ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 412 ผู้ที่ถูกมองข้าม
หลังจากฟังคำวิเคราะห์ของอวี้จิ่นแล้ว ทุกคนก็รู้สึกขนลุกขนพอง
ฆาตกรวางแผนได้อย่างละเอียดยิ่งนัก อีกทั้งยังใจกล้าเหนือความคาดหมายของทุกคน
นี่คืองานเลี้ยงในราชวงศ์ ผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายล้วนมารวมตัวกันอยู่ในที่แห่งนี้ ผู้ใดกันเล่าที่ใจกล้าถึงเพียง
เยี่ยนอ๋องกล่าวว่าฆาตกรยังอยู่ในห้องโถงนี้…เมื่อครุ่นคิดดังนั้น หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะสู้กันด้วยสงครามเย็น
จู่ๆ ดูเหมือนมีน้ำแข็งมากมายในห้องโถงนี้ทำให้หนาวเย็น
อวี้จิ่นจึงรีบมองไปทางจิ่งหมิงฮ่องเต้ ยกมือขึ้นคารวะแล้วทูลว่า “เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ในห้องโถงนี้มีผู้คนมากมาย เราต้องเริ่มลงมือตั้งแต่นางกำนัลเสียก่อน ควรเอ่ยถามให้แน่ชัดว่าพวกนางได้รับคำสั่งจากผู้ใดในการวางยาพิษนี้หรือไม่ หรือจะประมาทเลินเล่อจนเกิดช่องว่างนี้ขึ้น”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้าแล้วกล่าวเบาๆ ว่า “พานไห่ จงเปิดปากนางกำนัลเหล่านี้เสีย”
พานไห่ตอบรับในทันที เขายกมือขึ้นโบก จากนั้นก็มีบ่าวรับใช้สองนายเข้ามาลากตัวนางกำนัลออกไป
บ่าวรับใช้ทั้งสองนั้นเป็นคนในตงฉั่ง
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที รู้สึกได้ว่าบรรยากาศในห้องโถงดูอึดอัดหายใจไม่สะดวกนัก
อวี้จิ่นมองไปรอบข้างแล้วตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดังว่า “ก่อนที่จะได้รับข้อมูลคืบหน้าใด ขอทุกท่านอย่าได้เดินไปมาโดยพลการ อีกทั้งอย่าให้ผู้ใดออกจากห้องโถงแม้แต่คนเดียว”
บรรยากาศจึงเริ่มหนักอึ้งขึ้นกว่าเดิม
การรอคอยที่แสนยาวนาน ในที่สุดพานไห่ก็กลับมา “ทูลฝ่าบาท จากการสอบสวนพบว่านางกำนัลไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
แต่นางกำนัลผู้นั้นไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกเลย
การสอบสวนนั้นไม่ได้ทำเพียงแค่สอบปากคำ แต่ได้ใช้วิธีการลงโทษด้วย ผู้ที่ถูกลงโทษช่างน่ากลัวยิ่งนัก หากไม่มีคำสั่งพิเศษใด ก็จะไม่นำตัวมา เพราะอาจทำให้ผู้คนแตกตื่นได้
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปทางอวี้จิ่น
มีผู้คนมากมายอยู่ในห้องโถง เมื่อตัดความเป็นไปได้ที่นางกำนัลจะเป็นคนลงมือออกไปแล้ว การจะหาว่าใครวางยาพิษนี้ก็ไม่ต่างจากการงมเข็มในมหาสมุทร เขาอยากรู้เหลือเกินว่าบุตรชายของตนคนนี้จะมีวิธีใดอีก
อวี้จิ่นกวาดตามองออกไปยังผู้คนทั้งหลายอย่างเคร่งขรึม “วันนี้เป็นงานเลี้ยงของตระกูล แม้จะไม่ได้แบ่งแยกแขกชายหญิงอย่างแน่ชัดด้วยฉากกั้นหรือวัตถุอื่น แต่บรรดาองค์หญิงล้วนเป็นสตรี หากมีบุรุษเดินตรงเข้าไปคาดว่าจะดึงดูดสายตาอย่างแน่นอน ดังนั้น ความเป็นไปได้ที่ฆาตกรจะเป็นบุรุษสามารถตัดออกไปได้ ไม่ทราบว่าทุกท่านมีความคิดเห็นว่าเช่นไร”
ทุกคนพากันพยักหน้าเห็นด้วย
นับแต่งานเลี้ยงเริ่มขึ้น แม้แต่ที่นั่งก็ถูกจัดสรรมาอย่างดี มีโต๊ะสำหรับพระชายา โต๊ะสำหรับองค์หญิงที่ยังไม่ออกเรือน องค์หญิงที่ออกเรือนไปแล้วก็อีกโต๊ะหนึ่ง อีกทั้งยังมีโต๊ะของนางสนมและบรรดาจวิ้นจู่
ผู้ที่เดินไปมาบริเวณนี้ล้วนเป็นนางกำนัล ไม่มีบ่าวรับใช้ชายแต่อย่างใด
เมื่อเป็นเช่นนี้ การวิเคราะห์ของเยี่ยนอ๋องจึงสมเหตุสมผลยิ่งนัก นั่นคือฆาตกรจะต้องเป็นสตรีอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อพบว่าทุกคนเห็นด้วยกับประโยคของเขาเมื่อครู่ อวี้จิ่นจึงเหลือบมองไปที่โต๊ะแล้วกล่าวขึ้นอย่างช้าๆ ว่า “โต๊ะมีทั้งสิ้นเก้าโต๊ะ หากต้องการรู้ว่าใครคือฆาตกรเพียงใช้วิธีเมื่อครู่ก็พอแล้ว”
วิธีเมื่อครู่?
ความคิดของทุกคนยังไม่ตอบสนอง
เจียงซื่อมองไปยังชายหนุ่มที่พูดจาฉะฉานด้วยสายตาอันนุ่มนวล
อาจิ่นเป็นเช่นนี้เสมอ ตามปกติแล้วเขามักจะปล่อยตัวเรื่อยเปื่อยทำในสิ่งที่ต้องการ แต่เมื่อใดที่พบกับเรื่องจริงจังก็มักจะพึ่งพาได้เสมอ
อวี้จิ่นกลอกตามองแล้วสบตากับเจียงซื่อ ก่อนจะกล่าวต่อว่า “นับแต่โต๊ะแรก ทุกคนลองนึกย้อนกลับไปว่ามีผู้ใดลุกขึ้นออกจากโต๊ะหรือไม่ก็พอ”
โต๊ะแรกนั้นผู้ที่นั่งอยู่มีเสียนเฟยและคนอื่นๆ เหนียงเหนียงคนหนึ่งลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวออกมาอย่างคับข้องใจว่า “ในตอนนั้นพวกเรากำลังสนทนากันอยู่ จะจำได้อย่างไรว่ามีผู้ใดลุกออกจากที่นั่งไปบ้าง”
อวี้จิ่นยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “ง่ายยิ่งนัก เหนียงเหนียงเพียงแค่คิดดูว่าด้านซ้ายและด้านขวามีใครลุกไปไหนเวลานั้นหรือไม่เป็นพอ”
ผู้คนจึงได้ตกตะลึงและเข้าใจ
วิธีนี้ได้ผลดียิ่งนัก
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ครึกครื้นมีชีวิตชีวาเช่นนี้ มีไม่กี่คนที่จะให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของคนร่วมโต๊ะ แต่หากให้ลองเพียงนึกถึงว่ามีผู้ใดข้างซ้ายขวาของตนลุกไปไหนบ้างหรือไม่ก็ง่ายขึ้นกว่าเดิม
วิธีนี้ยังมีข้อดีอีกอย่างหนึ่ง เนื่องจากทุกคนนั่งเรียงกันเป็นวงกลม ดังนั้นแต่ละคนก็จะมีผู้ที่นั่งข้างซ้ายและข้างขวา ด้วยเหตุนี้หากมีใครคนใดคนหนึ่งไม่ทันระวังมองก็ไม่เป็นไร
เมื่อมีจิ่งหมิงฮ่องเต้ประทับอยู่ ณ ที่นั้นด้วย ต่อให้ในใจของพระสนมทั้งหลายจะรู้สึกไม่ยินยอมสักเพียงไรแต่ก็ยังคงต้องให้ความร่วมมือกับอวี้จิ่นและนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่
เมื่อมาถึงเสียนเฟยที่ต้องเอ่ย นางมองไปทางอวี้จิ่นด้วยสายตาลึกล้ำและกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ในตอนนั้น สองคนซ้ายขวาของข้ากำลังทำสิ่งใดอยู่ ข้าเองก็ไม่รู้ เนื่องจากข้าออกไปข้างนอก”
ท่าทางของทุกคนดูกระตือรือร้นและให้ความสนใจทันที
คาดไม่ถึงเสียจริงว่าผู้ที่เดินทางออกจากที่นั่งของตนเป็นคนแรก ก็คือพระมารดาของเยี่ยนอ๋อง และเสียนเฟยก็รู้ดีว่าวิธีที่เยี่ยนอ๋องใช้ ทำให้นางไม่อาจจะหลีกเลี่ยงข้อเท็จจริงได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงได้ยอมรับออกมาโดยตรง
ใบหน้าของเยี่ยนอ๋องยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย เขาเอ่ยถามขึ้นเบาๆ ว่า “เหนียงเหนียงไปที่ใดในเวลานั้น”
“ข้าออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”
สถานการณ์เช่นนี้ คำว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าก็หมายถึงการเข้าห้องสุขานั่นเอง
อวี้จิ่นเอ่ยถามขึ้นอีกว่า “งานเลี้ยงเพิ่งจะเริ่มขึ้นไม่นาน เหตุใดเหนียงเหนียงจึงได้ออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”
เมื่อเขาเอ่ยคำถามนี้ออกไป ทุกคนก็ทำสีหน้าแปลกประหลาดแล้วมองหน้ากันไปมา
เยี่ยนอ๋องเป็นคนตรงไปตรงมาเหลือเกิน เขาช่างดุดันและโหดร้ายที่บีบบังคับเสด็จแม่ของตนอย่างไม่ไว้หน้า
กระทั่งมีบางคนครุ่นคิดว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเยี่ยนอ๋องและเสียนเฟยที่มีข่าวลือว่าไม่ดีนักคงจะเป็นเรื่องจริง
เมื่อถูกบุตรชายของตนเอ่ยถามเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย เสียนเฟยเองก็รู้สึกอับอายยิ่งนัก
เจ้าลูกอกตัญญูผู้นี้ยังมีหน้ามาเอ่ยถาม!
เหตุใดนางจึงต้องไปเข้าห้องน้ำ? นางรู้สึกโมโหบุตรชายคนนี้เหลือเกิน
นั่นเพราะสายตาอันเยือกเย็นของนางมองไปทางทั้งสองคน ยิ่งวันยิ่งทวีความโกรธขึ้นเรื่อยๆ แต่นางไม่อาจเปิดเผยออกมาได้ จึงทำได้เพียงดื่มชาเข้าไปเพื่อดับไฟนั้น เมื่อดื่มน้ำชาเข้าไปมาก จึงทำให้ท้องพองและต้องการเข้าห้องสุขา
“ร่างกายข้าไม่สบายนิดหน่อย” เสียนเฟยทำสีหน้าสงบนิ่ง แต่น้ำเสียงของนางดูไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด “นางกำนัลของข้า และบ่าวรับใช้ที่อยู่หน้าห้องเปลี่ยนชุดเป็นพยานได้”
ในไม่ช้า คำบอกเล่าของเสียนเฟยก็ได้รับการยืนยัน
“เยี่ยนอ๋องมีสิ่งใดต้องการถามอีกหรือไม่” เสียนเฟยเอ่ยถามเบาๆ
อวี้จิ่นยิ้มเผยถึงฟันขาวผ่อง “ไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ การที่ลูกเอ่ยถามอย่างละเอียดนั้นเพื่อไม่ต้องการให้คนอื่นเข้าใจเสด็จแม่ผิดไป หวังว่าเสด็จแม่จะไม่กล่าวโทษลูกใช่หรือไม่”
ไม่รอให้เสียนเฟยตอบสิ่งใดกลับมา จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ได้ตรัสว่า “เจ้าเจ็ดจงเอ่ยถามความต่อเถิด เสด็จแม่ของเจ้าเป็นคนมีเหตุมีผล จะไปตำหนิเจ้าได้อย่างไร”
เสียนเฟยยิ้มขึ้นแล้วสนับสนุนประโยคเมื่อครู่ของจิ่งหมิงฮ่องเต้ว่า “เสด็จพ่อของเจ้ากล่าวได้ถูกแล้ว ข้าจะตำหนิถือโทษได้อย่างไร”
“เช่นนั้นก็ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อวี้จิ่นตอบกลับอย่างเฉยเมย จากนั้นก็ทำการเอ่ยถามโต๊ะต่อไป
โต๊ะที่สอง คือโต๊ะที่องค์หญิงใหญ่หรงหยางและเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ ในลำดับเดียวกันกับจิ่งหมิงฮ่องเต้ หลังจากเริ่มงานเลี้ยงแล้ว ชุยหมิงเย่ว์ที่ติดตามองยิ่งใหญ่หรงหยางมาด้วยก็กลับไปยังที่นั่งของตน
ในโต๊ะนี้ผู้ที่เดินทางออกจากตำแหน่งที่นั่งของตน มีเพียงคนเดียวนั่นก็คือองค์หญิงใหญ่หรงหยาง
เมื่อเห็นว่าทุกคนมองมาที่นาง องค์หญิงใหญ่หรงหยางจึงเลิกคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยออกมาอย่างไร้ความอดทนว่า “ในตอนนั้นข้าไปดื่มอวยพรให้แก่เสด็จพี่”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้า “ถูกต้องแล้ว หรงหยางมาดื่มอวยพรแก่ข้าและฮองเฮา”
เหตุผลที่ไม่ได้กล่าวออกมาก่อนหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ดีว่า หากเขาทำตามขั้นตอนของเจ้าเจ็ด เชื้อพระวงศ์คนอื่นจึงจะเผยความซื่อสัตย์ออกมาเช่นกัน
เมื่อองค์หญิงใหญ่หรงหยางคลายความสงสัยในตัวของนางได้แล้วก็ได้หันไปเหลือบมองอวี้จิ่น
อวี้จิ่นหาได้สนใจแต่อย่างใด เขาทำการสืบสวนโต๊ะต่อไปในทันที
ใช้เวลาไม่นานนัก แขกที่เป็นสตรีทั้งแปดโต๊ะล้วนด้วยเอ่ยถามจนสิ้น และมีผู้ที่ลุกออกจากที่นั่งของตนมากมาย แต่ทุกคนล้วนมีหลักฐานยืนยันว่าตนทำอะไรอยู่ในขณะนั้น
การสอบสวนดูเหมือนจะหยุดชะงักลง
องค์หญิงใหญ่หรงหยางกล่าวขึ้นด้วยท่าทางเฉยเมยว่า “เสด็จพี่ ข้าเห็นว่าวิธีการของเยี่ยนอ๋องใช้ไม่ได้ผล เขาเอ่ยถามผู้คนมากมายจนทำให้ทุกคนแตกตื่น แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับไม่มีผลลัพธ์สิ่งใดเลย”
ท่านอ๋องชราผู้หนึ่งเอ่ยปากขึ้นว่า “ถึงอย่างไรเยี่ยนอ๋องก็ยังเยาว์ ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ให้ฝ่ายตุลาการทั้งสามร่วมมือในการสืบสวนเถิด”
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่อวี้จิ่นอย่างแน่วแน่ ก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้าเจ็ด เจ้ามีความคิดเห็นว่าอย่างไร”
อวี้จิ่นหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ แท้จริงแล้วยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่ถูกมองข้ามและยังไม่ถูกสอบถาม”