ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 452 ฝันว่าจะได้เสวยสุข
สำหรับคนต้าโจว ในบรรดาญาติสนิทมิตรสหายนั้นผู้ที่มีศักดิ์เป็นป้าจะมีตำแหน่งสูงมาก เกรงว่าแม้เจียงซื่อจะเป็นพระชายาอ๋อง นางก็ต้องไปไว้ทุกข์ให้กับท่านป้าของนาง
ซึ่งเจียงซื่อไม่ไปแน่นอน
สำหรับคนที่ทำร้ายแม่ของตัวเอง นางไม่มีทางยอมไปก้มหัวเคารพเพื่อรักษาชื่อเสียงหน้าตาหรอก
นางไม่ยอมตั้งแต่ตอนยังไม่เป็นฝั่งเป็นฝา วันนี้ได้เป็นพระชายาอ๋องก็ยิ่งไม่ยอมให้ตัวเองรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเพราะไม่ได้รับความเป็นธรรมหรอก
อวี้จิ่นโยนเทียบเชิญงานศพทิ้งไป ขี้เกียจจะอ่านต่อแม้แต่คำเดียว
ทั้งคู่คุยเรื่องสองยายหลานเผ่าอูเหมียวคู่นั้นที่เปิดร้านในถนนซีซื่อ
“ตอนนี้ได้ส่งคนไปแอบติดตามดูแล้ว แม่เฒ่าและเด็กสาวสองคนนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ พวกเขาเฝ้าร้านอยู่ทั้งวันไม่ออกไปไหน” อวี้จิ่นพูด
เจียงซื่อขมวดคิ้ว “เดาไม่ออกจริงๆ ว่าเป้าหมายที่พวกนางมายังเมืองหลวงคืออะไร ส่งคนไปจับตาดูไว้ก่อนแล้วกัน”
“อื้อ ยังไงก็ไม่ได้เสียหายอะไรอยู่แล้ว” อวี้จิ่นพูดไปพลางหยิบจดหมายจากปากกระบอกแขนเสื้อยื่นออกไป
เจียงซื่อยื่นมือออกไปรับ จากนั้นก็เปิดออกดู
เป็นจดหมายที่เขียนโดยอักษรอูเหมียว
อวี้จิ่นเขยิบเข้ามาใกล้ ยิ้มพลางเอ่ยถามออกไป “อ่านออกหรือไม่ ต้องการให้ข้าบอกเนื้อหาข้างในให้เจ้าฟังรึเปล่า”
เจียงซื่อมองเขาตาขวาง “เจ้าเข้าใจภาษาอูเหมียวด้วยรึ”
นางลงทุนลงแรงไปมากกว่าจะแอบอ้างเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้ แม้แต่นอนก็แทบจะละเมอเป็นภาษาอูเหมียวอยู่แล้ว
ทุกคนในเผ่าอูเหมียวล้วนแทบจะพูดภาษาต้าโจวได้ ทว่าตั้งแต่อวี้ชีไปมาหาสู่กับนางกลับไม่เคยพูดภาษาอูเหมียวออกมาเลย
“อย่างไรก็ตามข้าไปอยู่หนานเจียงมาตั้งนานหลายปี อย่างน้อยก็ต้องพูดได้นิดหน่อย” อวี้จิ่นพูดอย่างภูมิใจ
แค่ดูผ่านตาก็จำไม่ลืม ความจำของเขาดีมากจริงๆ มิเช่นนั้นคงไม่อาศัยเพียงแค่ภาพในหัววาดภาพเจียงซื่อออกมาได้คล้ายตัวจริงมากขนาดนั้นแม้จะห่างหายกันไปตั้งสองสามปี
เจียงซื่อเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดออกมา “ข้าอ่านออก”
ถึงแม้จะพูดความลับเรื่องกลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้งไม่ได้ แต่การเป็นสามีภรรยาจะต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไปตลอด จึงไม่อาจปิดบังคู่ชีวิตได้
อวี้จิ่นตะลึงไปเล็กน้อย “เจ้าอ่านอักษรอูเหมียวออกด้วยรึ”
ก่อนหน้านี้อาซื่อบอกกับเขาว่าได้อาศัยหน้าตาที่เหมือนสตรีศักดิ์สิทธิ์อูเหมียวราวกับแกะไปหลอกสองคนนั้น เขานึกว่าทั้งสองฝ่ายคุยกันโดยใช้ภาษาต้าโจวเสียอีก ไม่นึกเลยว่าอาซื่อไม่เพียงแต่พูดภาษาอูเหมียวได้ แต่ยังอ่านอักษรอูเหมียวออกด้วย
ความรู้สึกแปลกประหลาดที่เคยผุดขึ้นมาแรงกล้ามากยิ่งขึ้น
อาซื่อดูคุ้นเคยกับเรื่องของเผ่าอูเหมียวมาก คล้ายกับเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นมานานหลายปี…
อวี้จิ่นใช้มือประคองแก้มของเจียงซื่อ พร้อมกับคลึงไปมา
แก้มที่บอบบางของเจียงซื่อถูกคลึงจนแดงระเรื่อขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ทำอะไรน่ะ” เจียงซื่อเอ่ยถามอย่างทำหน้าไม่ถูก
อวี้จิ่นยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ท่าทางตื่นเต้น “ข้าขอดูสักหน่อยว่าเจ้าถูกสตรีศักดิ์สิทธิ์อูเหมียวแอบอ้างรึเปล่า”
เพียงแค่ประโยคพูดเล่นประโยคเดียวทำเอาเจียงซื่ออึ้งไปเลย
ชาติภพที่แล้วมีเพียงนางที่แอบอ้างเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ เวลานี้พอได้ยินประโยคนี้จากปากของอวี้ชี ในใจก็รู้สึกแปลกเล็กน้อย
“หากข้าแอบอ้างจริงๆ จะทำอย่างไร ส่งตัวข้าคืนหรือ” เจียงซื่อยิ้มพร้อมกับถามกลับ
เมื่อเห็นว่าการตายของโหยวซื่อไม่ได้มีผลกระทบใดๆ ต่อจิตใจเจียงซื่อ อวี้จิ่นก็แอบโล่งใจออกมา เอ่ยพูดพร้อมกับยิ้มร่า “เหตุใดต้องคืนเล่า ข้าจะหาตัวอาซื่อตัวจริงออกมา แล้วเสวยสุขโดยให้นางเป็นพระสนม”
“เจ้ารอข้าสักประเดี๋ยว” เจียงซื่อพูดจบก็เดินเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว
ปล่อยให้อวี้จิ่นได้แต่ครุ่นคิดอยู่เงียบๆ เขาก็แค่แกล้งแหย่นางเฉยๆ คงไม่โกรธ…หรอกนะ
อวี้จิ่นเตรียมพร้อมรับมือทันทีเมื่อภรรยาเดินออกมา
ไม่นานเจียงซื่อก็กลับมา
“อาซื่อ เจ้าโกรธหรือ”
“ไม่ได้โกรธ” เจียงซื่อหยิบกรรไกรเล่มหนึ่งมาวางลงตรงหน้าอวี้จิ่น พร้อมกับยิ้มหวาน “ใช่ เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ ไหนลองพูดออกมาอีกที”
อวี้จิ่นยิ้มแห้ง “พูดอะไรหรือ”
เจียงซื่อควงกรรไกรเล่นอยู่ในมือ พลางเอ่ยเตือน “ก็เรื่องเสวยสุขกับนางสนมอะไรพวกนั้น”
“ฮ่าฮ่า เจ้าคงฟังผิดไปแล้ว” อวี้จิ่นยื่นมือออกไปกดมือของเจียงซื่อ พลางถือโอกาสกดกรรไกรที่ส่องประกายวิบวับในมือของภรรยาลง จากนั้นพูดเกลี้ยกล่อมออกมาจากใจจริง “อาซื่อ ระวังกรรไกรจะบาดมือเอา…”
เจียงซื่ออมยิ้มมุมปาก เอ่ยพูดด้วยท่าทางอ่อนช้อยนุ่มนวล “ไม่เป็นไร ข้าใช้คล่องนัก”
“เป็นสตรีจะมาควงกรรไกรเล่นทำไมกัน…อาซื่อ เจ้าชอบเล่นขิมหรือไม่ หรือว่าวางหมากก็ได้ มา มา พวกเรามาประลองกันสักตั้ง”
เจียงซื่อพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ก็เพราะว่าถนัดควงกรรไกรมันมีประโยชน์มากกว่าการเล่นขิมหรือวางหมาก อย่างเช่นหากสามีเตรียมมีอนุ สตรีที่เล่นขิมได้ก็ทำได้เพียงแค่บรรเลงความเศร้าโศกผ่านเสียงเพลงเพียงไม่กี่เพลง ทว่าสตรีที่ควงกรรไกรได้อย่างเชี่ยวชาญสามารถตัดต้นตอของปัญหาที่สร้างความรำคาญใจได้”
อวี้จิ่นรู้สึกเย็นวาบตรงช่วงล่างขึ้นมาทันที พร้อมกับลืมเรื่องที่จะถามเจียงซื่อว่าเหตุใดถึงอ่านตัวอักษรอูเหมียวออก
พูดคุยหยอกเล่นกันอยู่สักพัก เจียงซื่อก็ก้มอ่านเนื้อหาในจดหมาย
อ่านจบ เจียงซื่อก็ยิ้มออกมา “สุดท้ายการตบตาผู้อาวุโสรุ่นหนึ่งก็ไม่สำเร็จ เขียนจดหมายกลับไปเร็วขนาดนี้…ใช่แล้ว จดหมายฉบับนี้เจ้าได้มาได้อย่างไร”
“ริบมา เช่นนั้นจึงช้าไปสองวัน”
บรรยากาศกลับสู่ความเคร่งเครียดอีกครั้ง
อวี้จิ่นเอ่ยขึ้น “อาซื่อ ดูเหมือนเจ้าจะคุ้นเคยกับเผ่าอูเหมียวมาก…”
เจียงซื่อนิ่งไปครู่หนึ่ง พร้อมกับมองเข้าไปในดวงตาของอวี้จิ่น
ดวงตาของชายตรงหน้าสีดำขลับเป็นประกายราวกับอัญมณีสีดำผ่องใส ในขณะเดียวกันก็ฉายแววความอยากรู้อยากเห็น
เจียงซื่อถอนหายใจออกมา พลางคว้าแขนของอวี้จิ่นไว้ “อาจิ่น ข้าฝันเหมือนกับว่าเคยไปเผ่าอูเหมียว ผ่านอะไรที่นั่นมามากมาย…เช่นนั้นจึงพูดภาษาอูเหมียวได้ และเข้าใจตัวอักษรอูเหมียว ถ้าให้ข้าอธิบาย ข้าก็อธิบายไม่ถูก…”
“ไม่แน่ชาติภพที่แล้วเจ้าอาจจะเป็นคนของเผ่าอูเหมียวจริงๆ” อวี้จิ่นยิ้มพลางลูบผมของนาง แล้วเอ่ยปลอบ “อย่าได้ทุกข์ใจเพราะเรื่องเหล่านี้เลย การเข้าใจได้ตั้งแต่เกิดนั้นดีมากโข จะได้ไม่ต้องลำบากไปเรียน”
อวี้นจิ่นกลัวว่าเจียงซื่อจะเสียเวลาไปกับปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ จึงชี้ไปที่จดหมายพร้อมกับถามออกไป “อาซื่อ เจ้าวางแผนจะจัดการอย่างไร”
เจียงซื่อพับจดหมายกลับเข้าไปในซองจดหมาย แล้วเอ่ยขึ้น “อย่างไรก็ตามจดหมายถูกริบเก็บไว้แล้ว สาส์นคงส่งไปไม่ถึงเผ่าอูเหมียวสักพักหนึ่ง เช่นนั้นแอบสังเกตความเปลี่ยนแปลงอยู่เงียบๆ เถอะ หากเวลาผ่านไปนานหญิงชราคงทนรอจดหมายจากเผ่าอูเหมียวไม่ไหว ไม่แน่อาจจะหาหนทางติดต่อกับคนที่อยู่ในวังก็เป็นได้”
เจียงซื่อตัดสินใจหาตัวสตรีอูเหมียวที่เข้ามาคลุกคลีอยู่ในวังสิบกว่าปีออกมา
กู่กาฝากที่องค์หญิงใหญ่หรงหยางใช้ทำร้ายท่านแม่ในตอนนั้น สุดท้ายแล้วจะได้มาจากสตรีของเผ่าอูเหมียวผู้นั้นหรือไม่ ถึงจะไม่ใช่ แต่อาจเป็นไปได้ว่าคนที่ซ่อนตัวอยู่ในวังจะเป็นฆาตรกรตัวจริงที่ทำร้ายองค์หญิงฝูชิง เจียงซื่อจะปล่อยไปไม่ได้
นั่นเป็นงูพิษที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด แม้ตอนนี้มันยังไม่แว้งกัดตัวนางเอง แต่การได้รู้ว่างูพิษซ่อนตัวอยู่ที่ใดอย่างน้อยน่าจะหลีกเลี่ยงอันตรายได้
อวี้จิ่นพยักหน้า “อื้ม ข้าจะส่งคนไปจับตาดูการเคลื่อนไหวเหล่านี้ บางเรื่องก็ไม่อาจรีบร้อนได้ พวกเราค่อยเป็นค่อยไปทีละก้าวกันเถอะ”
ก็เหมือนกับวันที่เขาเพิ่งถึงหนานเจียง มีพลทหารจำนวนหนึ่งรู้ว่าเขาเป็นองค์ชาย ต่อหน้าก็แสดงท่าทีเคารพนับถือ แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ชายตามองเลยด้วยซ้ำ แถมยังคิดว่าเขามาสร้างปัญหาที่ทางใต้
เขาได้แต่เก็บเรื่องพวกนั้นไว้ในใจไม่พูดออกมา จนกระทั่งมีอยู่ครั้งหนึ่งเขาพาพวกพลทหารที่ติดอยู่ในป่าควันพิษออกมาได้ ถึงได้รับการยอมรับ
การลงมือฆ่าใครในเมืองหลวงนั้นไม่อาจใช้มีดได้ เช่นนั้นจึงต้องมีความอดทนมาก อย่างเช่นองค์หญิงใหญ่หรงหยาง เขาได้คิดพิจารณาวิธีการตายออกมาสิบกว่าแบบเพื่อดูว่าอันไหนน่าจะสำเร็จ
การตายของท่านป้าของพระชายาอ๋องถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ จั่งสื่อต้องใช้เวลาจัดการทุกอย่างที่เกี่ยวข้องเป็นเวลานาน
จั่งสื่อผู้ชรารออยู่นานมาก และไม่อาจทนรอท่านอ๋องกับพระชายาอ๋องเรียกได้อีกต่อไป จึงไม่รีรอที่จะไปห้องทรงพระอักษรของอวี้จิ่น
“จั่งสื่อมาแล้ว” เด็กรับใช้กล่าวทักทายพร้อมกับยิ้มร่า
“ท่านอ๋องอยู่ข้างในหรือไม่”
“ไม่อยู่”
จั่งสื่อเบิกตาโพลงจ้องเด็กรับใช้ “ท่านอ๋องกลับมาแล้วแท้ๆ”
เด็กรับใช้ “…”
เมื่อครู่เขาไม่ได้พูดนี่นา!
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง