้าอยากจะกล่าวขอบคุณเขาเสียหน่อย”
จิ่งหมิงฮ่องเต้รีบเอ่ยเสริม “จริงซี หมอวิเศษเพียงนี้เห็นทีข้าคงต้องตกรางวัลอย่างงาม!”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางละล้าละหลังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่งยิ้มพลางบอก “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะให้คนไปตามท่านหมอผู้นั้นเข้าวังมาเพคะ”
ไม่ช้าไม่นาน ชายชราพร้อมเคราสีเงินก็มาปรากฏตัวต่อหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้สำราญใจไม่น้อย หมายจะให้หมอวิเศษผู้นี้เข้าไปอยู่ในสำนักแพทย์หลวง
ทว่าชายชรากลับปฏิเสธ “กระหม่อมคุ้นชินกับชีวิตสมถะเสียแล้ว อีกทั้งอายุอานามก็แก่หงำเหงอะ การจะรับตำแหน่งแพทย์หลวงคงทำได้ยากยิ่ง แท้จริงแล้ว พระอาการของไทเฮามิได้รักษายากเย็น เพียงแต่ว่าโอสถที่จำเป็นต้องใช้นั้นหาได้ยากพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วมันยาอะไรกัน” จิ่งหมิงฮ่องเต้ถามอย่างใคร่รู้