ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 559 ผู้รอดชีวิต
เมื่อเทียบกับผู้คนที่ต้องเดินอย่างระมัดระวังท่ามกลางซากปรักหักพัง เอ้อร์หนิวเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วกว่าเยอะ หลังจากขึ้นๆ ลงๆ ก็วิ่งมาจนถึงบริเวณหลังคาบ้านที่พังทะลายลงมา เห่าออกมาเสียงดัง
ใต้แสงอรุณ สุนัขตัวใหญ่สง่างามน่าเกรงขาม ทำให้ไท่จื่อตื่นตาตื่นใจ
เมื่อเห็นท่าทางอันงดงามของเอ้อร์หนิว การเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วว่องไว ขนที่นุ่มลื่น ช่างน่าดูกว่าหมาตัวอื่นเยอะเลย
เสียงเห่าของเอ้อร์หนิวเรียกความสนใจจากผู้คนได้ไม่น้อย
อวี้จิ่นเดินเข้ามา เอ่ยถามเอ้อร์หนิวออกไป “ด้านในมีสิ่งมีชีวิตอยู่หรือ”
เอ้อร์หนิวใช้อุ้งเท้ากระทืบลงบนแผ่นหินที่กระจัดกระจายพลางเห่าตะโกนติดต่อกัน
อวี้จิ่นตะเบ็งเสียงเรียกผู้คนในหน่วยอย่างรวดเร็ว “ที่นี่ยังมีผู้รอดชีวิตอยู่!”
สีฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งกรูกันเข้ามา
อวี้จิ่นขมวดคิ้ว “ให้คนพวกนี้ไปทำอย่างอื่นที่ควรทำเถอะ มารวมกันเป็นกลุ่มอยู่ตรงนี้อาจจะกระทบกับการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตได้”
หลี่เจิ้งหน้าแดงระเรื่อ แล้วไล่คนพวกนั้นออกไปอีก ส่วนตัวเองยังคงอยู่ เขาเอ่ยพึมพำออกไป “นี่คือบ้านของโก่วเซิ่งสินะ”
อวี้จิ่นเหลือบมองหลี่เจิ้ง
หลี่เจิ้งพูดอธิบาย “โก่วเซิ่งก็คือชายร่างใหญ่คนนั้น ที่ลูกสาวของเขาตัวร้อนเลยดื้อด้านจะพากลับบ้านให้ได้…”
พอพูดถึงตรงนี้ หลี่เจิ้งก็ขยี้ตา มองซากปรักหักพังพลางตะโกนออกไป “โก่วเซิ่ง เจ้ามันรั้น จะกลับบ้านให้ได้ แถมยังพาภรรยา และลูกไปด้วยอีก ลูกสาวที่น่าสงสารเพิ่งจะอายุสามขวบเอง…”
พอชาวบ้านที่อยู่ไม่ไกลนักได้ยินที่หลี่เจิ้งพูดต่างก็ตาแดงก่ำ
ในบรรดาคนหนุ่มสาวทั่วทั้งเมือง โก่วเซิ่งถือเป็นคนที่เก่งที่สุด ถึงแม้จะไม่มีพ่อแม่คอยช่วยเหลือ ทว่ากลับใช้ชีวิตในแต่ละวันได้อย่างมั่งคั่ง แถมยังได้ภรรยาเป็นหญิงที่งามที่สุดในเมืองใหญ่แห่งนี้ ลูกสาวก็ทั้งน่ารักน่าเอ็นดู ทว่าสุดท้ายกลับ…
“ด้านล่างยังมีคนรอดอยู่ ไม่แน่ครอบครัวของโก่วเซิ่งอาจจะไม่เป็นไร…” ทุกคนเฝ้ารอด้วยความหวังสุดท้าย
เมื่อไท่จื่อเห็นปฏิกิริยาตอบโต้ของเอ้อร์หนิว จึงไม่ล้มเลิกความคิดที่จะแยกออกไป
เขาจะอยู่รอดูความสามารถของเอ้อร์หนิว
อวี้จิ่นยืนอยู่ไม่ไกลจากเอ้อร์หนิว เอ่ยเตือนพลทหารที่มาช่วยเหลือ “ระวังหน่อย ระวังอย่าให้มันพังทลายลงอีกรอบและอย่าให้เศษซากหล่นลงไปทับคนที่อยู่ด้านล่างได้”
การช่วยเหลือนั้นเป็นไปอย่างราบลื่น เพียงแต่เมื่อมองไปยังสิ่งมีชีวิตที่ช่วยขึ้นมา บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความเงียบแปลกๆ
หมูตัวอ้วนขาหักร้องฟึดฟัด กลอกตามองรอบๆ ไปมาด้วยความระมัดระวัง
ทุกคนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
พอหมูตัวอ้วนเห็นสีหน้าอันดุร้ายของเอ้อร์หนิว หลังจากที่เอาแต่นิ่งตะลึง ก็วิ่งขาเป๋ออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นหมูตัวอ้วนวิ่งเต้นออกไปจากซากปรักหักพัง ทุกคนก็ชำเลืองมองไปที่เอ้อร์หนิวเงียบๆ
เสียแรงไปครึ่งค่อนวัน ช่วยหมูขาเป๋ตัวหนึ่งออกมาได้แค่นี้เองหรือ
ทว่าเอ้อร์หนิวกลับไม่รู้สึกอับอายขายหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว
หรือว่าหมูไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเล่า!
หากมันถูกทับอยู่ด้านล่าง เจ้านายก็ต้องช่วยมันแน่นอน
อวี้จิ่นพยักหน้าและเอ่ยชมเอ้อร์หนิว “ทำได้ดีมากเอ้อร์หนิว เจ้าไปดูสิว่าตรงไหนยังมีสิ่งมีชีวิตอีก”
พอเอ้อร์หนิวได้รับคำชมจากเจ้านาย ก็ส่ายหางอย่างมีความสุข เห่าใส่อวี้จิ่น จากนั้นก็ใช้อุ้มเท้าหน้าตะกุยที่พื้น
อวี้จิ่นทำหน้าขรึม คิดพลางถามออกไป “ด้านล่างยังมีสิ่งมีชีวิตอีกหรือ”
โฮ่งโฮ่ง! เอ้อร์หนิวเห่าออกมาทันที
“อยู่บริเวณใด”
เอ้อร์หนิวเดินวนรอบกองเศษซาก ก้มหัวดม แล้วก็เห่าออกมาใส่อวี้จิ่น
อวี้จิ่นชี้ไปที่บริเวณนั้นพร้อมกับออกคำสั่งกับเหล่าทหาร “ค้นหาต่อ!”
หลี่เจิ้งเดินเข้ามาใกล้ เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ท่านอ๋อง กระหม่อมจำได้ว่าที่บ้านของโก่วเซิ่งเลี้ยงหมูตัวอ้วนสองตัว…”
เมื่อครู่เสียงแรงไปตั้งเยอะเพื่อช่วยหมูขาเป๋ตัวหนึ่งขึ้นมา อีกเดี๋ยวคงช่วยหมูขึ้นมาอีกตัว…
เมื่อนึกถึงภาพ หลี่เจิ้งก็ส่ายหัวออกมาเบาๆ
อวี้จิ่นมองหลี่เจิ้ง เอ่ยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ตราบใดที่มันยังมีชีวิตอยู่ก็ห้ามปล่อยปะเลยไป”
หลี่เจิ้งตกใจ พยักหน้ารัว “ท่านอ๋องพูดถูก กระหม่อมคิดผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง ไท่จื่อรอจนเบื่อ จึงเดินเข้าไปแล้วเอ่ยพูดขึ้น “น้องเจ็ด ให้เอ้อร์หนิวไปดูที่พักชั่วคราวของพวกเขากับข้าเถอะ”
เขาเตรียมจะไปซื้อใจคนพวกนั้นอยู่
“พี่รองไม่เห็นหรือ เอ้อร์หนิวอยู่ที่นี่สามารถทำประโยชน์ได้มาก” อวี้จิ่นจ้องเหล่าทหารที่กำลังขนย้ายเศษซากปรักหักพัง โดยไม่หันไปมองไท่จื่อเลยแม้แต่น้อย
ไท่จื่อเบะปากเอ่ยขึ้น “ก็แค่ช่วยหมูตัวหนึ่งออกมาเท่านั้นเอง…”
ทันใดนั้นจู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บที่สะโพก เมื่อก้มมองก็พบว่าสุนัขตัวใหญ่กำลังกัดที่ก้นเขา
ไท่จื่อตกใจจนร้องออกมา
ข้าหลวงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ก่นด่าออกไปทั้งที่ตัวสั่น “เจ้าหมาบ้า กล้าดียังไงถึงได้ทำร้ายองค์ชาย พวกเจ้ารีบมาเร็ว…”
“เอ้อร์หนิว ปล่อยเดี๋ยวนี้” อวี้จิ่นถลึงตาใส่เอ้อร์หนิวอย่างหมดปัญญา
เอ้อร์หนิวผละออกโดยไม่สมัครใจ พร้อมกับแลบลิ้นเลียปาก
“เอ้อร์หนิวนั้นหยิ่งในศักดิ์ศรีตนเองมาก ได้ยินพี่รองพูดเช่นนั้นจึงไม่ยอมเสียหน้าได้ พี่รองคงไม่ถือสามันหรอกใช่หรือไม่”
ไท่จื่อเอามีทาบก้นที่ร้อนฉ่าไว้ เบะปากพูดออกไป “ไม่…”
มิเช่นนั้นล่ะ จะให้เขากัดกลับหรือ
“น้องเจ็ด เอ้อร์หนิวสามารถเข้าใจที่พวกเราพูดได้ด้วยหรือ” หลังจากที่ไท่จื่อหดหู่อยู่ครู่หนึ่ง ก็เกิดอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา
“ถ้าเป็นคำสั่งง่ายๆ ก็เข้าใจได้ แต่หากซับซ้อนมันไม่อาจเข้าใจได้แน่นอน เพียงแต่ว่ามันตัดสินพิจารณาได้จากน้ำเสียงการพูดและอารมณ์ของคน” อวี้จิ่นพูดไปพร้อมกับมองเอ้อร์หนิว ในใจรู้สึกไม่แน่ใจ
เขามักจะรู้สึกว่าเอ้อร์หนิวนับวันยิ่งฉลาดมากยิ่งขึ้น ไม่เพียงแต่ฟังรู้เรื่อง แถมยังรู้จักชิงรักหักสวาทอีกต่างหาก!
“หาเจอแล้ว!” จู่ๆ ทหารนายหนึ่งก็ตะโกนออกมา หลังจากพูดเสร็จสีหน้าก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
อวีจิ่นรีบเดินเข้ามา ชะเง้อหน้าเข้าไปมองด้านใน
ชายร่างกำยำที่น้ำเสียงดังระงมราวกับเสียงระฆังเมื่อคืน ตอนนี้ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนราวกับภูเขาลูกใหญ่
เขาโค้งตัวลง มีชายกระโปรงของเด็กสาวโผล่ออกมาให้เห็น
ผู้คนที่เห็นฉากตรงหน้านิ่งเงียบ นึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เกิดแผ่นดินไหว
ชายผู้นี้จะต้องปกป้องภรรยาและลูกในขณะที่เกิดภัยพิบัติ
เสียงร้องไห้สะอื้นดังขึ้นมาเบาๆ
เอ้อร์หนิวเกาะอยู่ที่ขอบหลุม เห่าออกมาหนักกว่าเดิม
อวี้จิ่นสีหน้าเปลี่ยน ตะเบ็งเสียงลั่น “เด็กยังมีชีวิตอยู่!”
ไม่รอช้า เขากระโดดลงไปทันที
“ท่านอ๋อง…” เสียงเรียกด้วยความตกใจจากหลายคนดังขึ้น
“หลงต้าน ลงมาช่วยหน่อย”
หลงต้านกระโดดตามไปอย่างรวดเร็ว
มีอันตรายมากมายจากช่องว่างของการขนเศษซากปรักหักพังออกไป อวี้จิ่นจึงเอ่ยกำชับหลงต้าน “เจ้ามาแบกซากอิฐและกระเบื้องพวกนี้ไว้ ข้าจะนำคนออกไปก่อน”
ชายร่างกำยำราวกับภูเขาลูกเล็กลูกหนึ่ง เขาใช้ร่างกายปกป้องภรรยา และภรรยาของเขาก็ใช้ร่างโอบไว้เช่นกัน ทั้งสองโค้งตัวล้อมลูกสาวไว้เพื่อค้ำยันให้มีพื้นที่ว่างเล็กๆ
และพื้นที่ว่างนี้ก็เกิดมาจากเลือดเนื้อเชื้อไขของพ่อกับแม่ที่ใช้ค้ำยัน ทำให้เด็กสาวอายุสามขวบรอดมาได้ด้วยความโชคดี
อวี้จิ่นอุ้มเด็กออกมาอย่างระมัดระวัง แล้วส่งขึ้นไป
“ท่านอ๋อง พวกเขา…” หลงต้านเอ่ยถามด้วยความสงสัยขณะที่ใช้แผ่นหลังค้ำแผ่นกระเบื้องและอิฐที่สามารถหล่นมาได้ทุกเมื่อ
อวี้จิ่นพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ไม่จำเป็นต้องไปสนใจคนตาย”
เขาไม่ได้ใจดีขนาดที่ต้องให้คนตายได้ถูกฝังลงดินและจากไปอย่างสงบมารุกล้ำความปลอดภัยของลูกน้อง
ทั้งสองปีนตามกันออกไป ขณะที่หลงต้านออกมานั้น ช่องว่างที่มาจากการขนย้ายก็พังทลายเกิดเสียงดังสนั่น ฝังกลบสามีภรรยาคู่นั้นไว้ด้านล่าง
เด็กสาวร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดอย่างอิดโรย ใบหน้าแดงก่ำ
“หลงต้าน พานางไปโรงหมอ”
หลงต้านรับเด็กสาวมา พลางถอนหายใจอยู่ในใจ อีกแล้ว นี่น่าจะคนที่สามได้
หลังจากนั้น เอ้อร์หนิวก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตอีก
กระบวนการช่วยเหลือดำเนินต่อไปจนถึงดึกดื่น มีศพที่ขุดออกมาได้มากกว่าห้าสิบศพ คาดไม่ถึงเลยว่าเด็กสาวอายุสามขวบจะเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว