ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 465 ชดเชย
สำหรับบุรุษโตเต็มวัย ส่วนสูงของไท่จื่อถือว่ามิใช่คนเตี้ย ทว่ารูปร่างของเจียงจั้นกลับสูงชะลูดเสียยิ่งกว่า นั่นทำให้เขาต้องเงยคอมอง
เรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้ไท่จื่อเหลือประมาณ
ความไม่พอใจนี้ แม้เจียงจั้นที่มิใช่คนละเอียดถี่ถ้วนยังสัมผัสได้
เขาละล้าละหลังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะคุกเข่าลง “ขอองค์รัชทายาทโปรดประทานอภัย”
หน่วยองครักษ์จินอู๋ทำงานอยู่ในวังหลวง พวกเขาไม่อาจทำตามอำเภอใจ เจียงจั้นทราบดีว่านี่มิใช่เวลาจะมาต่อกรกับไท่จื่อ ดังนั้น นอกจากจะก้มหน้าก้มตารับกรรมแล้ว ชายหนุ่มก็ไร้ทางเลือก
ทันทีที่เข่าคุกลงบนพื้นหินเย็นเฉียบ ความอัปยศอดสูก็พองฟูขึ้นเต็มอก
เจียงจั้นกำหมัดแน่นในท่าคารวะ สายตาจดจ้องไปที่พื้นเบื้องหน้าพร้อมกล่าวขอประทานอภัยซ้ำอีกครั้ง
องครักษ์จินอู๋อีกคนอดเห็นใจสหายไม่ได้จึงกล่าวอ้อนวอน “องค์รัชทายาท เจียงเอ้อร์…”
สายตาขับประกายเย็นชาของไท่จื่อทำให้องครักษ์นายนั้นไม่กล้าเอ่ยต่อ
“ข้าสงสัยว่า คนประมาทเลินเล่ออย่างเจ้าเข้ามาอยู่ในหน่วยองครักษ์จินอู๋ได้อย่างไร!”
เจียงจั้นยังคงคุกเข่ารอท่า ก้มหน้าไร้สุ้มเสียง
ครั้นต้องเผชิญหน้ากับอำนาจที่ยิ่งใหญ่จริงๆ แล้ว การต่อกรไม่เพียงแต่จะนำความย่อยยับมาสู่ตน ซ้ำร้ายยังนำความเดือดร้อนมาสู่คนรอบข้างอีกด้วย นี่เป็นสัจธรรมที่เขาเพิ่งจะเข้าใจ
อยากซัดหน้าไท่จื่อให้ปูดบวมเป็นหัวหมูดูสักที…
ไท่จื่อเลิกคิ้ว
เคยได้ยินมาว่าพี่ชายภรรยาเจ้าเจ็ดเป็นพวกหัวร้อน แต่ดูจากตอนนี้แล้วก็อดทนเก่งอยู่นี่
ใบหน้าเชิดเด่นชายตามองคนที่คุกเข่าอยู่เบื้องล่าง มุมปากของไท่จื่อฉายแววเหี้ยมโหด เขายกเท้าข้างหนึ่งเหยียบเข้าที่มือของคนตรงหน้า รองเท้าปักลายมังกรห้าเล็บบดขยี้เต็มแรง
ความเจ็บแปลบแผ่ซ่าน เจียงจั้นกดฟันเงียบงัน เนื้อหลังมือถลอกปอกเปิก พร้อมโลหิตสีแดงสดที่หลั่งไหล
ไท่จื่อตะลึงงันชั่วครู่ แต่เมื่อความตกตะลึงจางหายไปแล้ว จึงเหลือเพียงความรู้สึกพ่ายแพ้
หากไอ้คนนี้ร้องโอดครวญเสียหน่อย เขาคงแสร้งทำเป็นสะดุ้งตกใจและหาเรื่องเล่นงาน
เจียงจั้นยังคุกเข่านิ่ง เหงื่อกาฬผุดพรายบนหน้าผากเพราะความเจ็บปวด
ไท่จื่อคนโง่หมายจะหาเรื่องเล่นงานเขารึ ฝันไปเถอะ!
ไท่จื่อยังปักเท้าไว้กับที่ มิหนำซ้ำยังออกแรงหนักกว่าเก่า
ใบหน้าขององครักษ์อีกคนเริ่มขาวซีด เบือนหน้าหนีเพราะไม่อาจทนดูภาพตรงหน้า
หมัดข้างหนึ่งลอยเข้าปะทะใบหน้าไท่จื่อ
ไท่จื่อโซเซไปด้านหน้า
เจ้าของหมัดยังคงไม่หยุดแค่นั้น ยกบาทาขึ้นถีบจนไท่จื่อกลิ้งล้มตีลังกา
ไท่จื่อซบหน้าลงอยู่ในท่าสุนัขก้มกินอุจจาระ ใบหน้าจิ้มแหมะบนพื้นหินเย็นยะเยือก เจ็บปวดจนแทบสิ้นสติ
เสียงร้องโอดครวญคล้ายสุกรถูกเฉือด
อวี้จิ่นถีบเข้าที่ก้นของไท่จื่ออีกสองหนก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งจับร่างของเขาขึ้นมา และซัดเข้าที่แก้มของอีกฝ่ายอีกสองทีโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
ข้าหลวงที่ยืนอ้าปากค้างอยู่นานเพิ่งจะได้สติจึงกล่าวร้องเสียงดัง “คุ้มกันองค์รัชทายาท คุ้มกันองค์รัชทายาท…”
เจียงจั้นกดหลังมืออีกข้างเพื่อห้ามเลือด ในขณะที่สายตาจดจ้องไปที่เหตุการณ์ตรงหน้า
น้องเขยต่อยไท่จื่อ?
เฮือก ต่อยจนไท่จื่อร้องครางเสียงหลงเสียด้วย...
หน่วยองครักษ์จินอู๋กว่าสิบนายรีบเข้ามาล้อมอวี้จิ่น พร้อมชักดาบชี้ไปที่ชายหนุ่ม
ไท่จื่อเป็นรัชทายาท ต่อให้เยี่ยนอ๋องเป็นองค์ชาย แต่การทำร้ายร่างกายองค์รัชทายาทก็ถือเป็นมหันตโทษ
“เอ๋ พี่รอง?” อวี้จิ่นคลายหมัดพร้อมสีหน้าประหลาดใจ
ใบหน้าของไท่จื่อบวมช้ำจากการถูกชก สายตาดุดันจ้องเขม็งไปที่อวี้จิ่น ทว่าพูดไม่ออกเลยสักคำเดียว
อวี้จิ่นลูบหน้าผากด้วยความงุ่นง่าน “ถ้ารู้ว่าเป็นพี่รองแต่แรก น้องคงไม่ลงไม้ลงมือเช่นนี้ บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”
ไท่จื่อใช้มือข้างหนึ่งคว้าเสื้อของอวี้จิ่นพลางกัดฟันกรอด “ตามข้าไปหาเสด็จพ่อเดี๋ยวนี้ ฮึย…”
ความเจ็บปวดทำให้เสียงที่พ่นออกมาอู้อี้ไม่เป็นคำ
ในชั่วพริบตาเดียว ภายในห้องทรงพระอักษรก็มีคนคุกเข่าอยู่เต็มไปหมด
พระพักตร์ของจิ่งหมิงฮ่องเต้เขียวขึ้ง ฝ่ามือตบเข้าที่แท่นประทับครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกล่าวอย่างเดือดดาล “อธิบายมาเดี๋ยวนี้ว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นอย่างไร!”
ปีนี้ไม่มีเรื่องดีๆ เลย เขาอุตส่าห์ตั้งตารอฤดูหนาว จะได้ออกไปตากลมนอกวังเสียที แค่กๆ หมายถึงไปคารวะฟ้าดินที่นอกวัง คนกำลังอารมณ์ดีๆ เหตุใดถึงเกิดเรื่องกลับตาลปัตรเช่นนี้ได้
ครั้นพิศมองไปที่แก้มบวมเป่งของไท่จื่อ และหันไปมองสีหน้าหวั่นวิตกของอวี้จิ่นแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็บันดาลโทสะขึ้นมาโดยพลัน
เจ้าเจ็ดอีกแล้วหรือ!
เมื่องานวันเกิดเมื่อปีก่อนก็ก่อเรื่องจนพี่ๆ น้องๆ ตีกัน ในตอนนั้นขาดก็แต่ไท่จื่อ วันนี้เลยมาชดเชยให้งั้นรึ
วินาทีที่เห็นสายตาขึ้งเคียดที่ฮ่องเต้มองไปยังอวี้จิ่น ไท่จื่อก็ไม่เจ็บไม่ปวดอีกต่อไป
การที่เจ้าเจ็ดทำร้ายเขาในวันนี้ถือเป็นโทษมหันต์ หากคนอย่างเจ้าเจ็ดถูกเสด็จพ่อลงโทษอย่างหนัก ก็นับว่าความเจ็บปวดครานี้คุ้มค่ายิ่งนัก
ไท่จื่อรู้สึกว่าตนเองเป็นต่อ จึงรีบชิงพูดก่อน “เสด็จพ่อ วันนี้เจ้าเจ็ดเล่นเอาลูกเกือบตายพ่ะย่ะค่ะ ขอเสด็จพ่อโปรดตัดสินแทนลูกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“อธิบายให้ข้าฟังชัดๆ ที!”
“ขณะที่ลูกกำลังออกไปด้านนอก องครักษ์นายนี้ทะเล่อทะล่าเข้ามาชน ลูกเลยสั่งสอนไปเพียงไม่กี่ประโยค เจ้าเจ็ดก็พุ่งตัวเข้ามา ต่อยลูกจนเป็นสภาพนี้ทั้งที่ไม่พูดไม่จาเลยสักคำ…” ไท่จื่อกล่าวด้วยท่าทีกระตือรือร้น ข่มกลั้นความเจ็บระบมนั้นไว้ขณะแสดงโวหาร
จิงหมิ่งฮ่องเต้สดับฟังด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ครั้นไท่จื่อว่าเสร็จ เขาก็กวาดตาไปยังองครักษ์และข้าหลวงที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น “เป็นดังที่ว่ามา?”
ข้าหลวงที่ยืนใกล้กับไท่จื่อรีบกล่าว “กราบทูลฝ่าบาท เป็นจริงดังนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
กลุ่มองครักษ์ต่างก็พยักหน้ารับหงึกหงัก มีเพียงองครักษ์จินอู๋นายหนึ่งที่ติดจะลังเล ทว่าสุดท้ายก็ได้แต่ก้มหน้าต่ำไม่เกริ่นกล่าว
เยี่ยนอ๋องทำร้ายไท่จื่อ เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่ควรสอดมือเข้าไปยุ่ง เพราะหากเทียบกับเรื่องที่เจียงเอ้อร์ทำผิดต่อไท่จื่อแล้ว ไม่คุ้มที่จะเอ่ยเลยสักนิด
ครั้นได้รับการยืนยันเช่นนั้น จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็กล่าวถามอย่างเหลืออด “เจ้าเจ็ด วันนี้เจ้านึกบ้าอะไรขึ้นมา”
อวี้จิ่นอยู่ในท่าสำรวม “ลูกไม่ทราบว่าเป็นพี่รอง ลูกเพียงแต่เห็นไกลๆ ว่ามีคนกำลังรังแกพี่ชายของภรรยา ครั้นเห็นเช่นนั้น ลูกจึงพุ่งตัวเข้าไปจัดการทันที ครั้นต่อยไปแล้วถึงได้รู้ว่าคนผู้นั้นคือพี่รอง!”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วพลางกัดฟันถาม “พี่ชายของภรรยาอะไรกัน”
อวี้จิ่นรีบชี้ไปที่เจียงจั้นที่กำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้น “เสด็จพ่อ พี่ชายของภรรยามีนามว่าเจียงจั้น เขาเป็นหนึ่งในหน่วยองครักษ์จินอู๋ ในตอนที่ลูกเดินผ่านมา บังเอิญเห็นว่ามีคนกำลังเหยียบมือของเขาอยู่พ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หลุบตาลงมองมือของเจียงจั้นโดยพลัน แล้วพบว่าหลังมือของเขามีแผลถลอกปอกเปิกตามที่ว่า
“ไท่จื่อ นี่มันเรื่องอะไรกัน” จิ่งหมิงฮ่องเต้หันกลับไปมองไท่จื่อ
ในวินาทีนั้น ไท่จื่อประหม่าขึ้นทันใด รีบอธิบายทันควัน “เสด็จพ่อ ลูกไม่ทราบว่าคนผู้นี้คือพี่ชายของสะใภ้เจ็ด วันนี้ลูกออกไปด้านนอก แล้วถูกองครักษ์ชนเข้าให้ เขาคุกเข่าลงต่อหน้าลูกเพื่อขอประทานอภัย ลูกกล่าวตักเตือนเพียงสองประโยคก็เตรียมจะเดินไป แต่เพราะไม่ทันระวังถึงได้เหยียบเข้าที่มือของเขา…”
เจียงจั้นกระตุกมุมปากมิได้โต้ตอบ
อวี้จิ่นไร้วี่แววของความกังวล ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ “ส้นรองเท้าพี่รองมีตะปูฝังอยู่หรืออย่างไร
แค่บังเอิญเหยียบมือ เหตุไฉนมือของเขาถึงได้เหวอะหวะเพียงนี้”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หรี่ตา
แน่นอนว่าเขาไม่ได้เชื่อทุกสิ่งที่ไท่จื่อพูด เพียงแต่ไม่คิดว่าไอ้เจ้าเจ็ดตัวดีจะกล้าถามออกมาตรงๆ หรือคิดว่าถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้วจะรอดจากโทษของการทำร้ายองค์รัชทายาทไปได้
“เจ้าเจ็ด เจ้าจาบจ้วงองค์รัชทายาท รู้ตัวใช่ไหมว่ามีความผิด” แม้จิ่งหมิงฮ่องเต้จะกริ้วทว่ากลับตรัสถามเสียงราบเรียบ
อวี้จิ่นคุกเข่าลง หลบตาพลางบอก “ลูกทราบดีว่าการจาบจ้วงองค์รัชทายาทถือเป็นความผิด เพียงแต่ว่าวันนี้พี่รองมิได้สวมฉลองพระองค์ประจำกายไท่จื่อ ลูกจึงไม่ทันได้สังเกตพ่ะย่ะค่ะ…”
“เสด็จพ่อ พระองค์อย่าไปฟังที่เจ้าเจ็ดกล่าวเพ้อเจ้อ แค่ลูกมิได้สวมชุดก็ดูไม่ออกอย่างนั้นหรือ หากเป็นพระองค์เล่า หากพระองค์มิได้สวมฉลองพระองค์ของกษัตริย์ เป็นเหตุให้คนดูไม่ออก แล้วผู้ใดก็มีสิทธิ์ทำร้ายพระองค์ได้อย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าเจ็ดหมายจะอ้างไม่รู้ไม่ผิดสินะ ฝันไปเถอะ!
จิ่งหมิงฮ่องเต้เริ่มคล้อยตามคำของไท่จื่อเป็นครั้งแรก
มีเหตุผล เหตุผลของเจ้าเจ็ดดูแถออกทะเลไปหน่อย คราวนี้คงไม่มีทางพ้นอาชญาไปได้เป็นอันขาด
“ไม่ว่าเสด็จพ่อจะสวมฉลองพระองค์เช่นไร พระองค์ก็คงไม่มีทางเหยียบมือคนอื่นจนถลอกปอกเปิกเช่นนี้” อวี้จิ่นกล่าวเสียงเรียบ
จิ่งหมิงฮ่องเต้เลิกคิ้ว
เอ๋ อันนี้ดูฟังขึ้นกว่า