ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 538 แผ่นดินไหว
ตลอดทั้งเดือนสี่มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย และจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ยังสาละวนอยู่กับเรื่องแต่งตั้งไท่จื่อ และนอกจากนี้ยังมีข่าวแผ่นดินไหวที่อำเภอเฉียนเหอ
อำเภอเฉียนเหออยู่ในมณฑลหลิน ห่างจากเมืองหลวงออกไปไม่ไกล ในวันที่เกิดเหตุแผ่นดินไหว พื้นที่ในเมืองหลวงก็รับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนนั้น หมูหมากาไก่ตามบ้านเรือนส่งเสียงเซ็งแซ่
ทันทีที่ได้รับแจ้งเหตุด่วน จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เรียกเหล่าเสนาบดีและขุนนางทั้งหกกระทรวงเข้ามาหารือ
กองขบวนเคลื่อนจากเมืองหลวง มุ่งหน้าสู่อำเภอเฉียนเหอ
“ที่อำเภอเฉียนเหอมีเหตุแผ่นดินไหว บ้านเมืองพังเสียหายนับไม่ถ้วน ราษฎรบาดเจ็บล้มตายกว่าหลายหมื่นชีวิต…”
จำนวนตัวเลขที่น่าตกตะลึงทำให้พระพักตร์ของจิ่งหมิงฮ่องเต้คล้ำหม่นขึ้นทุกวัน
ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึมเศร้าหมอง วันเวลากำลังเคลื่อนผ่านเข้าสู่เดือนห้า มิหนำซ้ำร้ายยังมีข่าวร้ายกว่านั้นคือ เกิดโรคระบาดที่อำเภอเฉียนเหอ!
ภายหลังเหตุภัยพิบัติมักมีโรคระบาดเกิดขึ้นตามมา ด้วยเหตุผลที่ว่า ช่วงที่เกิดภัยพิบัติมีผู้คนล้มตายจำนวนมาก จึงไม่สามารถกำจัดซากศพเน่าเปื่อยได้ทันท่วงที จำนวนยุงและแมลงวันพุ่งสูงขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็ว เป็นเหตุให้แหล่งน้ำของชาวบ้านมีการปนเปื้อน
ในสภาวะการเลวร้ายเช่นนี้ จึงมีโรคระบาดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
แม้ว่าทุกสิ่งจะเป็นไปตามคาด แต่ถึงกระนั้น อารมณ์ของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็มิได้ดีขึ้นเข้าที่ควร คณะแพทย์พร้อมทั้งหยูกยาจำนวนมากถูกส่งไปยังอำเภอเฉียนเหอ
ช่างโชคร้ายจริงๆ!
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยายามอดทนอย่างถึงที่สุด คำแนะนำของท่านราชครูคือ ให้ทางสำนักหอดูดาวหลวงหาฤกษ์มงคล เพื่อให้ฮ่องเต้นำเหล่าราชวงศ์และขุนนางเดินทางไปสักการะขอพรที่วัดไท่
วัดไท่คืออารามหลวงของราชสำนัก นอกจากพิธีกรรมที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีแล้ว หากมีเหตุการณ์สำคัญ ราชสำนักจะใช้วัดนี้ทำพิธีเซ่นไหว้ขอพรจากเหล่าบรรพชน เพื่อให้ช่วยปกป้องคุ้มครองให้แคล้วคลาด
ภายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีเหตุภัยพิบัติมาเยี่ยมเยือนแผ่นดินต้าโจวนับครั้งไม่ถ้วน เดิมทีจิ่งหมิงฮ่องเต้คิดว่าสามารถรับมือได้ แต่เมื่อมีหลายเรื่องประดังประเดเข้ามาพร้อมกันเช่นนี้ เขาแทบจะไปคุกเข่าฟูมฟายปลดทุกข์กับเหล่าบรรพชนผู้ล่วงลับ เพื่อหวังจะได้ความสบายใจกลับคืนมา
ในวันงานพิธีสักการะเซ่นไหว้ สภาพอากาศดีเป็นพิเศษ ท้องฟ้าสีครามปลอดโปร่ง แสงแดดจ้าส่องสะท้อนบันไดหินหยกสีขาวที่หน้าวัดไท่ ระยิบระยับจับตา
จิ่งหมิงฮ่องเต้และเหล่าขุนนางจะต้องสวมชุดพิธีการโอ่อ่า องค์จักรพรรดิเป็นผู้นำคำนับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
แม้ปากของจิ่งหมิงฮ่องเต้จะเอ่ยถ้อยคำที่ท่องจำมาอย่างขึ้นใจ ทว่าในใจกลับคิด เหล่าบรรพชนผู้ยิ่งใหญ่ ข้าผู้มิได้ควรคู่แก่ตำแหน่ง บัดนี้บ้านเมืองกำลังประสบความทุกข์ยาก หากพวกท่านไม่ช่วยกันดูแลแล้ว ข้าเองคงไม่อาจรับมือเพียงลำพัง…
ในระหว่างที่เขากำลังบ่นในใจและบทสวดยังไม่ทันจบดี จู่ๆ พื้นดินก็สั่นสะเทือนเลือนลั่น
เกิดแผ่นดินไหวขึ้นในเมืองหลวง!
แผ่นดินไหวเกิดขึ้นฉับพลัน บรรดาเชื้อพระวงศ์และเหล่าขุนนางต่างหวาดผวาทำอะไรไม่ถูก เสียงหวีดร้องระงมทั่วทั้งพื้นที่ สรรพสิ่งตกอยู่ในความโกลาหล
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่อาจคุมร่างกายให้ยืนตรงมั่นคงได้ ผู้คนค่อยๆ โซเซล้มลงกับพื้น เสาธงหักล้มระเนระนาดเรียงราย คนที่เห็นต่างก็ร้องตะโกนออกมาอย่างเสียศูนย์ “คุ้มกัน คุ้มกันฝ่าบาท…”
คนที่ประจำการอยู่ไกลออกไปนิ่งอึ้งชะงักค้าง ส่วนคนที่อยู่ใกล้…มีร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาผลักจิ่งหมิงฮ่องเต้จนล้มลงกับพื้น ก่อนจะตามด้วยเสียงกรีดร้องดังสนั่น
โชคดีที่บริเวณนั้นมิใช่จุดศูนย์กลางที่เกิดแผ่นดินไหว แต่ถึงกระนั้นเวลาเพียงชั่วอึดใจกลับยาวนานตราบชั่วนิรันดร์ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว การสั่นสะเทือนนั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วเวลาจิบชาหนึ่งถ้วยเท่านั้น
พื้นดินสงบนิ่ง ฝูงชนตะเกียกตะกายขึ้นมาอีกครั้ง
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ” คนมากมายกรูเข้าไปหาจิ่งหมิงฮ่องเต้
สติของจิ่งหมิงฮ่องเต้กลับสู่สภาพเดิม มีคนพยุงจิ่งหมิงฮ่องเต้ให้ลุกขึ้น สายตาของเขาหันไปเห็นร่างหนึ่งที่จมอยู่ใต้เสาธงที่หักล้ม ฮ่องเต้ร้องเสียงหลง “หลางเอ๋อร์”
อดีตไท่จื่อมีพระนามว่า ‘หลาง’
ในขณะนั้น คนทั้งหมดถึงได้รู้ว่าคนที่ช่วยจิ่งหมิงฮ่องเต้คือจิ้งอ๋อง
“ท่านอ๋อง ทรงเป็นอะไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” หลายคนเอ่ยถามขึ้น
อดีตไท่จื่อที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน โลหิตสีแดงสดไหลซึมออกมาจากแผ่นหลัง
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถลาตัวเข้าไปหาโดยลืมเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อครู่ไปเสียสนิท “หลางเอ๋อร์ หลางเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ในวินาทีนั้นหัวใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้แตกสลาย รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดสาหัสสากรรจ์ที่เข้าคุกคาม
เขาต้องยอมรับความจริงที่ว่า ต่อให้เขาโกรธเกลียดบุตรชายคนนี้เพียงใด ก็ไม่อาจลบความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกไปได้
“หลางเอ๋อร์…”
แค่กๆๆ… เสียงไอแผ่วเบาดังขึ้น อดีตไท่จื่อกล่าวด้วยความยากลำบาก “ช่วย…เอาธงนี่ออกจากหลังก่อนได้หรือไม่…”
ครั้นได้ยินเสียงของอดีตไท่จื่อแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ปีติยินดียิ่งนัก เขาแผดเสียงคำราม “นี่พวกเจ้าตายกันหมดแล้วหรือ ยังไม่รีบเข้ามายกธงออกไปอีก เข้าไปช่วยไท่จื่อเดี๋ยวนี้!”
เพราะเรียกไท่จื่อจนชินปากมานานกว่ายี่สิบปี ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้จึงพลั้งปากออกมา โดยลืมชื่อเรียก “จิ้งอ๋อง” ไปเสียสนิท
ทันทีที่คำว่า ‘ไท่จื่อ’ หลุดออกจากปากจิ่งหมิงฮ่องเต้ หยางเต๋อกวง เสนาบดีกรมพิธีการก็ดีใจจนน้ำตาแทบไหล
ดีจริงๆ ฝ่าบาทตรัสเรียกไท่จื่อในสถานการณ์เช่นนี้ ก็ไม่ต้องกังวลอีกแล้วว่าไท่จื่อจะไม่ได้กลับมาดำรงตำแหน่ง
ฉีอ๋องที่ล้มลง เนื้อตัวถลอกปอกเปิกเพราะเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อครู่ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นยืน และเมื่อได้ยินฮ่องเต้ตรัสเรียกเช่นนั้น เขาก็นิ่งไปชั่วขณะ
ให้เข้าไปช่วย ‘ไท่จื่อ’ อย่างนั้นหรือ
เสด็จพ่อจะทรงทราบหรือไม่ว่าการตรัสออกมาเช่นนั้นจะส่งผลกระทบตามมา
ใบหน้าของเขาขาวซีดโดยพลัน ภายในใจสั่นไหวเสียยิ่งกว่าการสั่นสะเทือนเมื่อครู่ ไม่นานความรู้สึกนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความสิ้นหวังเหนือคณา
แผ่นดินไหวยิ่งใหญ่ตรงไหนหรือ ในเมื่ออย่างไรมังกรก็มิได้มาสำแดงแสนยานุภาพที่นี่ พื้นดินสั่นสะเทือนจริง แต่เพียงครู่เดียวก็ผ่านไป อย่างมากผู้คนก็แค่เหยียบกันตายเท่านั้น
แต่การที่เสด็จพ่อตรัสออกมาเช่นนั้นเป็นการยืนยันว่า แผนการทั้งหมดที่เขาเพียรทุ่มเทแรงกายแรงใจกลับกลายเป็นเพียงดอกไม้ในกระจก และเป็นน้ำบนดวงจันทร์ ไร้ค่าเปลืองเปล่า…
สีหน้าย่ำแย่ของฉีอ๋องมิได้ส่อพิรุธเพราะอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์ตื่นตระหนกมา เขาพยายามเก็บซ่อนความสั่นสะท้านในใจเอาไว้ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยถามไถ่อดีตไท่จื่อเหมือนคนอื่นๆ
อดีตไท่จื่อถูกหามเข้าไปรักษาตัวในวังหลวง
“จิ้งอ๋องอาการเป็นอย่างไร” รอจนกระทั่งหมอหลวงกลับเข้ามารายงาน จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็รีบเปิดประเด็นทันที
หมอหลวงโค้งตัวพลางตอบ “ฝ่าบาท โชคดีที่บาดแผลที่หลังของท่านอ๋องมิได้ร้ายแรง เพียงแต่อวัยวะภายในได้รับการกระทบกระเทือนเล็กน้อย ฉะนั้นอาจต้องใช้เวลาพักรักษาสักระยะพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ก็ดี พวกเจ้าดูแลร่างกายของจิ้งอ๋องให้ดี อย่าได้ปล่อยให้เกิดโรคเรื้อนรังตามมาในภายหลังเป็นอันขาด”
หมอหลวงรีบตอบรับ
ช่างน่าขันสิ้นดี ที่ฮ่องเต้ตรัสว่า “ไท่จื่อ” ที่วัดไท่ เขาได้ยินเต็มสองหู จากรูปการณ์แล้ว คราวนี้จิ้งอ๋องคงได้พลิกชะตากลับมาจริงๆ ฉะนั้นเขาจะถวายการรักษาแบบขอไปทีไม่ได้
จิ่งหมิงฮ่องเต้เดินเข้าไปด้านใน เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของอดีตไท่จื่อจึงถามขึ้นว่า “เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง”
อดีตไท่จื่อพยายามจะยันตัวขึ้น ทว่าถูกฮ่องเต้ห้ามไว้เสียก่อน “อย่าเพิ่งขยับตัว เอนหลังลงไปน่ะดีแล้ว”
อดีตไท่จื่อหันหน้าไปหาจิ่งหมิงฮ่องเต้ เขาเปล่งเสียงแม้จะรู้สึกเจ็บปวดก็ตามที “ลูกไม่เป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ แค่เสด็จพ่อไม่เป็นอะไร ลูกก็ดีใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้า…” ใจจริงฮ่องเต้อยากจะถามว่าเหตุใดเขาถึงพุ่งตัวเข้ามาโดยไม่ห่วงความปลอดภัยของตัวเอง แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงกลืนถ้อยคำนั้นลงคอไป
พวกเขาเป็นพ่อลูกกัน เขามีความรู้สึกต่อเจ้ารอง แล้วเจ้ารองจะไม่รู้สึกอะไรกับเขาเลยหรือ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตบบ่าอดีตไท่จื่อแผ่วเบา พลางกล่าวด้วยน้ำเสียอ่อนโยน “กลับไปที่จิ้งหยวนแล้วก็รักษาเนื้อรักษาตัวให้แข็งแรง”
อดีตไท่จื่อในสถานะของจิ้งอ๋องถูกหามออกจากวังหลวง และกลับไปพักที่จิ้งหยวน แต่ใครต่างก็รู้ดีว่า จิ้งอ๋องคงอาศัยอยู่ที่จิ้งหยวนอีกไม่นาน
หยางฟู่ที่มีศักดิ์เป็นพ่อตาของจิ้งอ๋อง มักไปเยี่ยมเยียนที่จิ้งหยวนอยู่เป็นประจำ
เมื่อสั่งให้บ่าวรับใช้ออกไปหมดแล้ว จิ้งอ๋องก็เอ่ยถามด้วยความกระตือรือร้น “ท่านพ่อตา ท่านว่าเสด็จพ่อเปลี่ยนพระทัยแล้วหรือยัง”
หยางฟู่ซ่อนความยินดีไว้ไม่อยู่ “ท่านอ๋องทรงช่วยชีวิตฝ่าบาทโดยมิได้คำนึงถึงองค์เองเช่นนี้ ฝ่าบาทต้องเปลี่ยนพระทัยแล้วอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมแสดงความยินดีกับท่านอ๋องด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ไท่จื่อยิ้มแหยพลางถาม “ท่านพ่อตา เสาธงที่ล้มนั่นท่านเป็นคนสั่งการซีนะ”
หยางฟู่ผงะไปชั่วขณะ หน้าตาบอกบุญไม่รับ “ท่านอ๋องคิดมากไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ในเหตุการณ์คับขันเช่นนั้น จะสั่งการคนอย่างไรได้…”
อดีตไท่จื่อร้องไห้แผ่วเบาขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ