ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 540 ภารกิจ
เนื่องจากมีภัยพิบัติใหญ่ที่อำเภอเฉียนเหอ พิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาทถึงถูกลดทอนความยุ่งยากออกไป
ไท่จื่อเองก็มิได้ใส่ใจเรื่องนี้ เพียงแค่ได้ย้ายกลับเข้าไปในตำหนักบูรพาก็ดีใจจนแทบกู่ร้องสุดเสียง
ทว่าบนพระพักตร์ของพระชายาไท่จื่อกลับมิได้มีวี่แววของความตื่นเต้นดีใจสักเท่าใด ลึกเข้าไปในตามีประกายของความกังวลที่ยังค้างเติ่ง
ไท่จื่อที่เห็นหน้าพระชายาเป็นเช่นนั้นรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งยวด นึกอยากจะออกปากตำหนิ แต่ครั้นคิดแล้วว่าการได้ตำแหน่งคืนมามิใช่เรื่องง่าย ตอนนี้ถึงได้อดทนไว้
ตำหนักบูรพาในขณะนี้แลดูสงบสุข
เหตุภัยพิบัติที่อำเภอเฉียนเหอทวีความรุนแรงมากขึ้น มีกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากการกักบริเวณเนื่องจากอยู่ในพื้นที่ที่มีโรคระบาดรวมตัวกันประท้วง
ข้าราชการที่ถูกส่งไปบรรเทาสาธารณภัยของชาวบ้านกลับมาขอกำลังเสริมอย่างเร่งด่วน จิ่งหมิงฮ่องเต้จดจ้องไปที่กองฎีกาบนชั้นพลางครุ่นคิดว่าควรส่งผู้ใดไป
ผู้ประสบภัยก่อเหตุจลาจล หากมีตัวแทนจากราชสำนักเดินทางไปเยือน คงจะสามารถสร้างขวัญกำลังใจให้ราษฎรได้ไม่น้อย
จิ่งหมิงฮ่องเต้เพียรคิด ก่อนจะตัดสินใจส่งไท่จื่อไปทำภารกิจนี้
แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีเหล่าขุนนางไม่น้อยสนับสนุนให้แต่งตั้งองค์รัชทายาท แต่นั่นเป็นเพราะกังวลว่าหากปล่อยให้ตำแหน่งว่างเป็นเวลานาน อาจทำให้บ้านเมืองระส่ำระสาย มิใช่ว่าพวกเขายอมรับในตัวไท่จื่อ
จิ่งหมิงฮ่องเต้คิดในใจ ไท่จื่อมิได้ความสามารถเป็นเลิศ หรือมีคุณธรรมเต็มเปี่ยม หนำซ้ำยังไม่เคยทำคุณความดีให้เป็นที่ประจักษ์แก่เหล่าขุนนาง และนี่ยังไม่นับรวมเรื่องชื่อเสียตอนที่ไท่จื่อยุยงให้คนสังหารอันจวิ้นอ๋อง
ชื่อเสียที่ได้มาก็เพื่อปิดบังชื่อเสียที่เน่าเฟะยิ่งกว่า ชื่อเสียงที่มีรอยด่างพร้อย วันใดวันหนึ่งก็ต้องถูกเหล่าขุนนางใช้เรื่องนี้มากดดัน
จิ่งหมิงฮ่องเต้คาดหวังว่าไท่จื่อจะบริหารบ้านเมืองได้ดี เพื่อที่ว่าจะดำรงอยู่ในตำแหน่งได้อย่างมั่นคง
“พานไห่ ไปตามไท่จื่อมาเข้าเฝ้าข้าเดี๋ยวนี้”
ไท่จื่อกำลังกะหนุงกะหนิงอยู่กับนางในภายในสวนดอกไม้ที่แสนคุ้นเคย ที่ตรงนั้นเรียกว่า อุทยานดอกไม้
ก่อนที่ไท่จื่อจะถูกปลด เขาเชื่อฟังตามคำแนะนำของหยางฟู่เพื่อจะเอาชนะใจฮ่องเต้ เมื่อได้กลับมาเป็นไท่จื่ออีกครั้ง ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป ความครั่นคร้ามที่มีต่อองค์จักรพรรดิกลับมาโดยธรรมชาติ
“เสด็จพ่อ เรียกหาลูกมีธุระอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” ไท่จื่อเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
จิ่งหมิงฮ่องเต้พิศมองไปที่ไท่จื่อก่อนจะขมวดพระขนง “เจ้าไปทำอะไรมา”
ไท่จื่อประหม่าขึ้นทันใด
เขาเพียงแค่แอบจับมือนางในในสวน เสด็จพ่อก็ทรงทราบด้วยหรือ
ไท่จื่อหัวเราะแห้ง “ลูกเดินเล่นอยู่ในสวนพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ได้สนใจว่าไท่จื่อจะเดินเล่นอยู่ในสวน หรือแอบจับมือนางใน เขาเพียงแต่ถามขึ้นว่า “กลับมาอยู่ที่ตงกง คุ้นชินแล้วรึ”
ไท่จื่อรีบตอบ “คุ้นชินอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ!”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ดึงมุมปากพลางเอ่ย “เจ้าต้องตระหนักในหน้าที่ของตัวเองไว้เสมอ อย่าได้พลาดอีกเป็นอันขาด”
“ลูกทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ไท่จื่อก้มศีรษะตอบรับหนักแน่น
ตอนนี้เขารู้ซึ้งแล้วว่า ต่อให้หญิงจะงามเพียงใด ก็ไม่ควรแตะต้องหญิงของเสด็จพ่อ
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่ไท่จื่อแล้วรู้สึกปวดหนึบในสมอง คนเดียวที่คู่ควรกับการปลอบประโลมคือไท่ซุน หากเขามีชีวิตอยู่นานพอที่จะเห็นฉุนเกอเอ๋อร์โตเป็นผู้ใหญ่ เขาคงยกตำแหน่งองค์จักรพรรดิให้ฉุนเกอเอ๋อร์
ครั้นคิดตกเช่นนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ไม่อยากจ้ำจี้จ้ำไชไท่จื่ออีกแล้ว เขาเพียงแต่เอ่ยราบเรียบ “ข้ามีภารกิจให้เจ้าไปทำ”
ไท่จื่อชะงักไปครู่หนึ่ง
ภารกิจอะไรกัน
โตมาจนป่านนี้ เสด็จพ่อเคยมอบหมายภารกิจให้เขาที่ไหนกัน…เอ๋ หรือว่าเสด็จพ่อจะมอบหมายงานสำคัญ
ไท่จื่อตั้งสติให้มั่น ดวงตาเป็นประกายจ้องมองไปที่จิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้เชิดคางขึ้นก่อนจะกล่าวราบเรียบ “เจ้าทราบเรื่องที่อำเภอเฉียนเหอหรือไม่”
“อำเภอเฉียนเหอ? เสด็จพ่อหมายถึงเรื่องแผ่นดินไหวที่เฉียนเหอหรือพ่ะย่ะค่ะ หากเป็นเรื่องนั้นแน่นอนว่าลูกต้องทราบพ่ะย่ะค่ะ” ไท่จื่อรีบตอบ
หากมิใช่เพราะเหตุแผ่นดินไหวที่อำเภอเฉียนเหอสั่นสะเทือนมาถึงเมืองหลวง ป่านนี้เขาคงได้อยู่เฝ้าจิ้งหยวนตลอดฤดูร้อนเป็นแน่
จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยเคร่งขรึม “มิใช่เรื่องแผ่นดินไหว ตอนนี้ที่อำเภอเฉียนเหอเกิดโรคระบาด อีกทั้งยังมีราษฎรที่ได้รับผลกระทบออกมาประท้วง…”
ไท่จื่อไม่สามารถคาดเดาสิ่งที่จิ่งหมิงฮ่องเต้กำลังจะสื่อ จึงได้แต่ตอบรับไปตามเรื่อง “ราษฎรที่อำเภอเฉียนเหอน่าสงสารยิ่งนัก ลูกได้ฟังเช่นนี้แล้วก็อดสงสารมิได้ คืนนี้คงไม่อาจข่มตาหลับได้ลงพ่ะย่ะค่ะ”
แววตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้แปรเปลี่ยนเป็นความโล่งใจ “เจ้ามีใจเช่นนี้นับเป็นเรื่องดียิ่งนัก ที่ข้าเรียกเจ้ามา ข้าอยากให้เจ้าเป็นตัวแทนข้าไปที่อำเภอเฉียนเหอ เพื่อไปสร้างขวัญกำลังใจให้เหล่าราษฎร…”
ไท่จื่อได้แต่ชะงักงันนิ่งอึ้ง
นี่เขาได้ยินผิดไปหรือนี่ เสด็จพ่อจะให้เขาไปที่อำเภอเฉียนเหอ!
หมายถึงอำเภอเฉียนเหอที่มีโรคระบาดและคนประท้วง!
ไท่จื่อจ้องตรงไปที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ ตอนนี้ในสมองมีเพียงความคิดเดียว เสด็จพ่อคงยังแค้นเรื่องหยางเฟยไม่หาย ไม่งั้นคงไม่ส่งบุตรของตัวเองไปตายเช่นนี้
“ว่าอย่างไร ไม่อยากไปงั้นหรือ” เมื่อเห็นอาการทึ่มทื่อของไท่จื่อ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เร้าโทสะขึ้นมาทันใด
ไอ้ลูกคนนี้รู้แต่กินอิ่มนอนหลับ สำเริงสำราญอยู่กับนางในไปวันๆ พอเป็นภารกิจจริงจัง กลับทำท่าไหล่ห่อคอตก!
ครั้นสบเข้ากับแววตาล้ำลึกของฮ่องเต้ ไท่จื่อก็คล้ายกับได้สติ แก้มแข็งเกร็งตึงยิ้มเจื่อนพลางตอบ “ลูกยินดีไปพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้ารับ “ยินดีไปก็ดีแล้ว เช่นนั้นเจ้าเอาเรื่องนี้ไปบอกชายาของเจ้าด้วย เตรียมตัวให้พร้อม และวันพรุ่งนี้ให้ออกเดินทางทันที”
ไท่จื่อตัวเซจนแทบยืนไม่อยู่ แต่เมื่อเห็นพระพักตร์จริงจังของฮ่องเต้ ที่มิได้มีแววของการล้อเล่น ท้ายที่สุดจึงได้แต่ทำใจดีสู้เสือ น้ำตาคลอเบ้าพลางบอก “เสด็จพ่อ ลูกยินดีไป เพียงแต่ในใจยังหวาดหวั่น… ลูกมิรู้ว่าสถานการณ์โรคระบาดที่อำเภอเฉียนเหอเป็นเช่นไร…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชำเหลืองมองบุตรชายที่แสนจะไร้อนาคต
ต่อให้สถานการณ์โรคระบาดร้ายแรงเพียงใด สุดท้ายก็ต้องมีคนควบคุม เมื่อไปถึงที่เฉียนเหอแล้วจะเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ได้หรือไม่ บุตรชายของเขาคนนี้กลับไม่เคยเผชิญความลำบากเลยสักครั้ง ขนาดที่ตัวยังไม่ไปก็กลัวหัวหดเสียแล้ว
“สถานการณ์เป็นเช่นไร เจ้าไปแล้วถึงจะรู้” จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวเสียงเรียบ เฝ้ารอปฏิกิริยาของไท่จื่ออย่างใจจดใจจ่อ
ไท่จื่อใบหน้าขาดสี
จิ่งหมิงฮ่องเต้ดึงหน้าขมึงทึง “หากเจ้าไม่อยากไป…”
“ลูกอยากไปพ่ะย่ะค่ะ!” ไท่จื่อเอ่ยแทรกทันควัน
ระยะเวลาที่กลับมาเป็นไท่จื่อยังสั้นนัก ที่ประทับของไท่จื่อยังไม่ทันอุ่นดี ไม่ควรทำให้เสด็จพ่อผิดหวัง
จิ่งหมิงฮ่องเจ้มองไท่จื่อเงียบๆ
ไท่จื่อกลั้นใจตอบ “เสด็จพ่อ ลูกโตมาจนป่านนี้ยังไม่เคยออกจากเมืองหลวงสักครั้ง นี่เป็นการออกไปทำภารกิจยิ่งใหญ่ครั้งแรก ลูกถึงได้รู้สึกหวั่นใจ ไม่ทราบว่าเสด็จพ่อจะทรงอนุญาต…”
“มีอะไรก็ว่ามา” จิ่งหมิงฮ่องเต้ปรับน้ำเสียง
แม้ไท่จื่อจะแลดูหยิบหย่งไม่สู้งาน แต่การรู้ขีดความสามารถของตนเองก็นับว่าไม่เลวทีเดียว
“จะทรงอนุญาตให้มีคนร่วมเดินทางไปด้วยจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ…” ไท่จื่อบอกคำขอของตัวเองพร้อมส่งสายตารอคอยคำตอบจากจิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ได้แสดงความรู้สึกให้ไท่จื่อเห็น เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถาม “แล้วเจ้าอยากให้ใครเดินทางไปกับเจ้า”
ไท่จื่อลอบถอนหายใจ คลี่ยิ้มพลางตอบ “เสด็จพ่อเห็นว่าผู้ใดเหมาะสมก็ผู้นั้น เรื่องนี้ลูกไม่ติดเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเข้าใจความหมายของประโยคที่บอกว่า หากพบสิ่งดี ก็ให้เก็บไว้ เพราะอย่างน้อยๆ ขอแค่มีคนไปร่วมผ่านด่านเคราะห์ครั้งนี้กับเขา เขาก็สบายใจแล้ว
“เช่นนั้น…” จิ่งหมิงฮ่องเต้เว้นห้วงก่อนจะหันไปสั่งพานไห่ “ไปเรียกท่านอ๋องทั้งหลายมาเข้าเฝ้าข้า”
ไม่นานเกินรอ ในห้องทรงพระอักษรก็มีเหล่าองค์ชายยืนออกันครบหน้า เว้นก็แต่จิ้นอ๋องที่ถูกสั่งให้ไปเฝ้าอยู่ที่สุสานหลวง
จิ่งหมิงฮ่องเต้แอบนับจำนวนโอรสในใจ เมื่อเห็นว่ามากันครบแล้วก็เอ่ยเสียงเข้ม “ที่ข้าเรียกพวกเจ้าเข้ามาเพราะอยากถามว่า ในพวกเจ้ามีใครอยากอาสาร่วมเดินทางไปที่อำเภอเฉียนเหอพร้อมไท่จื่อ เพื่อไปปลอบขวัญราษฎรหรือไม่”
ทั้งหมดหันมองหน้ากันและกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ไปอำเภอเฉียนเหอกับไท่จื่องั้นหรือ
ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาคือ นี่เท่ากับการไปเรียนหนังสือกับไท่จื่อ!
ส่วนความคิดที่ผุดตามมาคือ อำเภอเฉียนเหอที่มีเหตุการณ์โรคระบาดร้ายแรงและมีคนประท้วงนั่นหรือ ช่างเป็นภารกิจที่ท้าทายเอาเรื่อง