ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 493 ไทเฮาเสด็จออกจากวัง
ไทเฮาพระชนม์มายุมากแล้ว ไม่แน่ว่าเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิก็อาจจะลืมเรื่องราวเหล่านี้ไป…
จิ่งหมิงฮ่องเต้คิดดังนั้น
ไทเฮามองไปทางจิ่งหมิงฮ่องเต้ด้วยดวงตาอันลึกล้ำ ก่อนจะกล่าวขึ้นทำลายจินตนาการอันงดงามของเขาเมื่อครู่ลง “ช่วงนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมายเหลือเกิน ข้าอยากจะออกไปไหว้พระขอพรสักหน่อย ภาวนาให้ในปีหน้าทุกอย่างปลอดภัยราบรื่น หากรอให้ข้ามผ่านฤดูใบไม้ผลิก่อนแล้วค่อยเดินทางไป จะไม่ช้าไปหรือ”
“ทว่าด้านนอกอากาศหนาวเหน็บยิ่งนัก เสด็จแม่เดินทางออกจากพระราชวัง ลูกไม่วางใจ…” จิ่งหมิงฮ่องเต้พยายามโต้แย้ง
ไทเฮาด้วยรอยยิ้มว่า “วัดต้าฝูอยู่ในเมืองนี่เอง อีกทั้งเป็นวัดของทางราชวงศ์เรา มีสิ่งใดให้ไม่วางใจกันเล่า ข้ารู้ว่าช่วงนี้ฝ่าบาทพบเรื่องเลวร้ายมาไม่น้อย และในครานี้เดินทางไปอธิษฐานภาวนาก็เพื่อฝ่าบาทเอง”
จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก “เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ ลูกไม่อาจทนเห็นท่านเดินทางออกไปพบความยากลำบากได้”
ไทเฮาทำสีหน้าจริงจัง “เดินทางไปถวายเครื่องหอมธูปเทียนที่วัดต้าฝู เหตุใดจึงเรียกว่าความยากลำบาก ฝ่าบาทไม่ต้องโน้มน้าวข้าแล้ว หากข้าไม่ได้เดินทางไปครั้งนี้จะรู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก”
น้อยครั้งที่จิ่งหมิงฮ่องเต้จะปฏิเสธไทเฮา เมื่อพบว่านางยืนกรานเช่นนั้นจึงได้ตอบตกลง
“เช่นนั้นลูกจะให้หันหรานไปเป็นเพื่อนท่าน”
“จะทำให้เป็นเรื่องเดือดร้อนใหญ่โตทำไมกัน ข้าตั้งใจจะเดินทางไปอย่างเงียบๆ และพาคนไปเพียงไม่กี่คน”
“เช่นนั้นก็ตามใจท่านเถิด” จิ่งหมิงฮ่องเต้แม้จะกล่าวออกมาดังนั้น แต่ในใจก็ตั้งใจแล้วว่าจะสั่งให้คนแอบติดตามไปอารักขา
ไทเฮาจึงได้แสดงสีหน้าผ่อนคลายออกมาแล้วกล่าวว่า “บัดนี้ปาเข้าไปปลายปีแล้ว ศาลาว่าการใกล้จะปิดประทับยันต์แล้ว ฝ่าบาทอย่าได้มัวแต่ขลุกอยู่ในห้องทรงพระอักษรเพื่ออ่านฎีการ้องฟ้องเหล่านั้นเลย คดีมากมายที่ยื่นเข้ามาไม่รู้จักจบจักสิ้นมีอะไรน่าดูกัน วางเรื่องราวเหล่านั้นเอาไว้ก่อนเถิด แล้วผ่อนคลายสักสองสามวัน”
พานไห่ที่ยืนตรงอยู่ด้านหลังของจิ่งหมิงฮ่องเต้ได้แต่ก้มหน้าลง
แต่ละวันมัวแต่ขลุกอยู่ในห้องทรงพระอักษรอ่านหนังสือฟ้องร้อง…
จิ่งหมิงฮ่องเต้เหลือบมองไปที่พานไห่แล้วกระแอมออกมา กล่าวว่า “ลูกเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ และจะไม่ทำให้ตนต้องเหนื่อยล้าไปมากกว่านี้”
“ในเมื่อฝ่าบาทรู้จักพักผ่อน ข้าก็วางใจ” ไทเฮาหมุนลูกประคำในมือของตน แล้วนึกถึงเรื่องราวเมื่อครั้งสนทนากับองค์หญิงใหญ่หรงหยางกล่าวว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องไม่ให้ความเคารพยำเกรงผู้ใด แต่นางก็ไม่ได้เอ่ยเรื่องนี้กับจิ่งหมิงแม้แต่คำเดียว
การที่ไทเฮาได้รับความเคารพและกตัญญูกตเวทีจากใจจิ่งหมิงฮ่องเต้ แน่นอนว่าเกี่ยวข้องกับนางไม่มากก็น้อย
หลายปีมานี้ ไทเฮาไม่เคยกล่าวถึงเรื่องในราชวังต่อหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้เท่าไรนัก อย่างเช่นบัดนี้เมื่อองค์รัชทายาทถูกปลดตำแหน่ง ตำแหน่งฉูจวินจึงว่างเปล่า ทว่าไทเฮากลับไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาแม้แต่คำเดียว
และเนื่องด้วยเหตุนี้เอง หากว่าไทเฮากล่าวถึงใครบางคนในทางที่ไม่ดี จึงมีน้ำหนักยิ่งนักในสายตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้
นางหยุดการเคลื่อนไหวลูกประคำในมือลง ไทเฮายิ้มแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท ไปจัดการธุระของท่านต่อเถิดข้ารู้สึกเหนื่อยล้าแล้วเล็กน้อย”
หลังจากที่จิ่งหมิงฮ่องเต้จากไป ไทเฮาก็เอนกายไปที่กรงเทียนเครื่องหอมแล้วหลับตาลง
หมัวมัวชราคนหนึ่งนำหมอนนุ่มมาให้ไทเฮาหนุนหลัง
ไม่นานต่อมา ก็มีหมัวมัวคนหนึ่งเข้ามารายงานว่า “ไทเฮาเพคะ องค์หญิงใหญ่หรงหยางเสด็จมาเพคะ”
“ให้นางเข้ามาได้” ไทเฮาลืมตาขึ้น
ผ่านไปชั่วครู่ บ่าวรับใช้ก็ได้เปิดผ้าม่านอันวิจิตรงดงามขึ้น องค์หญิงใหญ่หรงหยางในชุดยาวสีแดงก็เดินเข้ามาด้านใน
เมื่อมองเห็นดวงตาอันแดงก่ำขององค์หญิงใหญ่หรงหยาง ไทเฮาก็เอ่ยถามขึ้นว่า “เป็นอะไรไปหรือ”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางเดินตรงเข้ามา คุกเข่าลงต่อหน้าไทเฮา “เสด็จแม่เพคะ ลูกฝันถึงหมิงเย่ว์…”
“ฝันเห็นหมิงเย่ว์งั้นหรือ” ปฏิกิริยาแรกของไทเฮาก็คือขมวดคิ้วเข้าหากัน
สำหรับหลานสาวที่หลบหนีไปหลังจากฆ่าสามีซึ่งเพิ่งแต่งงานกันคนนี้ แม้ว่าในอดีตนางจะรักและทะนุถนอมอย่างจริงใจ แต่บัดนี้ความรู้สึกที่เคยมีหลงเหลืออยู่ไม่มากแล้ว
องค์หญิงใหญ่หรงหยางน้ำตานอง “ลูกฝันว่าหมิงเย่ว์มีเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด และตายอย่างน่าอนาถใจ… เสด็จแม่เพคะ ต้องเกิดเรื่องขึ้นกับหมิงเย่ว์อย่างแน่นอน
ไทเฮาได้ยินดังนั้นก็รู้สึกขนลุกตัวชา “อย่าคิดไร้สาระไป!”
“เสด็จแม่ แม่ลูกมีความรู้สึกผูกพันกันทางจิต ความรู้สึกของลูกนั้นไม่ได้คิดไปเองอย่างแน่นอน หมิงเย่ว์ไม่ได้หลบหนี แต่นางถูกคนฆ่า…”
สำหรับบุตรสาวบุญธรรมเพียงคนเดียวของนาง ไทเฮามักจะรู้สึกรักและเอ็นดูอยู่เสมอ เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวว่า “เอาเถิด วันพรุ่งนี้ข้าตั้งใจจะเดินทางไปถวายเครื่องหอมธูปเทียนที่วัดต้าฝู หากเจ้ารู้สึกไม่สบายใจ จะเดินทางไปกับข้าด้วยก็ย่อมได้”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางดวงตาเป็นประกายถึงความปีติยินดี นางรีบตอบตกลง
ในวันรุ่งขึ้นอากาศดียิ่งนัก
ดวงอาทิตย์ในฤดูหนาว ยากนักที่จะสดใส ทำให้หิมะที่กองสะสมละลายลงช้าๆ กิ่งไม้ที่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งมีน้ำหยดลงมา
องค์หญิงใหญ่หรงหยางรออยู่ด้านนอกสักครู่แล้ว จากนั้นนางก็ได้เดินทางออกไปอย่างวัดต้าฝูพร้อมกับไทเฮา
ไทเฮาไม่ต้องการจะทำให้เรื่องนี้ดูใหญ่โต จึงได้นั่งรถม้าคันเดียวกับองค์หญิงใหญ่หรงหยาง นางในที่พาไปด้วยมีจำนวนไม่มากนัก อีกทั้งรถม้าที่ใช้ก็มองไม่เห็นถึงสัญลักษณ์ของพระราชวัง
ระหว่างทางที่เดินทางไปยังวัดต้าฝู รถม้าถูกผู้คนที่กำลังมุงดูอะไรบางอย่างด้านหน้าปิดทางเอาไว้
“เกิดเรื่องอะไรกัน” ไทเฮาขมวดคิ้วถาม
องค์หญิงใหญ่หรงหยางเปิดผ้าม่านขึ้นแล้วเอ่ยถามข้าหลวงที่อยู่ด้านข้างรถ
ข้าหลวงนั้นพยักหน้าแล้ววิ่งเข้าไปเพื่อสอบถามชาวบ้าน ไม่นานต่อมาก็กลับมาแล้วรายงานว่า “ทูลองค์หญิง มีชายหนุ่มคนหนึ่งเข้าไปรั้งหญิงนางหนึ่งเอาไว้โดยไม่ยอมปล่อย จะนำตัวนางไปด้วยให้ได้…”
“ไม่มีผู้ใดเข้ามาจัดการหรือ” องค์หญิงใหญ่หรงหยางเอ่ยถาม ข้าหลวงผู้นั้นลังเลอยู่ชั่วครู่
ไทเฮามองไปดูท่าทางสงบ นางหลับตาทั้งสองข้างลง แลไม่สนใจเรื่องเหล่านี้มากนัก
เรื่องของชายหนุ่มที่ลวนลามหญิงสาวเหล่านี้ ไม่ว่ายุคใดสมัยใดล้วนมีมาไม่ขาดหาย หากว่านางรู้สึกประหลาดใจไปเสียทุกเรื่อง และกังวลใจกับเรื่องเหล่านั้นไปเสียทุกเรื่องก็คงจะเหนื่อยน่าดู
ไทเฮาที่เข้าไปในพระราชวังมาช้านาน นางได้ฝึกฝนท่าทางอันเย็นชาดุจดั่งมีกระดูกเป็นเหล็กไปเสียแล้ว
องค์หญิงใหญ่หรงหยาง มีความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากกว่าไทเฮายิ่งนัก “มีสิ่งใดไม่อาจกล่าวได้อย่างนั้นหรือ”
ข้าหลวงผู้นั้นกล่าวว่า “คนผู้นั้นกล่าวว่าตนเป็นญาติของพระชายาเยี่ยนอ๋อง จึงไม่มีผู้ใดกล้ายื่นมือไปข้องเกี่ยว ไม่เช่นนั้นคงจะแย่อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาลืมตาขึ้น “ญาติของพระชายาเยี่ยนอ๋องอย่างงั้นหรือ”
ประการแรกนางมีความประทับใจที่ไม่ค่อยดีนักต่อเจียงซื่อ ประการที่สอง เนื่องจากองค์หญิงใหญ่หรงหยางมักจะเป่าหูนางเป็นประจำ ดังนั้นไทเฮาจึงมีความรู้สึกไม่ดีต่อเจียงซื่อไปโดยปริยาย
เพียงแต่นางสามารถระงับอารมณ์เอาไว้ได้ ไม่ต้องการจะกล่าวเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ต่อหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้
แต่หากว่ามีโอกาสจะเอาชนะพระชายาเยี่ยนอ๋องได้ แน่นอนว่านางก็ยินดีนัก
จู่ๆ ก็มีความโกลาหลเกิดขึ้น ใครบางคนตะโกนว่า “มีคนตาย!”
ผู้คนมากมายวิ่งไปข้างหน้า แต่ก็มีหลายคนที่วิ่งกลับมา ทำให้ฉากตรงหน้าค่อนข้างวุ่นวาย
สารถีทำการถอยรถม้ากลับ
ไทเฮาสีหน้ามืดมนลง “ออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงมีคนตายได้ ทหารและขุนนางเหล่านี้กินข้าวไปวันๆ หรือไร!”
เมื่อกล่าวจบ ก็พบหน่วยรักษาความปลอดภัยกลุ่มหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาอย่างรีบร้อน ผู้ที่เป็นหัวหน้าตะโกนว่า “ถอยออกไป ชายที่ลวนลามหญิงสาวอยู่ที่ใด”
ทันทีที่เจ้าหน้าที่มาถึง ผู้คนที่มุงดูเหตุการณ์เบื้องหน้าก็เเบ่งออกเป็นสองข้าง เผยให้เห็นภาพภายใน
เหตุการณ์ตรงหน้านี้ดูช่างสยดสยอง
ชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ จับจ้องไปที่บางแห่งด้วยสายตางุนงง เมื่อมองไปตามแววตาของเขา ก็พบว่าที่ตรงกำแพงมีหญิงสาวรูปร่างผอมเพรียวนางหนึ่ง
ใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นหันไปทางด้านข้าง ศีรษะห้อยลงมา เลือดที่ไหลออกมานั้นทำให้มองเห็นรูปร่างหน้าตานางได้มีชัดเจน
ผู้คนที่อยู่รอบข้างพากันตกตะลึงและวิพากษ์วิจารณ์ นิสัยอันชอบมองดูเรื่องชาวบ้าน เหมือนกับพวกเขามีรากงอกออกมาจากเท้า ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน
ผู้เป็นหัวหน้ารักษาความปลอดภัยยืนตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็รู้สึกโมโหยิ่งนัก “ทหาร จับคนร้ายเอาไว้!”
มิได้กล่าวว่ามีการลวนลามหญิงสาวหลอกหรือ เหตุใดจึงมีคนถึงแก่ชีวิตได้ ปีใหม่นี้จะให้ข้ามผ่านด้วยวันอันสดใสไม่ได้หรือ
จากนั้นเจ้าหน้าที่สองคนก็เข้ามากุมบ่าทั้งสองข้างของเขาเอาไว้ ชายหนุ่มพยายามดิ้นรน “ปล่อยข้า ข้าไม่ใช่คนฆ่านาง เหตุใดจึงจับข้าเล่า!”
“ถึงเจ้าไม่ใช่คนฆ่า แต่เจ้าบีบบังคับนางให้ตาย” ในที่สุดก็มีคนในฝูงชนตะโกนออกมา
ผู้คนที่อยู่โดยรอบก็พากันพูดแทรกเสริมประโยคเมื่อครู่
ชายหนุ่มเช็ดเหงื่อบนใบหน้า “ข้าเพียงแค่ถามทางกับนาง ข้าไม่ได้บีบบังคับสิ่งใดนางเลย นายท่าน ท่านอาจจะไม่รู้ว่าข้าคืออาของพระชายาเยี่ยนอ๋อง!”