ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 505 ต่อหน้าทุกคน
ผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนแหงนหน้ามอง พยายามอ่านข้อความบนกระดาษแผ่นยาวนั้น ‘วันนี้ตอนเที่ยงขอเชิญชาวเมืองทุกคนร่วมประนามผู้ทำความผิด’
เมื่ออ่านจบทุกคนก็มองหน้ากันด้วยความงุนงง
นี่มันอะไรกัน ประณามผู้ร้ายคนไหน
ทันใดนั้นก็มีคนตระโกนขึ้นว่า “ต้องเป็นผู้ร้ายที่ฆ่าภรรยาของหลี่ต้าหลังแน่นอน”
ความโกลาหลเกิดขึ้นในฝูงชนทันใด
“ผู้ใดต้องการจะแสวงหาความยุติธรรมให้แก่เหนียงจื่อตระกูลหลี่”
ในมือของนักกายกรรมที่อยู่บนเก้าอี้ยาวสะบัดออกมาอีกครั้ง กระดาษอีกแผ่นมีตัวอักษรเขียนเอาไว้สามตัวยาวว่า ‘ณ จวนเยี่ยนอ๋อง’
ผู้ที่เข้ามาล้อมวงดูพากันแตกตื่นขึ้นอีกครั้ง
“เป็นคนจากจวนเยี่ยนอ๋องหรือนี่ เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเสียจริง!”
ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ จากเสียงเบาค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเสียงแซ่ซ้อง
หลงต้านเอนกายไปทางด้านหน้ายิ้มแล้วกล่าวกับอวี้จิ่นว่า “นายท่านขอรับ ตอนบ่ายคาดว่าจะมีคนหนาแน่นอย่างแน่นอน”
“เป็นเช่นนั้นก็ดี” อวี้จิ่นเผยอยิ้มแล้วกล่าวขึ้น
จะว่าไปแล้วการที่ใช้แผ่นป้ายในการดึงดูดสายตาคน เขาได้เรียนรู้มาจากอาซื่อ
ไม่ว่าวิธีการจะเก่าเพียงใด ขอแค่ใช้งานได้ก็พอ
เรื่องที่อวี้จิ่นพาคนไปสร้างความครึกครื้นขึ้นที่ถนนนั้น ในไม่ช้าก็ได้ยินมาถึงพระกรรณของจิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้เรื่องเข้าก็ได้แต่ตกตะลึง นานทีเดียวกว่าจะถอนหายใจออกมา “คงมีเพียงเจ้าเจ็ดที่หน้าด้านหน้าทนเท่านั้นจึงจะทำเรื่องราวเช่นนี้ออกมาได้ หากเป็นคนอื่นล่ะก็คงอยากจะเก็บเรื่องราวเหล่านี้เอาไว้เป็นความลับ และปิดปากพวกคนที่รู้เรื่องราวทั้งหมด แต่เจ้าเจ็ดกลับทำในทางตรงกันข้าม เขาต้องการให้คนทั้งเมืองรู้เรื่องนี้…”
พานไห่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดออกมา เขาได้แต่ยิ้มไปด้วยกัน
วิธีทางกลับกันกับผู้อื่น เยี่ยนอ๋องใช้ได้ดีเหลือเกิน
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของบรรดาชาวบ้านในเมืองหลวง คาดว่าคงจะแพร่กระจายไปด้วยความรวดเร็ว ไม่นานนักทุกคนล้วนรู้ และไม่ว่าอาชายของพระชายาเยี่ยนอ๋องจะถูกตัดสินความผิดเช่นไรทุกคนก็คงไม่เชื่อ ล้วนแต่พากันเผยแพร่ข่าวไม่ดีของจวนอ๋องออกไป
เมื่อข่าวเหล่านี้แพร่กระจายออกไป คนในเมืองทุกคนจะได้เห็นกับตาว่าญาติของพระชายาเยี่ยนอ๋องมีจุดจบเช่นไร นี่คือกลยุทธ์ดึงฟืนออกจากเตา แก้ปัญหาที่ต้นตออย่างแท้จริง
เมื่อถึงเวลานั้น ผู้คนอาจจะพากันยกย่องเยี่ยนอ๋องและพระชายาว่าไม่ปกป้องญาติ
“รอให้เยี่ยนอ๋องจัดการเรื่องเหล่านี้ให้เสร็จสิ้น แล้วเรียกเขาเข้ามาในวัง ข้าจะตำหนิเขาสักหน่อย ทำเรื่องไร้สาระเสียจริง”
เขาเองก็ไม่รู้ว่าในตอนบ่ายนี้ การประณามคนชั่วร้ายจะครึกครื้นเพียงใด น่าเสียดายเหลือเกินที่ไม่อาจไปเห็นได้ด้วยตาตนเอง
พานไห่ได้แต่กลอกตามองบนเงียบๆ
ฝ่าบาทปากไม่ตรงกับใจอีกแล้ว
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ป้ายประณามผู้ร้ายนั้นถูกแขวนเอาไว้บนเก้าอี้ที่ต่อกันเป็นขั้นบันไดสูงถึงห้าจั้ง หากเราปีนขึ้นไปบนอาคารสูงอาจจะมองเห็นได้…”
พระเนตรของจิ่งหมิงฮ่องเต้เป็นประกาย ก่อนจะเหลือบมองแล้วทำสีหน้าเคร่งขรึม “ป้ายประณามนั้นมีอะไรน่าดูกัน”
พานไห่ได้แต่ก้มศีรษะลงไป
ผ่านไปชั่วครู่จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ลุกขึ้นเอาพระหัตถ์ไขว้หลัง เดินตรงออกไปด้านนอก “อ่านหนังสือรายงานเหล่านี้นานไปก็รู้สึกอึดอัด ออกไปสูดอากาศด้านนอกกันดีกว่า”
พานไห่ “…” การมีเจ้านายที่ปากไม่ตรงกับใจช่างเหนื่อยเหลือเกิน
เมื่อถึงเวลาเที่ยง หลงต้านรู้สึกกังวลใจจึงเดินทางออกมาตรวจสอบสถานที่ และเขาต้องตกตะลึงอ้าปากค้าง
อวี้จิ่นที่นั่งพักอยู่ในห้องหนังสือเห็นหลงต้านเดินเข้ามาด้วยท่าทางแปลกประหลาด เขาก็เหลือบมองไปแล้วถามว่า “เกิดเรื่องใดขึ้น”
หลงต้านไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี “นายท่านขอรับ พวกเราควรจะรีบเดินทางไปแล้ว หากช้ากว่านี้คาดว่าคงจะเบียดเข้าไปไม่ไหว”
“มากมายเช่นนั้นเชียวหรือ”
“หากจะกล่าวว่าผู้คนมืดฟ้ามัวดินก็ไม่เกินความเป็นจริง” บัดนี้ทั้งข้างถนนและบนต้นไม้ล้วนเต็มไปด้วยผู้คน…
อวี้จิ่นครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเริ่มลงมือจากศาลาว่าการขององครักษ์จิ่นหลินเถิด”
ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วยามในการเดินทางจากศาลาว่าการหน่วยองครักษ์จิ่นหลิงไปถึงสถานที่เกิดเหตุ เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์นี้อวี้จิ่นจึงได้เดินทางไปก่อนหน้าหนึ่งชั่วยาม
อาชายโต้วถูกหน่วยองครักษ์จิ่นหลินกุมตัวออกมา
หันหรานแสดงสีหน้าค่อนข้างซับซ้อนออกมา “ท่านอ๋องขอรับ ผู้คนมากมายไม่เป็นระบบระเบียบ พวกเราต้องคอยระวังคนขว้างปาสิ่งของอาจทำให้นักโทษเสียชีวิตได้…”
“ขอบพระคุณใต้เท้าหันที่ตักเตือน” อวี้จิ่นหันไปยิ้มขอบคุณแล้วหันไปพยักหน้าให้แก่หลงต้าน
หลงต้านยกมือขึ้น เสียงกลองก็ดังทันที
ผู้คนมากมายโผล่ศีรษะออกมามองดู
หันหรานที่ยืนอยู่ด้านหน้าศาลาว่าการทำสีหน้าบิดเบี้ยว
นี่เป็นครั้งแรกที่มีการตีฆ้องตีกลองต่อหน้าศาลาว่าการของหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน
ขบวนก้าวไปด้านหน้าและมีคนติดตามมากขึ้นเรื่อยๆ
อาชายโต้วที่สวมกุญแจมือเอาไว้ดูมึนงง แต่เหมือนเขาเพลิดเพลินกับการถูกกะหล่ำปลีและผักกาดที่โยนลงมาทักทายตลอดทาง
“มาแล้ว มาแล้ว เขามาแล้ว!”
ฝูงชนที่ยืนรออยู่เนิ่นนานพากันเดือดดานขึ้นทันที
“นั่นไง ผู้ร้ายที่ทำให้เหนียงจื่อตระกูลหลี่ถึงแก่ชีวิตหรือ”
“ถูกต้องแล้ว เป็นเขานั่นเอง!”
ทันใดนั้นผักและไข่เน่าก็ลอยออกมานับไม่ถ้วน อีกทั้งยังมีรองเท้าฟางที่หักพัง
สิ่งของเหล่านี้พวกเขาจัดเตรียมเอาไว้นานแล้ว รอก็เพียงเวลานี้เท่านั้น
ในฐานะชาวบ้านธรรมดาที่ได้เห็นเหตุการณ์เหล่านี้มานับครั้งไม่ถ้วน พวกเขารู้กฎเกณฑ์เป็นอย่างดี อย่างเช่นวัตถุแข็งก้อนหินสิ่งของเหล่านั้นจะโยนออกไปไม่ได้ หากว่าขว้างปาเสียจนผู้ร้ายถึงแก่ชีวิตก็คงจะมีปัญหาตามมามากมาย
เมื่อเดินทางมาถึงธงที่ปลิวไสวตามสายลม ขบวนก็ได้หยุดลง
หลงต้านกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะแล้วตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า “ข้าคือองครักษ์ของจวนเยี่ยนอ๋อง บัดนี้ผู้ร้ายซึ่งอ้างชื่อเสียงของพระชายาเยี่ยนของพวกเราทำร้ายหญิงสาวได้ถูกนำตัวมาแล้ว พี่น้องทุกท่านอย่าได้เกรงใจ สามารถนำผักเน่าและไข่เน่าเหล่านั้นขว้างปาไปที่เขาได้ เพียงแต่ระมัดระวังสักหน่อยอย่าทำให้เขาเป็นอันตรายถึงชีวิต เจ้าหน้าที่องครักษ์ยังจะต้องกุมตัวคนร้านไปที่หลิ่งหนานอันห่างไกลอีก…”
ฝูงชนที่เข้ามามุงดูต่างเงียบลง จากนั้นพากันวิพากษ์วิจารณ์
“ส่งตัวไปที่หลิ่งหนานหรือ ถูกเนรเทศหรือ”
“โทษหนักถึงขนาดต้องเนรเทศเลยหรือ”
โทษประหารในราชวงศ์ต้าโจวมีไม่มากนัก โดยมากแล้วจะถูกเนรเทศไปที่กองทัพทหารกองกำลังเสริม อาชายโต้วบีบบังคับให้สตรีต้องถึงแก่ชีวิตบนท้องถนน แม้ว่าโทษนี้จะไม่เบา แต่ชาวบ้านคิดไม่ถึงว่าจะร้ายแรงถึงขั้นเนรเทศ
เหตุผลนั้นง่ายดายยิ่งนัก เนื่องจากบรรดาคุณชายตระกูลมั่งคั่งรังแกลวนลามหญิงสาวนับว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกวัน หากว่าจะเนรเทศไปเสียทุกคน คาดว่าผู้คุ้มกันนักโทษก็ยังไม่พอ
ท่ามกลางฝูงชน ไม่รู้ว่าใครตะโกนออกมาว่า “พวกเจ้ากล่าวว่าเนรเทศก็เนรเทศจริงงั้นหรือ หากว่าลับหลังพวกเราแล้วปล่อยเขาไปเล่า!”
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เสียงผู้คนมากมายก้องกังวานดังขึ้นว่า “นั่นสิ เพียงแค่หลอกลวงพวกเราใช่หรือไม่”
จู่ๆ ก็มีชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามา ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิง ใบหน้าเคร่งขรึมดุดัน “ไอ้สัตว์ร้าย ไอ้สารเลว เอาเมียข้าคืนมา!”
หลี่ต้าหลัง!
คนสองคนเข้าไปกุมตัวหลี่ต้าหลังเอาไว้ “ต้าหลัง เจ้าอย่าได้หุนหันพลันแล่นไป ไม่คุ้มเลยที่จะเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องเพราะคนเช่นนี้ เจ้าไม่ได้ยินหรือ เจ้าหน้าที่กล่าวแล้วว่าจะเนรเทศนักโทษผู้นี้”
หลี่ต้าหลังถุยน้ำลายออกมา “ถุย! พวกเจ้าหน้าที่ล้วนปกป้องกันเอง สิ่งที่พวกเขากล่าวเชื่อถือได้หรือ แท้จริงแล้วพวกเจ้าก็รู้ดี บัดนี้จวนเยี่ยนอ๋องทำท่าทางดูดี แต่เมื่อลับหลังพวกเราก็คงจะปล่อยเจ้าหมอนั่นไป เมื่อถึงเวลานั้นเมียข้าก็ตายเปล่า”
เขากล่าวจบก็ร้องไห้ออกมา
น้ำเสียงร้องไห้ที่เจ็บปวดหัวใจอันน่าโศกเศร้าเช่นนี้ ทำให้ผู้คนเมื่อครู่ที่เข้ามามุงดูอย่างกระตือรือร้นพากันเงียบเสียงลงแล้วมองไปทางหลี่ต้าหลังและอาชายโต้ซึ่งอยู่ออกไปไม่ไกลนัก
ชายหนุ่มร่างกายสูงใหญ่เดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าหลี่ต้าหลัง
รูปร่างหน้าตางดงามดุจดั่งหยกแกะสลักออกมา ทันทีที่เขาปรากฏกายขึ้นก็ได้รับความสนใจจากผู้อื่นไม่น้อย
เสียงสะอื้นของหลี่ต้าหลังหยุดลงชั่วขณะ เขาได้ยินชายหนุ่มรูปงามผู้ดูสูงส่งกล่าวว่า “ข้าคือเยี่ยนอ๋อง”
บรรยากาศ ณ ที่นั้นเงียบลงทันใด
“ท่านไม่เชื่อหรือว่าผู้ร้ายคนนี้จะถูกเนรเทศจริงๆ”
หลี่ต้าหลังจ้องไปที่อวี้จิ่นอย่างระมัดระวังและไม่กล่าวสิ่งใดออกมา
สำหรับชาวบ้านธรรมดาแล้วนั้น คนเช่นท่านอ๋องอยู่สูงส่งดุจท้องฟ้าที่เอื้อมไม่ถึง
อวี้จิ่น ยกมือขึ้นคำนับหลี่ต้าหลัง “ข้าขอเชิญเจ้าเดินทางไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่เพื่อคุมตัวเขาไปด้วยเป็นเช่นไร เจ้าก็จะได้เห็นกับตาว่าเขาถูกเนรเทศไปยังหลิ่งหนานจริงหรือไม่”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้เขาก็หยุดลงชั่วขณะแล้วกล่าวต่อไปว่า “ข้าจะให้เงินอีกหนึ่งพันตำลึงแก่เจ้า ถือว่าเป็นค่าเสียแรงเสียเวลา”