ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 441 เยี่ยมไข้
อวี้จิ่นเดินเข้ามาเห็นเจียงซื่อที่กำลังจ้องจดหมายอย่างใจลอย จึงยิ้มให้และเอ่ยถาม “ดูอะไรอยู่รึ”
“พี่ใหญ่ส่งจดหมายมาชวนข้าไปเยี่ยมท่านยายด้วยกัน”
เมื่อได้ยินเจียงซื่อเอ่ยถึงจวนอี๋หนิงโหว อวี้จิ่นพลันขมวดคิ้ว “ถ้าไม่อยากไปที่นั่น ปฏิเสธไปก็ได้”
เจียงซื่อวางจดหมายลง เดินไปริมหน้าต่างแล้วมองออกไป
ใต้หลังคาทางเดินแขวนไว้ด้วยกรงนกอันงดงามหนึ่งกรง นกกระเต็นสองตัวด้านในกำลังป้อนอาหารให้กันและกัน
หลังจากเกิดเรื่องของซูชิงอี้ลูกพี่ลูกน้องชายของเจียงซื่อ นางแทบไม่อยากก้าวข้ามประตูจวนอี๋หนิงโหวอีกเลย แต่ท่านยายไม่เคยปฏิบัติกับนางไม่ดี วันนี้นางล้มป่วยอาการหนัก ไม่ว่าจะด้วยความสัมพันธ์หรือด้วยเหตุผล นางก็ควรไปเยี่ยม
“ท่านยายดีกับข้าไม่น้อย”
อวี้จิ่นยื่นมือโอบเอวเจียงซื่อแล้วยืนดูนกกระเต็นแสดงความรักต่อกันด้วยกัน พลางกล่าวขึ้นอย่างไม่สนใจ “งั้นเจ้าก็ไป ตอนนี้เจ้าเป็นพระชายาเยี่ยนอ๋อง ไม่ใช่คุณหนูสี่ที่ใครๆ ก็รังแกได้ และไม่ต้องสนใจสีหน้าคนจวนอี๋หนิงโหวอีกแล้ว”
เมื่อนึกถึงจวนอี๋หนิงโหว ภาพจำของอวี้จิ่นนั้นแย่มาก
เขาเคยร่วมไขคดีซูชิงอี้จมน้ำกับเจินซื่อเฉิง จนได้เห็นท่าทีของคนจวนโหวที่มีต่อเจียงซื่อชัดเจน
“ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าได้นะ”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่มีธุระใดอยู่แล้ว”
“ข้าไปพร้อมพี่ใหญ่ก็ได้ ข้ากลัวพี่ใหญ่ทำตัวไม่ถูกเวลาเจ้าอยู่ด้วย”
“ถ้าเช่นนั้นก็ได้” เมื่อถูกรังเกียจ อวี้จิ่นจึงยิ้มเจื่อน “งั้นข้าไปที่ทำการนะ”
เจียงซื่อมองเขาเดินออกไป ไม่นานเงาร่างก็ปรากฏขึ้นด้านนอกหน้าต่างอย่างรวดเร็ว พอเดินถึงใต้ทางเดินเขายื่นมือแหย่กรงนกหนึ่งที
เมื่อกรงนกสั่นโยกกะทันหัน นกกระเต็นสองตัวก็ตกใจสะดุ้งกระโดดไปมาและเริ่มส่งเสียงร้องอย่างโมโห
ชายหนุ่มหันกลับมา ดวงตาอันงดงามภายใต้แสงตะวันแห่งฤดูใบไม้ร่วง โบกมือปัดๆ ให้นางเสร็จถึงหายไปจากระยะสายตา
เจียงซื่อยิ้มและส่ายหัว
อวี้จิ่นเจ้าหมอนี่ ไม่เคยจริงจังเลยสักครั้ง
แม้ว่านางโกรธมาก แต่ภายในใจนั้นพรุ่งพรูไปด้วยความหวาน
หากว่าทั้งสองคนสามารถเคียงบ่าเคียงไหล่กันเช่นนี้ไปนานๆ ก็นับว่าเป็นเรื่องโชคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว
นางเดินกลับมาถึงห้องหนังสือเล็ก ยกพู่กันขึ้นแล้วเขียนจดหมายตอบกลับให้เจียงอี
อาการป่วยไม่เคยรอใคร สองสาวพี่น้องนัดกันไว้เป็นวันรุ่งขึ้น
วันถัดมา ฝนตกพรำๆ
ฝนจากฤดูใบไม้ร่วงนำพามาซึ่งความหนาวเย็น ไอร้อนจากคิมหันตฤดูดูเหมือนยังเป็นเมื่อวาน อากาศเย็นลงในทันใด
อาเฉี่ยวเลือกชุดคลุมบางสีเขียวให้เจียงซื่อ พร้อมยื่นกล่องบรรจุยาชั้นดีราคาสูงให้อาหมานและส่งทั้งสองคนจนถึงหน้าประตูเรือน
“เหล่าฉิน พาพระชายาเอกไปรับคนที่จวนปั๋วก่อน” อาหมานสั่งอย่างฉะฉานเสร็จก็ขึ้นรถม้าไป
เหล่าฉินเป็นคนพูดจาน้อย เขายกแส้ม้าขึ้นแล้วตรงไปยังจวนตงผิวปั๋วทันที
เจียงอีเตรียมตัวพร้อม กำลังยืนรออยู่ด้านหน้าประตูใหญ่กับเจียงจั้น
“มาแล้ว!” เมื่อเห็นรถม้าจวนเยี่ยนอ๋องไกลๆ เจียงจั้นรีบเข้าไปต้อนรับ
“น้องสี่…”
ผ้าม่านรถม้าถูกเปิดออก แล้วใบหน้าที่คุ้นเคยก็โผล่ออกมา
“วันนี้พี่รองไม่เข้าเวรหรือ”
เจียงจั้นเป็นคนร่าเริงสดใส เมื่อน้องสาวแท้ๆ กลายเป็นพระชายาเอก เขาจึงใช้ชีวิตอยู่ในหน่วยองรักษ์จินอู๋ราวกับปลาได้น้ำ
เขายิ้มพร้อมตบตำแหน่งเหน็บดาบตรงเอว “ข้าสลับเวรกับคนอื่นน่ะ เราไปพร้อมกันเถอะ”
ครั้งก่อน เกิดคดีคร่าชีวิตคนในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดท่านยาย จนดึงน้องสี่เข้าไปเกี่ยวพันด้วย แค่คิดก็รู้สึกกลัวแล้ว
วันนี้ แม้ว่าน้องสี่เป็นพระชายาเอกแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าไปพร้อมกันดีกว่าถึงจะวางใจ
อย่างไรเสีย ท่านยายล้มป่วย เขาก็ต้องไปเยี่ยมอยู่ดี
เจียงซื่อบอกกล่าวอาหมานให้พยุงเจียงอีขึ้นรถม้า
รถม้าขับเคลื่อนออกอย่างช้าๆ เจียงจั้นขี่ม้าตามอยู่ด้านข้าง ปัดๆ เสื้อกันฝนที่สวมไว้
ฝนตกช่างชวนให้รู้สึกรำคาญใจเสียจริง
แต่พอมีเสียงพูดคุยของสองสาวพี่น้องดังออกมาจากข้างใน เขาก็มีความสุขขึ้นมา ยิ้มแย้มพร้อมผิวปากเสียงดัง
เสียงผิวปากสงบไม่ผลีผลามนี้ ทำให้เสียงพูดคุยของสองสาวพี่น้องภายในรถม้าพลันหยุดลง
เจียงอียิ้มและส่ายหัว “น้องรองยังทำตัวเหมือนเป็นเด็กไปได้”
เจียงซื่อเม้มปากยิ้ม “พี่รองเป็นคนอารมณ์ดี ดีกว่าพวกคงหน้านิ่งไปวันๆ เจ้าค่ะ”
“เจ้าก็พูดถูก” เจียงอีเห็นด้วยมาก นางกล่าวเสียงต่ำ “ไม่รู้ว่าน้องรองจะแต่งภรรยาเมื่อไหร่ วันนั้นข้าลองหยั่งเชิงท่านพ่อ ความหมายของท่านพ่อคือ รอให้พี่รองพบคนที่ถูกใจก่อนแล้วค่อยว่ากันต่อไป แต่ข้ามองแล้วรู้สึกว่า น้องรองไม่เปิดโล่งสำหรับด้านนี้เลย…”
“ยามพรมลิขิตมาเยือนก็จะเปิดโล่งเองเจ้าค่ะ เรื่องเช่นนี้ห้ามรีบ” เจียงซื่อดูเหมือนเปิดใจกับเรื่องเช่นนี้มาก นางหยุดหัวข้อสนทนานี้ไว้ และเปลี่ยนไปถามชีวิตในจวนปั๋วของเจียงอี
เวลาผ่านไปไม่นาน ก็เดินทางมาถึงจวนอี๋หนิงโหว รถม้าหยุดลง
อาหมานกระโดดลงจากรถม้ามายืนข้างๆ คอยช่วยเจียงซื่อสองพี่น้องลงจากรถ
“น้อมเคารพพระชายาเอกพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงซื่อกวาดสายตามองดู พบว่าหน้าประตูใหญ่มีคนยืนอยู่เต็ม คนที่ยืนด้านหน้าสุดคือพ่อบ้านใหญ่จวนอี๋หนิงโหว
เจียงซื่อจูงมือเจียงอีและเดินเข้าไปพร้อมกัน
บ่าวรับใช้จวนโหวรีบเร่งไปรายงาน ไม่นาน น้ารองแซ่ซูสองสามีภรรยากับคนกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาต้อนรับ
“จะรบกวนให้น้ารองกับป้ารองมาต้อนรับได้อย่างไรกัน…”
น้ารองแซ่ซูยิ้มและกล่าว “พระชายาเสด็จทั้งที ก็เห็นควรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลานสาวยังเป็นเพียงพระชายาเอก หากว่าเป็นเบื้องสูงจากพระราชวัง เวลามาถึงจวนแม้แต่ท่านพ่อ ท่านแม่ก็ต้องออกมายืนต้อนรับ
น้ารองแซ่ซูหันไปทางเจียงจั้น ยิ้มให้อย่างอบอุ่น “วันนี้จั้นเอ๋อร์ไม่เข้าเวรหรือ”
“หลานเป็นห่วงสุขภาพท่านยาย เลยขอลามาเยี่ยมท่านขอรับ”
“จั้นเอ๋อร์เป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ” น้ารองแซ่ซูพยักหน้า หงึกๆ จากนั้นหันไปพูดกับเจียงอี “วันนี้สีหน้าของอีเอ๋อร์ดูดีไม่เลว”
เจียงอียิ้มและตอบ “เพราะได้รับผลบุญดีของท่านลุงกับท่านป้าเจ้าค่ะ”
หลังจากทั้งสองฝ่ายทักทายกันเรียบร้อย ทุกคนก็พากันไปยังที่พักของเหล่าฮูหยิน
เหล่าอี๋หนิงโหวกำลังนั่งสูบยาสูบอยู่ตรงทางเดิน เมื่อมีเสียงการเคลื่อนไหวจึงเงยหน้าขึ้นมอง
“มาแล้วหรือ”
สามพี่น้องน้อมคารวะให้เหล่าอี๋หนิงโหว
เหล่าอี๋หนิงโหวยกมือปัดๆ พลางกล่าวขึ้นอย่างหน่ายใจ “เข้าไปเยี่ยมท่านยายพวกเจ้าด้านในเถอะ”
เจียงซื่อเห็นเช่นนั้นรู้สึกเจ็บปวดใจเล็กน้อย
ในความทรงจำของนาง ท่านตากับท่านยายรักกันกลมเกลียว วันนี้ท่านยายล้มป่วยอาการหนัก หากว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ก็จะเหลือเพียงท่านตาตัวคนเดียว
นัยน์ตาของเจียงอีเป็นสีแดงแล้ว
เหล่าอี๋หนิงโหวขมวดคิ้ว “เข้าไปเถอะ ห้ามร้องไห้ต่อหน้าท่านยายพวกเจ้าเชียวละ”
“ท่านตาวางใจได้เจ้าค่ะ พวกเราทราบดี” เจียงอีเช็ดน้ำตาริมขอบแล้วจูงมือเจียงซื่อเข้าไป
ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นยาจางๆ
ป้าใหญ่โหยวซื่อกำลังถือถ้วยยาป้อนให้เหล่าฮูหยิน
เมื่อได้ยินเสียง จึงรีบลุกขึ้นน้อมทักทายเจียงซื่อ
เจียงซื่อรู้สึกชื่นชมมาก
ครั้งก่อนที่มาจวนโหว ทุกอย่างตึงเครียดถึงขนาดนั้น โหยวซื่อกับนางเกือบจะมองหน้ากันไม่ติด วันนี้กลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ช่างไม่มีความละอายใจ ทั่วหล้าไร้ผู้ต่อต้านจริงๆ
สำหรับเรื่องที่โหยวซื่อวางแผนให้นางแต่งงานกับลูกชายโง่ ชีวิตนี้เจียงซื่อลืมไม่ลง
ยามสัมผัสถึงความเย็นชาจากเจียงซื่อ แม้สีหน้าโหยวซื่อไม่เผยอาการใด แต่ภายในใจนั้นร้อนรนมาก
ทำไมยัยเด็กคนนี้ถึงได้สมดั่งใจหวังนะ!
แต่ในวันนี้ สถานการณ์นั้นเหนือกว่าคน แม้นางเป็นผู้อาวุโสกว่าแต่ก็ต้องก้มหัวให้
“แค่กๆๆ พวกอีเอ๋อร์มาถึงแล้วหรือ” เสียงแก่ที่อ่อนแอดังขึ้น
สามพี่น้องเดินอ้อมโหยวซื่อมาถึงข้างเตียงอย่างรวดเร็ว
สภาพของเหล่าฮูหยินทำให้ทั้งสามคนตกใจมาก
เหล่าไท่ไท่ที่กระปรี้กระเปร่าแข็งแรงเมื่อต้นปี วันนี้ผอมซูบจนเห็นถึงโครงหน้า ที่ใบหน้าไม่มีสีเลือดแม้เพียงเล็กน้อย แม้แต่การหายใจยังดูเหมือนต้องใช้แรงอย่างยากลำบาก
“ท่านยาย ท่านยายเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” เจียงอีกุมมือเหล่าฮูหยินข้างหนึ่งและเอ่ยถามอย่างฝืนทนความเจ็บปวดเอาไว้
เจียงซื่อกุมมือเหล่าฮูหยินอีกข้างเงียบๆ
“ข้ามิเป็นไร…” เหล่าฮูหยินพูดประโยคนึงเสร็จ ก็ต้องพัก
มิเป็นไรจริงๆ หรือ เจียงซื่อบังเอิญเห็นนิ้วของเหล่าฮูหยิน ดวงตาพลันหดตัวลงกะทันหัน