ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 385 ชุบตัว
ชายชราเงียบไป
จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นเช่นนั้นก็อดสงสัยมิได้ จึงตรัสถามซ้ำ “สรุปแล้วคือยาวิเศษอะไรรึ”
ชายชราหัวเราะ ท่าทางอึกอักเหลือประมาณ “จะว่าวิเศษก็หาได้วิเศษไม่ เพราะใครต่างก็มีไว้ในครอบครอง แต่ทว่าจะไม่วิเศษก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะต่อให้มีเงินทองก็ไม่อาจซื้อได้…”
เขาว่าไปเช่นนั้นพลางเหลือบมององค์หญิงใหญ่หรงหยางอย่างเสียมิได้
องค์หญิงใหญ่ส่ายศีรษะเล็กน้อย
จิ่งหมิงฮ่องเต้สังเกตเห็นทางท่าไขสือของทั้งคู่ จึงดึงหน้าเคร่งขรึม “หรงหยาง สรุปแล้วคือยาอะไรกันแน่ นี่เจ้าคงไม่ได้กำลังห้ามไม่ให้ท่านหมอพูดหรอกใช่หรือไม่”
“มัน…” องค์หญิงใหญ่หรงหยางยังตกลงใจไม่ได้
นั่นทำให้ไทเฮาสงสัยตามไปด้วย “หรงหยาง มีสิ่งใดที่เจ้าบอกไม่ได้งั้นรึ”
อากัปกิริยาของนางเปลี่ยนไปจนยากเกินคาดเดา และในที่สุดก็ค่อยๆ พยักศีรษะ
ชายชราจึงยอมตอบแต่โดยดี “กราบทูลฝ่าบาท ไทเฮา โอสถนี้ได้มาจากเนื้อมนุษย์ขนาดสองเหลี่ยง โดยต้องใช้เนื้อส่วนแขนของสตรีที่ยังไม่ออกเรือนเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ…”
“ว่าอย่างไรนะ” ไทเฮาตะลึงพรึงเพริดในทันที ภายในท้องปั่นป่วนขึ้นมาทันใด ใบหน้าย่ำแย่เหลือประมาณ
องค์หญิงใหญ่หรงหยางตะลีตะลานคุกเข่าลง “ได้โปรดเสด็จแม่อย่าทรงถือโทษที่ลูกปิดบังเลยนะเพคะ ลูกเพียงแต่เกรงว่าหากเสด็จแม่ทรงทราบ แล้วจะทรงไม่กล้าเสวยเพคะ…”
พระพักตร์ของฮ่องเต้ก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน
เสด็จแม่กินเนื้อมนุษย์เข้าไป ทว่ามิรู้ตัวเลยรึ นี่ก็หมายความว่า เนื้อมนุษย์ไม่ต่างจากเนื้ออื่นๆ?
แค่กๆ เหมือนจะเริ่มคิดไปไกลแล้ว
ครั้นรวบรวมสติได้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ส่งสายตาเป็นห่วงเป็นใยไปที่ไทเฮา
ฝ่ายไทเฮาในขณะนั้นปรับอารมณ์กลับสู่สภาวะปกติแล้ว
สำหรับสตรีผู้ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของวังหลัง หากการกินเลือดเนื้อมนุษย์แล้วทำให้หายป่วยจากโรคได้ นั่นก็นับว่าเป็นยารักษาแขนงหนึ่ง ตราบใดที่มีฤทธิ์ในการรักษาก็นับว่ากินได้ทั้งนั้น
“ข้าไม่เป็นอะไร เพียงแต่โอสถนั่น…”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางเงียบงันชั่วครู่ก่อนจะตอบ “เป็นเนื้อที่ตัดออกมาจากแขนของหมิงเย่ว์เพคะ…”
“ของหมิงเย่ว์งั้นรึ” ไทเฮาตกตะลึงยิ่งกว่าเก่า
จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ประหลาดใจดุจกัน
ในความทรงจำของเขา หลานสาวผู้นี้เป็นคนสุขุมและสงบเสงี่ยมอยู่เสมอ จนกระทั่งเรื่องฉาวเมื่อปีก่อนได้สร้างความตกใจให้เขาไม่น้อย แต่เขาไม่คิดว่านางจะกล้าเฉือนเนื้อตัวเองเพื่อช่วยไทเฮา…
ไทเฮาในขณะนี้สงบลงมากแล้ว นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเจือความห่วงใย “แล้วหมิงเย่ว์เป็นอย่างไรบ้าง”
ต่อให้จะเคยไม่พอใจหมิงเย่ว์มากเพียงใด ทว่าเรื่องในวันนี้ก็สามารถลบความรู้สึกเช่นนั้นได้จนหมดสิ้น
องค์หญิงใหญ่หรงหยางเช็ดหางตาอย่างเบามือ “ตั้งแต่หมิงเย่ว์เฉือนเนื้อออกมา อุณหภูมิร่างกายของนางก็สูงผิดปกติ จนป่านนี้แล้วยังไม่ฟื้นเลยเพคะ…”
ครั้นได้ฟังเช่นนั้น ใบหน้าของไทเฮาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย นางถามอย่างอดไม่ได้ว่า “แล้วไฉนถึงไม่เลือกคนอื่นเล่า”
บ่าวรับใช้ตั้งมากมาย ไฉนถึงต้องให้บุตรสาวของตนเองหลั่งเลือดเฉือนเนื้อตัวเอง…
องค์หญิงใหญ่หรงหยางถอนหายใจ “ท่านหมอบอกว่า ยิ่งเลือดเนื้อของผู้พลีกายสูงส่งมากเท่าไหร่ ประสิทธิภาพของโอสถก็สูงตามไปด้วยเพคะ… หมิงเย่ว์ทราบความนี้เข้าก็คว้ากริชออกมาเฉือนเนื้อแขนของตัวเองทันที หม่อมฉันห้ามอย่างไรก็ไม่เป็นผล…”
“เจ้าคนนี้ เจ้าเด็กคนนี้ช่าง…” ไทเฮาจนด้วยคำพูด
องค์หญิงใหญ่รีบบอกเพื่อคลายกังวล “เสด็จแม่มิต้องกังวลพระทัยแทนนางไปนะเพคะ อย่างไรพลานามัยของเสด็จแม่ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด หมิงเย่ว์นางยังเยาว์วัย แค่เป็นไข้นิดๆ หน่อยๆ หาใช่เรื่องใหญ่เพคะ…”
ไทเฮาเอ่ยตัดบท “ใครว่าเป็นไข้มิใช่เรื่องใหญ่ เป็นไข้น่ะอันตรายยิ่งนัก จริงสิ ว่าแต่ท่านหมอผู้นี้ได้ดูอาการของนางแล้วหรือยัง”
ชายชราเอ่ยตอบ “กระหม่อมเชี่ยวชาญในการรักษาโรคพิสดาร หากเป็นไข้หวัดธรรมดาเรียกหมอทั่วไปมาดูอาการจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาหันไปหาฮ่องเต้ “ฝ่าบาท…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้า “เสด็จแม่วางพระทัยได้ ลูกจะสั่งหมอหลวงให้ไปดูอาการของหมิงเย่ว์เดี๋ยวนี้เลย”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางยืดตัวขึ้น “เสด็จพี่ เช่นนั้นน้องถวายบังคมลากลับจวนไปพร้อมหมอหลวงเลยแล้วกันเพคะ น้องก็เป็นห่วงหมิงเย่ว์อยู่เหมือนกัน”
“ไปเถิด หากมีเรื่องใดก็รีบส่งคนมารายงานข้าทันที”
ภายในตำหนักฉือหนิงกลับสู่ความเงียบสงบ
ไทเฮานั่งหลับตาพลางนับลูกประคำในมือ
หลังจากเวลาล่วงเลยไปราวหนึ่งชั่วยาม หมอหลวงก็กลับมารายงาน
ไทเฮารับสั่งให้เชิญตัวหมอหลวงเข้ามาก่อนจะถามเสียงเรียบ “คุณหนูใหญ่ชุยอาการเป็นอย่างไรบ้าง”
หมอหลวงรายงานตอบ “คุณหนูใหญ่ชุยมีบาดแผลลึกที่แขนซ้าย มีอาการอักเสบจึงเป็นเหตุให้มีไข้สูงพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นไทเฮาได้ฟังก็รู้สึกสะเทือนใจยิ่งนัก
ยามที่ประทับอยู่ในวังหลัง นางไม่อาจไว้ใจผู้ใดง่ายๆ แม้ว่าเรื่องที่ชุยหมิงเย่ว์เฉือนแขนตนเองจะออกมาจากปากขององค์หญิงใหญ่หรงหยาง แต่ทว่านางก็ยังรู้สึกคลางแคลงใจอยู่เล็กน้อย แต่บัดนี้ครั้นได้ยินจากปากหมอหลวงแล้ว ความสงสัยนั้นก็พลันมลายสิ้น
เพื่อที่จะช่วยชีวิตของนาง หมิงเย่ว์กล้าเฉือนเนื้อตัวเองโดยไม่ลังเลเลย…
“แล้วจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้หรือไม่”
หมอหลวงก้มหน้าพลางตอบ “บาดแผลลักษณะเช่นนั้นย่อมทิ้งรอยเอาไว้เป็นธรรมดาพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาตกอยู่ในความเงียบ
การที่สตรีสูงศักดิ์มีรอยแผลเช่นนั้นบนแขนคงทำให้นางทุกข์ใจไปชั่วชีวิต เกรงว่าออกเรือนไปแล้วจะไม่ได้รับความเอ็นดูจากสามีเนื่องด้วยสาเหตุนี้…
ครั้นนึกถึงเรื่องการแต่งงาน ไทเฮาก็หวนระลึกถึงเรื่องฉาวที่นางก่อไว้เมื่อปีก่อน
หรงหยางเล่าว่าหมิงเย่ว์ถูกคนชั่วสกุลจูหลอกลวง ทำให้นางหลงคิดไปว่า เขาเป็นบัณฑิตจากครอบครัวยากจนผู้ทะนงตน ทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันในช่วงเวลาหนึ่ง แม้หมิงเย่ว์จะเริ่มต้นด้วยความรัก แต่ก็จำยอมหักห้ามใจเพราะเห็นแก่ศีลธรรมอันดี สุดท้ายแล้วนางก็ยังเป็นสาวบริสุทธิ์
ในเวลานั้น เป็นเพราะนางเอาแต่โกรธขึ้งกับความไม่รู้ความของหมิงเย่ว์ จึงไม่ได้รับฟังเหตุผลใดๆ ครั้นหวนคิดดูแล้ว หมิงเย่ว์ก็เป็นเด็กดีมาโดยตลอด ทั้งที่จริงแล้ว หรงหยางอาจมิได้พูดเช่นนั้นเพื่อจะแก้ตัวให้บุตรสาวก็เป็นได้
อาการประชวรของไทเฮาหายดีอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นเหตุให้เรื่องที่ชุยหมิงเย่ว์เฉือนเนื้อเพื่อช่วยไทเฮากระจายไปทั่ววังหลวงอย่างรวดเร็ว
บัดนี้จึงไม่มีผู้ใดกล้าหัวเราะเยาะเรื่องข่าวลือของนางที่เกิดขึ้นเมื่อปีก่อนอีกแล้ว
มีหลายคนแอบคิดในใจว่า หรือว่าคุณหนูใหญ่ชุยกำลังจะชุบตัว หากเปรียบเทียบกับคุณูปการที่ได้ช่วยชีวิตไทเฮาแล้ว ข่าวลือพวกนั้นก็แค่เรื่องขี้ปะติ๋ว
ผู้คนคาดเดาได้ถูกต้อง เมื่อไทเฮากลับมาแข็งแรงจนสามารถออกมาเดินเล่นในสวนได้ ก็มีรับสั่งให้ไปเชิญจิ่งหมิงฮ่องเต้มาที่ตำหนักฉือหนิงทันที
สองสามวันมานี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ทรงพระเกษมสำราญยิ่งนัก
เมื่อทรงเห็นว่าไทเฮามีอาการดีขึ้น เขาก็ปลื้มปีติอย่างยิ่งยวด
“เสด็จแม่ออกมาเดินได้ครู่ใหญ่แล้ว ลูกจะช่วยพยุงเข้าไปพักด้านใน” ฮ่องเต้เสนอขึ้นทันทีที่เห็นเม็ดเหงื่อผุดพรายบนหน้าผากไทเฮา
ไทเฮาเห็นพ้องดังนั้นจึงปล่อยให้ฮ่องเต้พยุงนางกลับเข้าไปในห้องบรรทม
ครั้นทั้งคู่นั่งลงแล้ว ก็มีข้าหลวงนำน้ำชาเข้ามาถวาย
ไทเฮายกถ้วยชาขึ้นมาจิบพลางส่งสัญญาณให้เหล่านางในออกไป เหลือเพียงหมัวมัวคนสนิทเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าไทเฮามีเรื่องจะรับสั่ง ใบหน้าของฮ่องเต้ก็พลันเปลี่ยนเป็นจริงจังในทันใด
“เซียงอ๋องเติบโตเป็นหนุ่มแล้วใช่หรือไม่” ไทเฮาเอ่ยปากในที่สุด
จิ่งหมิงฮ่องเต้ฉงนหนัก รีบส่งสายตาไปทางพานไห่
เขามีโอรสธิดาตั้งมากมายปานนั้น จะจำได้หมดได้อย่างไร
ครั้นจะพูดไปแล้ว คนที่จำได้ขึ้นใจที่สุดในตอนนี้คงเป็นองค์ชายเจ็ด ก็ใครใช้ให้องค์ชายเจ็ดระเห็จออกไปอยู่นอกวังตั้งแต่เกิด จนอายุครบสิบแปดถึงได้พบหน้าบิดากันเล่า
เขาเพิ่งได้รู้ว่าองค์ชายเจ็ดหน้าตาเป็นอย่างไรก็เมื่อปีที่แล้ว ฉะนั้นปีนี้เขาจะมีอายุครบสิบเก้าปี เรื่องนี้เขาไม่มีทางจำพลาดแน่
พานไห่เห็นเช่นนั้นก็ทราบได้ทันทีว่าฮ่องเต้กำลังอับจนหนทาง จึงแอบส่งสัญญาณมือเป็นเลข ‘7’ ไปให้
จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงรีบตรัสว่า “เจ็ดแปดปี”
“อะแฮ่ม!” พานไห่กระแอมไอเสียงดัง
ฝ่าบาท บ่าวมีเพียงสิบนิ้ว จะทำนิ้วเป็นเลขสิบเจ็ดได้อย่างไร เหตุใดถึงไม่เอะใจเสียหน่อย
“สิบเจ็ดแล้ว!” ฮ่องเต้รีบกลับคำ
“สิบเจ็ดปีก็มิใช่เด็กๆ แล้ว การอภิเษกสมรสขององค์ชายหกและองค์ชายเจ็ดก็ถูกกำหนดไว้แล้ว ข้าว่าเรื่องขององค์ชายแปดก็ควรจัดการให้เรียบร้อยด้วยเหมือนกัน”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เข้าใจความหมายของไทเฮาจึงตรัสถามต่อว่า “ไม่ทราบว่าเสด็จแม่มีผู้ใดในพระทัยแล้วงั้นหรือ”
ครั้นจะว่าไปแล้ว มารดาผู้ให้กำเนิดองค์ชายแปดเป็นเพียงนางในร่ายระบำ นางจึงไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องงานอภิเษกสมรสของบุตรชาย
ไทเฮาส่งยิ้มให้ฮ่องเต้ “ฝ่าบาทว่าหมิงเย่ว์เป็นอย่างไรเล่า”