ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 4 ไร้ยางอาย
ซื่อจื่อจี้ฉงหลี่ในอันกั๋วกง ก้าวเท้า ฉับๆ เดินเข้าไปหาจี้ฉงอี้ เห็นน้องชายคนตัวผอมและอ่อนแออยู่แล้ว เปียกปอนไปทั้งตัว แถมยังหน้าซีดขาว ก็เกิดความรู้สึกทั้งสงสารทั้งโกรธ
จี้ฉงอี้เป็นบุตรที่เกิดเมื่อตอนบิดากับมารดาอายุมาก มีอายุน้อยกว่าจี้ฉงหลี่ตั้งสิบกว่าปี และเป็นเด็กที่ร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เกิด ทุกคนในครอบครัวจึงต่างประคบประหงมราวกับไข่ในหิน ตั้งแต่เด็กจนโต หากจี้ฉงอี้อยากได้ดวงดาวบนท้องฟ้า ถ้าหากทำให้ได้ ทุกคนก็อยากเด็ดลงจากฟ้าเอามามอบให้
เมื่อเห็นจี้ฉงอี้แล้ว จี้ฉงหลี่ก็หันมองเฉี่ยวเหนียงที่อยู่ข้างๆ ต่อ
จี้ฉงอี้เดินเข้าไปบังเฉี่ยวเหนียงเอาไว้ เขาแสดงออกหน้าปกป้องอย่างชัดเจน
จี้ฉงหลี่อดกระทืบเท้าไม่ได้ “น้องสาม เจ้าบ้าไปแล้วหรืออย่างไร เจ้าทำเช่นนี้ เคยนึกถึงหน้าของท่านพ่อท่านแม่บ้างหรือไม่”
จี้ฉงอี้เม้มปากไม่เอ่ยเสียง กลับกุมมือเฉี่ยวเหนียงเอาไว้
ต่อหน้าสายตาทุกคู่ที่กำลังจับจ้อง จี้ฉงหลี่ไม่สะดวกที่จะต่อว่าอีก แต่เขาแสดงสีหน้าเย็นชาพลางเอ่ย “ช่างเถอะ กลับจวนไปแล้วค่อยว่ากัน!”
“ข้าจะพาเฉี่ยวเหนียงกลับจวนด้วย” จี้ฉงอี้บอกกล่าวด้วยเสียงแหบซ่า
จี้ฉงหลี่ส่งสายตาเขม่นให้จี้ฉงอี้หนึ่งที จากนั้นออกคำสั่งให้พ่อบ้านจัดการที่เหลือให้เรียบร้อย แล้วพาจี้ฉงอี้กับเฉี่ยวเหนียงกลับจวนทันที
พ่อบ้านที่อยู่จัดการความเรียบร้อย กุมมือคำนับแสดงความขอบคุณทุกคน จากนั้นหยิบตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงยื่นให้กับผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่ทุกคนต่างให้ความเคารพสูง เสร็จแล้วจึงพาคนที่เหลือกลับจวนไป
จำนวนเงินหนึ่งร้อยตำลึงสำหรับชาวบ้านที่มาช่วยเหลือเป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อย ตอนนั้นทุกคนพากันรุมล้อมผู้อาวุโสจนแทบไม่มีช่องว่าง แล้วทุกคนก็เริ่มหารือกันว่าจะแบ่งเงินนี้กันอย่างไร
อาหมานใช้โอกาสชุลมุนหนีไปยังที่ๆ นัดกับเจียงซื่อเอาไว้ เมื่อเห็นผ้าโพกหัวสีดำของเจียงซื่อเปียกแฉะ นางจึงเอ่ยถาม “คุณหนูเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ”
“ข้ามิเป็นไร โยนกระดาษเงินกระดาษทองที่เตรียมไว้ออกไปเถอะ เสร็จแล้วรีบกลับกัน” แม้จะเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้วก็ตาม แต่เวลานี้เป็นเวลากลางคืน แล้วเจียงซื่อก็เพิ่งจะขึ้นมาจากในน้ำ พอถูกลมพัดเข้าก็รู้สึกได้เลยว่าเปียกไปหมดทั้งตัว ริมฝีปากของนางเริ่มซีดลง
อาหมานทำตามคำสั่งทันที
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะคุณหนู”
เจียงซื่อพยักหน้าหงึกๆ แล้วเจ้านายกับสาวรับใช้ก็ใช้ช่วงเวลาชุลมุนวุ่นวายนี้ออกจากที่ตรงนั้น
ระหว่างทาง อาหมานพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “คุณหนูเจ้าคะ คุณชายสามจี้แย่มาก ทั้งๆ ที่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับคุณหนูแล้วเชียว แต่ก็ยัง…ยังกล้าทำเช่นนั้นกับหญิงอื่นได้อย่างไร”
ริมฝีปากแนบสนิท แต่ยังมีเสียงลมหายใจเร็วอยู่บ้าง…
อาหมานรู้สึกทั้งคลื่นไส้ทั้งโมโห เมื่อคิดถึงภาพที่ริมทะเลสาบเมื่อครู่นี้
เจียงซื่อกลับขำ ไม่กล่าวสิ่งใด
ครั้งนี้ นางจะไม่แต่งงานกับเขาอย่างแน่นอน
หากจี้ฉงอี้ได้เฉี่ยวเหนียงมาเป็นภรรยา และปฏิบัติกับนางเฉกเช่นตอนนี้ตลอดไป นางอาจมองเขาเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นก็เป็นได้
เพราะคนโง่ บางครั้ง ก็มีมุมให้เปล่งประกายได้เหมือนกัน
อาหมานยิ่งเห็นเจียงซื่อไม่ตอบโต้ ก็ยิ่งไม่สามารถลบความโมโหนี้ออกไปได้ แล้วนางก็เบะปากพลางเอ่ยขำ “ยังดีที่คุณหนูเตรียมกระดาษเงินกระดาษทองไว้ก่อน ถือซะว่าเผาให้กับชู้รักคู่นี้ก็แล้วกัน ฮิๆ”
เจียงซื่อหรี่ตาให้กับอาหมานหนึ่งที “กระดาษพวกนั้นเอาไว้ใช้อย่างอื่นได้อีก”
“อะไรหรือเจ้าคะ” อาหมานถามอย่างสงสัย
ลมดึกพัดผ่าน ผมเผ้าที่หลุดลุ่ยออกจากผ้าโพกหัวถูกพัดจนแห้ง มันกำลังปัดปลิวไปมาอยู่ตรงหน้าเนียนขาวดุจหยกของเจียงซื่อ
เจียงซื่อยังคงเดินต่อไป จากนั้นก็นำผมที่หลุดลุ่ยออกมา ทัดไว้ที่หลังหู นางมองตรงไปยังความมืดที่อยู่ตรงหน้า “ก็ต้องหาเหตุผลที่ต้องฟังขึ้น เพื่อให้ทางการเข้าใจว่าเกิดไฟลุกไหม้จากศาลามุงจากไงเล่า”
อาหมานตาสว่างทันที “คุณหนูช่างรอบคอบเสียจริงเจ้าค่ะ”
แล้วสาวรับใช้ก็หวนนึกถึงจี้ฉงอี้อีกครั้ง นางเบะปากแล้วเอ่ยอีก “คุณชายสามจี้ช่างมีตาหามีแววไม่จริงๆ นะเจ้าคะ!”
“เอาล่ะ อย่าเอ่ยถึงเขาอีกเลย ถึงจวนแล้ว”
ช่องว่างตรงมุมของกำแพงยังคงถูกปิดเอาไว้ด้วยหญ้าแห้ง อาหมานปัดหญ้าออก แล้วเอ่ยเสียงเบา “คุณหนูไปก่อนเลยเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อโน้มตัวลง จากนั้นคลานเข้าไป เมื่อยืนตัวตรง สีหน้าพลันนิ่ง
ข้างหน้าตรงนั้น ตรงที่ห่างจากนางไม่ไกลนัก มีคนๆ หนึ่งกำลังเดินไปข้างหน้า คงเพิ่งคลานออกจากช่องนี้เหมือนกัน
ในเวลานั้น อาหมานคลานเข้ามาพอดี เมื่อเห็นว่าตรงข้างหน้ามีคนอยู่ ก็ตะลึงตกใจไม่แพ้เช่นกัน แม้รีบเอามือปิดปากเอาไว้ แต่เสียงก็ดันหลุดออกไป
คนตรงหน้าหยุดเดินและหันหลังมาดูในทันใด “นั่นใคร——”
เจียงซื่อหยิบก้อนอิฐที่กระจัดกระจายวางอยู่ตรงช่องว่างขึ้นมา แล้วโยนใส่หน้าของคนตรงหน้าที่นางคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ใช่ คนนั้นก็คือเจียงจั้น พี่ชายผู้ไม่เอาไหนของนางนั่นเอง
เจียงจั้นก้มหัวร้อง โอ้ย
อาหมานเห็นหน้าเจียงจั้นเต็มๆ พลางเอ่ยเสียงสั่น “คุณ คุณหนู โยนอิฐใส่คุณชายรองแบบนั้นถ้าตายขึ้นมาจะทำอย่างไรเจ้าคะ”
“พี่รองไม่เป็นอะไรหรอก รีบไปกันเร็ว!”
เจียงซื่อรู้ว่าตนเองโยนออกไปด้วยแรงขนาดไหน และรู้ว่าเมื่อครู่นี้ อย่างมากเจี้ยงจั้นก็เพียงแค่มึนหัวพักหนึ่ง ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก แล้วเสียงโอดร้องเมื่อครู่ก็คงดึงดูดคนมาได้ และหากเป็นเช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวลว่าท่านพี่จะสลบอยู่ที่พื้นนานจนไม่สบายหรือไม่
ทุกอย่างเป็นไปตามคาด บริเวณไม่ไกลจากตรงนี้ เริ่มมีแสงไฟสว่างขึ้น มีคนเริ่มออกมาดูแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
ดอกไห่ถังกลางสวนกำลังบานสะพรั่ง แสงจากดวงจันทร์สาดส่องมายังกลีบดอกไม้ ช่างงดงามเหนือเกินบรรยาย
ในสวนนี้ เจียงซื่อปลูกไว้เพียงดอกไห่ถัง
ทุกคนต่างรู้สึกเสียดายที่ดอกไห่ถังนั้นไม่มีกลิ่น แต่นั่นกลับเป็นสิ่งที่นางชอบในดอกไห่ถัง
นางมีประสาทการรับกลิ่นที่เหนือกว่าคนทั่วไป กลิ่นดอกไม้ที่ฉุนมากๆ มักทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัว
“อาเฉี่ยว พวกเรากลับมาแล้ว” อาหมานเคาะประตูอย่างแผ่วเบา
อาเฉี่ยวเปิดประตูออกเพื่อให้เจียงซื่อกับอาหมานเข้ามา เมื่อเห็นทั้งสองคนไม่เป็นอะไร ก็อดยิ้มไม่ได้ “คุณหนูเจ้าคะ บ่าวเตรียมน้ำร้อนไว้แล้ว ไปอาบน้ำได้เลยเจ้าค่ะ”
น้ำในถังอาบน้ำกำลังร้อนได้ที่ เจียงซื่อทำการแช่ลงไปทั้งตัว เหลือไว้เพียงส่วนของศีรษะและหัวไหล่ที่โผล่ออกมา
อุณหภูมิของน้ำช่างพอดีนัก เจียงซื่อสูดหายใจลึก ตั้งแต่กลับชาติมาเกิด ความกังวลและความเจ็บปวดเหมือนเลือนหายไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ เหลือเพียงความรู้สึกโชคดีเอาไว้
“คุณหนูเจ้าคะ น้ำเริ่มเย็นแล้ว ออกมาเถอะเจ้าค่ะ” อาเฉี่ยวเตือน
เจียงซื่อลืมตาขึ้น จากนั้นอาเฉี่ยวรับผิดชอบสวมใส่เสื้อคลุมชั้นในสีขาวหิมะให้ แล้วเดินกลับห้องไป
อาเฉี่ยวใช้ผ้านุ่มเช็ดผมของเจียงซื่อทีละเล็กละน้อย
ผมเผ้าของหญิงสาวที่เปียกน้ำ ถูกปล่อยแผ่ออกมาดุจน้ำตกและยาวจนถึงช่วงเอว
กระจกสีทองแดงสะท้อนใบหน้าของหญิงสาว ผู้มีผิวพรรณเนียนขาวดุจหิมะ เส้นผมเงาดำดุจอีกา ริมฝีปากสีอมชมพู ฟันเรียงสวยงาม ดวงตา คู่ที่เดิมทีดูเหมือนเต็มไปด้วยความใจร้อน ไม่รู้ว่าเปลี่ยนเป็นดวงตาที่นิ่งเรียบไปตั้งแต่เมื่อไหร่ มันทำให้ความงดงามของนางมีมากขึ้นกว่าเดิมถึงหลายเท่า
อาหมานที่อาบน้ำมาแล้วด้วยความรวดเร็ว เอ่ยชมอย่างอดใจไม่ไหว “คุณหนู คุณหนูช่างงามเหลือเกินเจ้าค่ะ”
เจียงซื่ออดขำไม่ได้
เรื่องที่จี้ฉงอี้กับเฉี่ยวเหนียงกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ในวันพรุ่งนี้คงได้ถูกพูดถึงกันทั่วเมืองหลวงเป็นแน่ ถึงเวลานั้น ไม่ว่านางจะไร้เดียงสาถึงเพียงไหน อย่างไรเสียก็ย่อมถูกผู้คนหัวเราะเยาะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่
สำหรับสตรีที่มีฐานะธรรมดา แต่ได้เกี่ยวข้องกับชายชาติตระกูลดีนั้น ความสวยก็มักกลายเป็นเหตุเสมอ
“คุณหนู คุณหนูทราบได้อย่างไรว่าคุณชายจี้กับผู้หญิงคนนั้นจะนัดกันที่ทะเลสาบมั่วโยวเจ้าคะ” ในที่สุดอาหมานก็ถามคำถามที่คาใจมานาน
อาเฉี่ยวที่กำหวีอยู่เกิดการชะงัก คล้ายว่าสงสัยด้วยอีกคน
หญิงสาวในกระจกกะพริบตา “เมื่อไม่นานมานี้ ในงานเลี้ยงร่วมชมบุปผาที่จวนหย่งชังปั๋ว คุณชายจี้ฝากให้คนมาบอกกับข้าน่ะ”
เจียงซื่อไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ทำได้เพียงหยิบยกข้ออ้างอย่างตามใจ
“เขานัดกับหญิงอื่น แล้วมาบอกคุณหนูทำไมกัน” อาหมานยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ
เจียงซื่ออธิบายอย่างไม่ตื่นเต้นและไม่เนิบช้า “คงอยากให้ข้าได้เห็นกับตา เพื่อจะได้ตัดใจกระมัง”
อาหมานตบโต๊ะเครื่องแป้งดัง ปัง พลางสบถ “ไร้ยางอายสิ้นดี!”
ถ้ารู้แต่แรก มิสู้นางตีฆ้องจีนช้าอีกหน่อย ให้หญิงร้ายชายโฉดคู่นั้นจมน้ำตายยังจะดีเสียกว่า
เจียงซื่อหรี่ตาพยักหน้า “นั่นสิ ข้าเองก็รู้สึกว่าเขาไร้ยางอายสิ้นดี”