ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 443 คนวางยา
“ยาพิษ…” เจียงอีแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน จึงพึมพำไม่หยุด “จะเป็นยาพิษได้อย่างไร จะเป็นยาพิษได้อย่างไร…”
มารดาผู้อ่อนโยนไม่ได้จากไปด้วยโรค แต่ถูกคนปองร้าย?
นางนึกถึงบางอย่าง จึงคว้ามือเจียงซื่อ เสียงที่กล่าวก็เปลี่ยนไป “แล้วท่านยายล่ะ”
ท่านยายอาการเดียวกับท่านแม่ ในเมื่อท่านแม่จากไปด้วยยาพิษ ถ้าเช่นนั้นท่านยายก็ถูกพิษด้วยเหมือนกันน่ะสิ…
ความคิดนี้ทำให้เจียงอีตัวสั่นทั้งๆ ที่อากาศไม่หนาว
เจียงซื่อมองประตูกล่าวเสียงเบา “พี่ใหญ่ ท่านยายกับท่านแม่ต่างก็ถูกวางยา ข้าสงสัยว่าต้นเหตุอยู่ที่จวนอี๋หนิงโหว!”
เจียงอีชะงัก สีหน้าตะลึงกว่าเดิม
ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงกล่าว “น้องสี่ เหตุใดน้องถึงพูดเช่นนี้”
เจียงซื่อหรี่ตาดวงงดงามคู่นั้น “ในเมื่อเป็นยาพิษ ก็คงออกมาจากร่างกายเปล่าๆ ไม่ได้ ต้องมีคนวางยาแน่ พี่ใหญ่ลองคิดดู หากคนวางยาพิษคือคนจวนปั๋ว ท่านแม่เสียไปสิบกว่าปีแล้ว มือคนนั้นคงยาวไม่ถึงจวนอี๋หนิงโหวหรอก…”
เจียงอีก็คิดเช่นนั้น
หากว่าคนๆ หนึ่งสามารถวางยาท่านแม่และวางยาท่านยายได้ด้วย เป็นไปได้สูงว่าเป็นคนของจวนอี๋หนิงโหว
ริมฝีปากนางสั่น อยากถามเจียงซื่อว่านางรู้ได้อย่างไรว่าท่านยายถูกวางยา แต่คำพูดติดอยู่ที่ปากและต้องกลืนกลับเข้าไปเงียบๆ
เจียงอีเป็นคนเอาอกเอาใจคน เรื่องบางเรื่อง หากว่าฝ่ายตรงข้ามไม่พูด นางก็ไม่ถาม
“ตอนท่านแม่เสียชีวิต ป้าสะใภ้รองยังไม่ได้แต่งเข้ามาใช่ไหม” เจียงซื่อถามกระทันหัน
เจียงอีถูกถามจนอึ้งแล้วถึงส่ายหัว จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป “น้องสี่ เจ้าหมายความว่า…”
เจียงซื่อยิ้มเย็นชา “คนวางยา แม้ยังยืนยันไม่ได้ อย่างน้อยก็ยกเว้นบางคนได้”
ถึงจะกล่าวเช่นนี้ แต่ภายในใจลึกๆ นางมีผู้ต้องสงสัยลางๆ แล้ว
เจียงซื่อลุกขึ้นจะเดินไปยังประตู
เจียงอีดึงนางไว้ “น้องสี่จะไปที่ใด อย่าบอกนะว่าไปฟ้องทางการ”
เห็นได้ชัดว่าม้าตื่นตัวที่วัดไป๋อวิ๋นครั้งนั้น น้องสาวผู้ฟ้องทางการโดยไม่บอกกล่าว ได้สร้างภาพจำที่ลืมไม่ลงตลอดชีวิตให้กับเจียงอี
หน้าเครียดเจียงซื่อคลายออกและยิ้มอย่างอดไม่ได้ “พี่ใหญ่ ข้าเหมือนคนชอบฟ้องทางการขนาดนั้นเชียวรึ”
เจียงอีจ้องนางอย่างสงสัย
นางไม่ได้อยากขัดขวางน้องสาว แต่ตอนนี้ไม่มีหลักฐาน อีกทั้งยังเป็นเรือนของท่านตา หากฟ้องต่อทางการเกรงว่าไม่เหมาะเท่าไหร่นัก
มิหนำซ้ำ ตอนนี้น้องสี่เป็นพระชายาเอก ฟ้องทางการจะกลายเป็นเรื่องตลกได้
เจียงอีกำลังกังวลต่างๆ นานา กลับถูกคำพูดประโยคเดียวของเจียงซื่อทำให้ตกใจจนลืมแม้กระทั่งความกังวล
“ข้าจะไปหาท่านตาเจ้าค่ะ!”
เจียงอีขวางเจียงซื่ออย่างร้อนรน “น้องสี่ เจ้าอย่าผลีผลามไป ท่านตาอายุมากแล้ว รองรับความแปรปรวนมากไม่ได้ แล้วอีกอย่าง ต่อให้เจ้ามองออกว่าท่านยายถูกวางยา แต่ยังไม่มีหลักฐาน และยิ่งไม่รู้ตัวการ อย่างน้อยก็ควรหาเบาะแสก่อนค่อยเปิดเผย…”
“ข้าหาหลักฐานได้แน่” เจียงซื่อตอบอย่างมั่นใจ “พี่ใหญ่ เราค่อยๆ หาได้ แต่ร่างกายของท่านยายรอไม่ได้ ถ้าไม่นำตัวคนทำร้ายท่านยายออกมาโดยเร็ว แล้วจะวางใจได้อย่างไร”
แล้วคนนั้นก็คือคนที่ทำร้ายท่านแม่ด้วย!
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เจียงซื่อรู้สึกเกลียดชังอย่างที่สุด
หากว่ามารดาไม่ตาย นางในชาติก่อนก็ไม่อ่อนไหวต่ำต้อยเช่นนั้น และทำการเลือกผิดครั้งแล้วครั้งเล่า
หากว่ามารดาไม่ตาย ท่านพ่อก็จะไม่โดดเดี่ยวและตายคนเดียว พี่ชายพี่สาวบางทีก็ไม่พบโชคชะตาร้ายๆ เหล่านั้น
เจียงซื่อยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้คือการสมมุติฐานทั้งหมด แต่ก็ไม่สามารถหยุดความเกลียดชังที่มีต่อคนวางยาได้
นางจะลากตัวคนๆ นี้ออกมาให้ได้!
“น้องสี่ เจ้าหาหลักฐานออกมาได้จริงๆ หรือ”
เมื่อเห็นเจียงซื่อพยักหน้า สีหน้าเจียงอีก็เปลี่ยนไปและยอมคลายมือออก “ถ้าเช่นนั้น เราไปด้วยกัน”
เหล่าอี๋หนิงโหวยังนั่งสูบยาสูบตรงทางเดิน สูบไปสูบมาเริ่มไอ ค่อกแค่ก
เจียงจั้นรีบลูบหลังให้พร้อมเกลี้ยกล่อม “ท่านตาสูบน้อยหน่อยเถอะขอรับ”
เหล่าอี๋หนิงโหวมองหลานชายแล้วยื่นถุงยาสูบให้ “ลองดูสักคำไหม”
เจียงจั้นลังเลครู่หนึ่ง ถึงรับถุงยาสูบมาแล้วแนบกับริมฝีปาก ทำท่าทางตามเหล่าอี๋หนิงโหว
เขาไม่เคยสูบเจ้านี่ แต่ถ้าทำให้ท่านตาดีใจก็คงดีไม่เลว
กำลังคิดเช่นนี้ เสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ท่านตา พี่รอง…”
ถุงยาสูบในมือเจียงจั้นถูกเขวี้ยงออกไปอย่างเร็ว
“แค่กๆ น้องสี่ดีขึ้นแล้วหรือ”
เหล่าอี๋หนิงโหวเจ็บปวดหัวใจจนหนวดเคราสั่น หงึกๆ เมื่อเห็นปากยาสูบทำจากหยกเขียวที่ถูกเขวี้ยงลงพื้นมีรอยร้าว
เวลาเกิดอาการเบื่อ เขาใช้ของรักชิ้นนี้ในการระบายอารมณ์
เจียงซื่อเดินมาถึงตรงหน้าเหล่าอี๋หนิงโหว หยิบถุงยาสูบขึ้นแล้วยื่นให้
เหล่าอี๋หนิงโหวยื่นมือรับไว้ เช็ดฝุ่นที่เกาะอยู่แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงโดดเดี่ยว “เยี่ยมท่านยายพวกเจ้าเสร็จแล้ว ก็รีบกลับไปเถอะ”
“ท่านตาเจ้าคะ หลานมีเรื่องอยากคุยกับท่านเจ้าค่ะ” เจียงซื่อกล่าวเสียงเบา
เหล่าอี๋หนิงโหวถึงเงยหน้ามองเจียงซื่อ
หลานสาวคนนี้มีหน้าตาคล้ายบุตรสาวที่จากไปก่อนวัยอันควรที่สุด
เพียงพริบตาเดียว โตขนาดนี้แล้วหรือ
แววตาเหล่าอี๋โหลวมีความอ่อนโยนมากขึ้น เอ่ยถาม “เรื่องอะไรรึ”
“ท่านตาไปห้องที่หลานพักเมื่อครู่นี้นะเจ้าคะ”
เหล่าอี๋หนิงโหวไม่มีปฏิกิริยาใด เจียงจั้นกลับพยุงแกให้ลุกขึ้น “ท่านตา หลานพาไปขอรับ”
“ไม่ต้องพยุงข้า” เหล่าอี๋หนิงโหวใช้ถุงยาสูบฟาดหลังมือเจียงจั้นและกล่าวด้วยอย่างไม่สบอารมณ์
เจียงจั้นไม่โกรธ และฉีกยิ้มให้
กลับมาถึงห้องเมื่อครู่นี้ เหล่าอี๋หนิงโหวเสียบถุงยาสูบไว้ที่เอวแล้วมองเจียงซื่อ
“ท่านตานั่งลงก่อนเจ้าค่ะ” เจียงอีพยุงเหล่าอี๋หนิงโหวนั่งลง
สิ่งที่น้องสี่จะพูดนั้นน่าตกใจมาก ให้ท่านตานั่งนิ่งแล้วค่อยพูดดีกว่า
เหล่าอี๋หนิงโหวเริ่มเห็นความไม่ปกติ เขาขมวดคิ้วมองเจียงซื่อ
ในสายตาคนอื่น เด็กคนนี้คือพระชายาเอก ในสายตาของเขานางก็ยังเป็นหลานสาวคนเล็กเหมือนเดิม หากว่าก่อเรื่องเรื่อยเปื่อย เขาจะตำหนิอย่างแน่นอน
“ท่านตาเจ้าคะ วันนี้ที่ข้ามาเยี่ยมท่านยาย ข้าพบเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ”
“เรื่องอะไร”
“ท่านยายมิได้ป่วย แต่ถูกพิษเจ้าค่ะ”
“เจ้าพูดใหม่อีกที!” ท่าทางแก่หง่อมเหล่าอี๋หนิงโหวพลันเปลี่ยน แววตาแวววับ
เจียงจั้นเผยสีหน้างงงวย
เจียงซื่อดูเหมือนไม่หลบสายตาแต่พูดซ้ำอย่างมั่นใจ “ท่านยายมิได้ป่วย แต่ถูกพิษเจ้าค่ะ!”
เหล่าอี๋หนิงโหวมองเจียงซื่อด้วยแววตาเป็นประกาย น้ำเสียงปะปนไว้ด้วยความจริงจัง “เจ้าหนูสี่ เจ้ามีหลักฐานในสิ่งที่เจ้าพูดออกมาหรือไม่”
“ร่างกายของท่านยายคือหลักฐาน ข้าสามารถรีดพิษออกมาได้ แต่ท่านตาต้องช่วยหลานเจ้าค่ะ”
เหล่าอี๋หนิงโหวกลับคืนสู่สภาพใบหน้าปกติพร้อมเอ่ยถามเสียงขรึม “ช่วยอย่างไร”
เจียงซื่อมองประตูแล้วเอ่ยทีละคำ “ข้าจะหาตัวคนวางยา จึงจะขอให้ท่านตาช่วยเรียกผู้อาวุโสในจวนมาออกมาเจ้าค่ะ”
“เจ้าหมายถึง…คนวางยาอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น” เหล่าอี๋หนิงโหวตะลึง แววตาปนด้วยความสงสัย
เจียงซื่อกล่าวเสียงเรียบ “อาการของมารดาในเวลานั้นเหมือนกับท่านยายเลยเจ้าค่ะ ท่านคิดว่าคนวางยาจะอยู่ในคนกลุ่มไหนมากที่สุดเจ้าคะ”
เหล่าอี๋หนิงโหวชะงักครู่หนึ่ง แล้วไฟโทสะก็ลุกไหม้ “ข้าจะไปเรียกพวกเขามา!”
“ไม่ เชิญพวกเขาไปยังห้องท่านยายเจ้าค่ะ”
เวลาผ่านไปไม่นาน ด้านนอกห้องท่านยายก็รวมคนได้จำนวนไม่น้อย
ลุงใหญ่ซูชะเง้อดูด้านใน แล้วเอ่ยต่อเหล่าอี๋หนิงโหว “ท่านพ่อ ท่านแม่กำลังนอนอยู่ พวกเราอยู่ที่นี่จะเป็นการรบกวนท่านแม่ได้นะขอรับ”