ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 461 กินปูนร้อนท้อง
พระชายาหลู่อ๋องงงงัน “เร็วขนาดนี้เชียวรึ”
หลังจากแต่งงานนางถือว่าเป็นคนที่ตั้งท้องเร็วที่สุดในบรรดาพวกพี่สะใภ้และน้องสะใภ้ แต่นั่นเป็นเรื่องหลังจากแต่งงานได้ครึ่งปี ด้วยเหตุนี้ทำเอาท่านอ๋องภาคภูมิใจยิ่งนัก ไม่นึกเลยว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องจะเร็วกว่า
“ตอนนี้พวกเรามีเพียงแค่ลูกชายคนเดียว ต้องรีบแล้ว อย่าให้เจ้าเจ็ดที่มาทีหลังอยู่เหนือกว่าได้”
ในบรรดาองค์ชายทั้งหมด องค์ชายใหญ่ฉินอ๋องมีทายาทสืบสกุลมากที่สุด มีลูกสาวสามคนและลูกชายอีกหนึ่ง องค์รัชทายาทกับจิ่นอ๋องต่างก็มีลูกสาวสองคนและลูกชายหนึ่งคน ส่วนฉีอ๋องมีเพียงลูกสาวหนึ่งคน
นอกจากฉีอ๋อง องค์ชายท่านอื่นที่ค่อนข้างมีอายุต่างก็มีทั้งลูกสาวและลูกชายแล้ว แต่พวกเขาล้วนแต่งงานกันมาหลายปี มีนางสนมมากนัก หากตอนนี้จะมีเพียงลูกชายคนเดียวก็ถือว่าเป็นเรื่องที่พบเห็นได้น้อยมาก
ส่วนฉีอ๋องนั้นอย่าได้พูดถึงเลย การไม่มีลูกนั้นเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมากที่สุดแล้ว
ไม่ว่าอย่างไร การมีทายาทสืบสกุลในราชวงศ์มากเท่าไรก็ยิ่งเป็นการดี
“กลางวันแสกๆ ท่านอ๋องอย่ามาก่อเรื่อง…” พระชายาหลู่อ๋องโต้เถียงอยู่สักพัก ก็เออออตามหลู่อ๋อง
ที่ท่านอ๋องพูดก็ไม่ผิด พระชายาเยี่ยนอ๋องมีเรื่องน่ายินดีเร็วขนาดนี้ อันที่จริงพวกเขาต้องรีบคว้าโอกาสไว้ให้แน่น
……
เมื่อองค์ชายแต่ละองค์กลับถึงจวน ไม่รู้ว่าความคิดมากมายผุดขึ้นมาจากไหน มีทั้งคนที่อิจฉาตาร้อนและกลุ้มใจ
เนื่องจากองค์รัชทายาทพำนักอยู่ที่ตงกง จึงไม่ได้ได้รับข่าวสารที่ว่องไวเหมือนกับพวกพี่น้องที่อยู่ในจวนข้างนอก ขณะที่กำลังตั้งตารอข่าวอวี้จิ่นโชคร้ายอย่างมีความสุข ก็ถูกจิ่งหมิงฮ่องเต้เรียกเข้าเฝ้า
ทันทีที่ก้าวผ่านเข้าไปในห้องทรงพระอักษร องค์รัชทายาทก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย
หลายปีมานี้ดูเหมือนไม่ว่าจะทำอะไรล้วนไม่อาจทำให้เสด็จพ่อพอใจได้ ปัจจุบันนี้เมื่อองค์รัชทายาทเห็นจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ราวกับหนูเห็นแมวที่พร้อมจะชักเท้าหนีได้ตลอดเวลา
“มาแล้วหรือ” จิ่งหมิงฮ่องเต่ตรัสถามเสียงขรึม
องค์รัชทายาทก้มหัวลง เอ่ยถามด้วยความลังเล “ไม่ทราบว่าเสด็จพ่อเรียกลูกมามีเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เกี่ยวกับองค์ชายเจ็ด”
องค์รัชทายาทเงยหน้าขึ้นด้วยความงุนงง สบสายตาเข้ากับจิ่งหมิงฮ่องเต้
ฮ่องเต้แววตานิ่งสุขุม ดูไม่ออกเลยว่ากำลังโกรธหรือมีความสุข
องค์รัชทายาทครุ่นคิดว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้คิดอะไรอยู่ จากนั้นก็พูดเกลี้ยกล่อมออกไป “เสด็จพ่ออย่าได้โกรธน้องเจ็ดไปเลย น้องเจ็ดอายุยังน้อยจึง…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตบฉาดลงบนโต๊ะ ทำเอาองค์รัชทายาทชะงักคำพูดด้านหลังไปทันที
“เสด็จพ่อ?”
“เหตุใดข้าถึงต้องโกรธองค์ชายเจ็ด”
องค์รัชทายาทยิ่งงงไปใหญ่ ภายใต้ความกดดันจึงพูดโพล่งออกไป “ก็เจ้าเจ็ดตามใจภรรยาจนประพฤติตัวไร้วินัย…”
“ภรรยาเจ้าเจ็ดท้องแล้ว” จิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสขัดจังหวะสิ่งที่องค์รัชทายาทจะพูดออกมาตรงๆ
องค์รัชทายาทตกตะลึง สีหน้าเปลี่ยนทันควัน
ภรรยาเจ้าเจ็ดท้องแล้วงั้นรึ นี่เขายุพวกขุนนางไปเสียเปล่าหรือ…
หลังจากที่องค์รัชทายาทนึกเสียใจ ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ภรรยาของเจ้าเจ็ดตั้งท้องจึงหลีกหนีโทษได้ แล้วเสด็จพ่อจะเรียกเขามาทำไม
หืม…คงไม่ใช่เพราะเสด็จพ่อรู้เรื่องว่าเขาเป็นคนยุยงพวกขุนนางหรอกใช่ไหม
ที่จิ่งหมิงฮ่องเต้เรียกองค์รัชทายาทมา เดิมคือการอบรมสั่งสอนประจำวัน ทว่ากลับเห็นความผิดปกติจากสีหน้าขององค์รัชทายาท
ทุกครั้งที่เจ้าเด็กนี่ทำเรื่องละอายใจหน้าตาก็จะกวนบาทาเช่นนี้…
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดคิ้วมององค์รัชทายาท ทำหน้าเคร่งขรึม “รู้ความผิดตัวเองแล้วรึ”
องค์รัชทายาทก้มหัวลงโดยธรรมชาติ
หวาดผวาเพราะก่อเรื่องไม่ดีไว้! จิ่งหมิงฮ่องเต้สรุปออกมาเป็นประโยคอยู่ในใจด้วยประสบการณ์ จากนั้นก็หยิบที่ทับกระดาหยกขาวขึ้นมาเคาะลงบนโต๊ะ “เหตุใดถึงไม่พูด หรือว่าต้องให้ข้าบอกให้เจ้าฟัง”
องค์รัชทายาทประพฤติตัวดีขึ้นมาโดยพลัน เอ่ยพูดน้ำเสียงเศร้า “ลูกไม่ควรยุยงพวกขุนนางให้ยื่นมติไม่ไว้วางใจเจ้าเจ็ด…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้งงงวย อะไรนะ ยังมีเรื่องนี้ด้วยรึ
“เจ้าลูกชั่ว ข้าเรียกเจ้ามาก็เพราะอยากจะถามว่าแท้จริงแล้วเจ้าเจ็ดทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจนักหนา ถึงได้ทำให้ผู้เป็นพี่อย่างเจ้าต้องทำเรื่องเช่นนี้ออกมา น้ำใจระหว่างพี่น้องของเจ้าไปไหนหมดแล้ว” จิ่งหมิงฮ่องเต้ซักถามด้วยความตกใจ และยังไม่แสดงพิรุธใดๆ ออกมา ทว่าในใจกลับโมโหยิ่งนัก
เขายังอยู่เป็นหัวหลักหัวตออยู่เลย กล้าคิดร้ายต่อกันทั้งๆ ที่เป็นพี่น้องกัน หลังจากนี้ไปอีกร้อยปีบรรดาพี่น้องจะไม่ทำร้ายกันเองหรือ
องค์รัชทายาทคุกเข่ารับโทษ “ลูกวู่วามไปชั่วขณะ เสด็จพ่อได้โปรดให้อภัยลูกด้วย”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หลับตาลง ตรัสออกมาด้วยความกริ้ว “เจ้าทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก!”
ทั้งโกรธที่องค์รัชทายาทคิดร้ายกับพี่น้อง และโกรธยิ่งกว่าที่องค์รัชทายาทกินปูนร้อนท้อง
องค์รัชทายาทสั่นสะท้านไปทั้งตัว สีหน้าย่ำแย่ถึงขีดสุด
เสด็จพ่อรังเกียจเขาจริงด้วย ไม่แน่อาจจะอยากทิ้งเขาไปแต่แรกแล้วก็ได้…
ใช่แล้ว ถ้าหากเสด็จพ่อไม่ได้มีความคิดเช่นนี้ เหตุใดถึงต้องส่งคนมาเฝ้าติดตามเขาทุกการกระทำด้วย
ภายในใจขององค์รัชทายาทคิดว่า เป็นเพราะจิ่งหมิงฮ่องเต้ส่งคนมาเฝ้าดูเขาถึงได้สังเกตเห็นเรื่องที่วางแผนคิดร้ายต่อเจ้าเจ็ดเป็นแน่ ไม่นึกเลยว่าทั้งหมดนี้จะเป็นเพราะตัวเองที่โง่ ถูกจิ่งหมิงฮ่องเต้หลอกลวง
“ไสหัวออกไปพิจารณาตัวเองให้ดีซะ!”
องค์รัชทายาทเหลือบมองจิ่งหมิงฮ่องเต้แวบหนึ่ง แล้ววิ่งล้มลุกคลุกคลานออกไป
มองแผ่นหลังขององค์รัชทายาทที่วิ่งแจ้นหนีไป จิ่งหมิงฮ่องเต้ตะเบ็งเสียงลั่นออกมา “ช้าก่อน!”
องค์รัชทายาทชะงักหยุดลงกะทันหัน หันกลับมาตัวแข็งทื่อ
“ขนาดเจ้าเจ็ดยังรู้จักปกป้องภรรยา จากนี้ไปเจ้าดูเจ้าเจ็ดไว้เป็นตัวอย่างซะ อย่าให้ข้าทราบข่าวว่าเจ้ากับไท่จื่อเฟยไม่รักใคร่กลมเกลียวกันอีก ไม่อย่างนั้นเจ้าก็อยู่แต่ในตงกงอย่าได้ออกไปไหน!”
นี่ต่างหากที่จิ่งหมิงฮ่องเต้เตรียมมาสอนองค์รัชทายาท นึกไม่ถึงเลยว่าองค์รัชทายาทจะมีเรื่องประหลาดใจมาให้เขาเช่นนี้
องค์รัชทายาทรีบขานรับ แล้วมุ่งหน้ากลับไปที่ตงกง
เมื่อเข้าไปในห้อง องค์รัชทายาทก็ทิ้งตัวลงบนเตียง หอบหายใจแรง
คนแก่ก็อยู่ในส่วนของคนแก่สิ แล้วต่อไปเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร!
……
เรื่องที่พระชายาเยี่ยนอ๋องตั้งท้องแพร่งพรายออกไปทั่วทั้งราชวังอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วเวลาเดียว คนจำนวนมากต่างแห่กันไปแสดงความยินดีกับเสียนเฟยที่ตำหนักอวี้เฉวียน
เสียนเฟยฝืนยิ้มออกมาให้ผู้คน…เมื่อส่งทุกคนเสร็จ สีหน้าก็ดำทะมึนทันที
คนพวกนี้รู้อยู่แล้วแท้ๆ ว่าความสัมพันธ์ของนางกับภรรยาของเจ้าเจ็ดนั้นจืดจางเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังพากันแห่เข้ามาแสดงความยินดีอะไรกัน มาหัวเราะเยาะน่ะสิไม่ว่า
เสียนเฟยข่มความโกรธไว้แล้วเรียกพระชายาฉีอ๋องเข้าวังเพื่อว่ากล่าวดุด่าอยู่พักหนึ่ง
พระชายาฉีอ๋องได้แต่กล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจ ไม่อาจพูดความอึดอัดและกลัดกลุ้มใจออกมาได้ ก่อนที่จะออกไปนอกวังก็บังเอิญเจอเข้ากับพระชายาสู่อ๋อง
“น้องสะใภ้หกก็เข้าวังด้วยหรือ” เมื่อเห็นพระชายาสู่อ๋อง พระชายาฉีอ๋องรู้สึกเหมือนเจอเพื่อนร่วมชะตากรรม
ไม่ต้องถามเลย พระชายาสู่อ๋องคงถูกจวงเฟยดุด่าไปแล้วแน่ๆ
จะว่าไปแล้วพระชายาสู่อ๋องก็โชคร้าย อภิเษกสมรสก่อนหน้าพระชายาเยี่ยนอ๋องได้มานานแท้ๆ
พระชายาสู่อ๋องพยักหน้าลงเล็กน้อย เอ่ยพูดสีหน้าเรียบเฉย “มาเข้าเฝ้าเสด็จแม่เจ้าค่ะ”
พระชายาฉีอ๋องรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสยากที่จะสานสัมพันธ์ จึงเอ่ยปลอบใจออกไป “น้องสะใภ้หกอย่าได้ใส่ใจเลย พวกเจ้าเพิ่งจะแต่งงานกันได้ไม่นาน เดิมจึงไม่ต้องรีบ…”
พระชายาสู่อ๋องมองพระชายาฉีอ๋องด้วยความตกตะลึง แล้วเอ่ยพูดอย่างเย็นชา “ขอบคุณพี่สะใภ้สี่ที่ปลอบใจข้า เดิมข้านั้นไม่รีบอยู่แล้ว”
สตรีที่ถูกอิจฉาเพราะเรื่องมีหรือไม่มีลูกนั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้ว่าช่างไร้สาระเสียจริง
พระชายาสู่อ๋องนึกถึงคำกล่าวตักเตือนที่อ่อนโยนของจวงเฟย แต่พอนึกถึงสู่อ๋องแล้วก็รู้สึกไม่มีอะไรจะพูด รู้สึกเพียงแต่ว่ามันน่าเบื่อ ไร้ซึ่งรสชาติ
“ข้าขอตัวก่อน เชิญพี่สะใภ้สี่ตามสบายเลยเจ้าค่ะ”
พระชายาฉีอ๋องมองพระชายาสู่อ๋องก้มตัวมุดเข้าไปในรถม้า สีหน้าซีดเผือดและอึมครึมสลับกันออกมา
พระชายาอ๋องสองสามท่านก่อนหน้านาง รวมทั้งชายาเอกล้วนปกติกันทั้งนั้น ทำไมตั้งแต่พระชายาหลู่อ๋องมาถึงได้เปลี่ยนไปล่ะ… พระชายาหลู่อ๋องดุดันหน้าไว้หลังหลอก พระชายาสู่อ๋องยึดมั่นในคุณธรรมอันจอมปลอม พระชายาเยี่ยนอ๋องก็นิสัยแปลกประหลาด ส่วนพระชายาเซียงอ๋องนั้น…
พระชายาฉีอ๋องส่ายหน้า…พระชายาเซียงอ๋องที่ไม่ไปกราบไหว้ฟ้าดินในพิธีอภิเษกสมรสกับเซียงอ๋องนั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว แค่คิดยังไม่กล้าคิดเลย…
……
ณ ภายในจวนเยี่ยนอ๋อง จั่งสื่อชราแทบจะร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นของพระราชทานเต็มรถ
“ท่านอ๋อง จากนี้ไปหากมีเรื่องเช่นนี้อีก บอกกระหม่อมให้ทราบก่อนได้หรือไม่…”
อวี้จิ่นชำเลืองมองจั่งสื่อ เอ่ยเสียงเรียบ “พระชายาตั้งท้องจำเป็นต้องป่าวประกาศออกไปด้วยหรือ จากนี้ไปจั่งสื่อไม่จำเป็นต้องเอาแต่กังวล ข้าทั้งสุขุมหนักแน่นขนาดนี้ ข้ารู้ว่าอะไรสำคัญไม่สำคัญอยู่แล้ว”
จั่งสื่ออดทนไม่โต้เถียง จึงยั้งปากไว้ “ท่านอ๋องพูดถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”