ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 579 ขโมยไก่ไม่สำเร็จ ทั้งยังเสียข้าวสารในกำมือ
ฤดูร้อนของเดือนเจ็ด ในไม่ช้าก็ผ่านพ้นไปจนกระทั่งดอกกุ้ยฮวาส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ผู้คนบนท้องถนนก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
เทศกาลไหว้พระจันทร์ใกล้มาถึงแล้ว แม้แต่ครอบครัวที่ยากจนก็ให้ความสำคัญเช่นเทศกาลไหว้พระจันทร์ พวกเขาพากันออกมาจับจ่ายซื้อหาของใช้จำนวนมาก
ในวันนี้ เจียงอีได้เดินทางออกจากจวนเพื่อไปซื้อโคมไฟให้เยียนเยียน
มือน้อยๆ ถือโคมไฟเล่นกันอยู่ใต้แสงจันทร์ เป็นสิ่งที่เห็นได้ทั่วไปในเทศกาลไหว้พระจันทร์
นางเลือกโคมไฟรูปปลาและรูปกระต่ายอย่างตั้งอกตั้งใจ จากนั้นส่งไปให้บ่าวรับใช้ถือ เจียงอีเดินออกจากร้านค้าร้านนั้นแล้วเดินเข้าไปในร้านขายของสะสมแห่งหนึ่ง
วันเกิดบิดาของนางใกล้จะมาถึงแล้ว นางตั้งใจจะเลือกซื้อวัตถุโบราณชิ้นหนึ่งเป็นของขวัญวันเกิดให้แก่บิดาของน
เจียงอีเดินเข้าไปในร้านร้านเจินเป่าที่พอจะมีชื่อเสียงเล็กน้อยในเมืองหลวงแห่งนี้
ร้านเจินเป่าตั้งอยู่บนถนนฝั่งตะวันตกอันพลุกพล่าน แม้จะไม่ใช่ร้านขายของสะสมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง แต่มันก็จัดแต่งได้งดงามประณีต
เมื่อเดินเข้าไปก็มีคนเข้ามาต้อนรับทันที
เจียงอีเดินดูไปรอบห้องก่อนจะเอ่ยถามชายคนนั้นว่า “มีจี้หยกคุณภาพดีบ้างหรือไม่”
ชายผู้นั้นยิ้มขึ้นทันทีแล้วกล่าวว่า “เชิญไท่ไท่ที่ชั้นบนเถิดขอรับ”
เจียงอีพยักหน้าแล้วพาบ่าวรับใช้เดินขึ้นไปด้านบน
สตรีนางหนึ่งยืนอยู่ตรงทางขึ้นบันได นางยิ้มขึ้นแล้วกล่าวนำทางว่า “ไท่ไท่อยากจะดูสินค้าที่งดงามกว่านี้หรือ เชิญด้านนี้เจ้าค่ะ”
เจียงอีเดินตามสตรีนางนั้นเข้าไปในห้องรับรองหรูหราห้องหนึ่ง
ห้องรับรองนี้ได้รับการตกแต่งอย่างงดงาม นอกเสียจากฉากกันที่ทำการกั้นด้านในและด้านนอกเอาไว้แล้ว ตรงผนังเต็มไปด้วยกระถางเครื่องหอมทรงปากเป็ดสามสีวางประดับอยู่บนโต๊ะสูงติดกับผนัง มีควันธูปส่งกลิ่นหอมลอยออกมา
เจียงอีขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ความสามารถด้านการรับรู้กลิ่นของนางไวกว่าคนธรรมดาทั่วไป เพียงแต่ไม่ได้ชัดเจนเท่ากับน้องสาวของนางก็เท่านั้น ดังนั้นตามปกติทั่วไปแล้วนางจึงไม่ชื่นชอบการใช้เครื่องหอมมากนัก
แต่เจียงอีเป็นคนที่มีนิสัยไม่ชอบหาเรื่องโวยวาย แม้ว่านางจะไม่ชื่นชอบกลิ่นหอมจากภายในห้องนี้ แต่ก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดมากความ นางเริ่มทำการเลือกหยกตามคำแนะนำของเจ้าของร้าน
“ไม่ทราบว่าไท่ไท่ต้องการเลือกซื้อให้ผู้ใด”
“ข้าต้องการเลือกของขวัญวันเกิดให้แก่ท่านพ่อสักชิ้นหนึ่ง”
เจ้าของร้านนำถาดซึ่งมีผ้ากำมะหยี่สีแดงรองไว้ด้านล่างและด้านบน มีหยกขาวเนื้อดีวางอยู่หลายชิ้นทีเดียว
“ไท่ไท่โปรดดูนี่เถิด จี้หยกนี้เป็นจี้หยกราศีมีน ฝีมือประณีตยิ่งนัก อีกทั้งยังเป็นหยกไข่แพะชั้นดี เหมาะสมยิ่งนักหากจะให้บุรุษสวมใส่…” เจียงอีหยิบหยกนั้นขึ้นมาพิจารณาดูด้วยความระมัดระวัง ก่อนที่จะพยักหน้าเล็กน้อย
เจ้าของร้านหยิบหยกอีกชิ้นหนึ่งขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “นี่คือหยกขาวประดับเอว มีความหมายดียิ่งนัก ไท่ไท่โปรดดูเถิดว่าชื่นชอบหรือไม่…”
เจียงอีเลือกอย่างพิถีพิถัน ทำให้เวลาล่วงเลยไปโดยไม่รู้ตัว ดูเหมือนว่าควันจากธูปหอมยังคงลอยออกมาอยู่ตลอดเวลา
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกง่วงเล็กน้อยและยกมือขึ้นขยี้ไปที่ขมับ ก่อนจะเอ่ยเรียกหาสาวรับใช้
แต่กลับไม่มีผู้ใดตอบรับนาง
นางอดไม่ได้ที่จะหันไปมองดูบ่าวรับใช้และพบว่าบ่าวรับใช้ของนางพิงกำแพงหลับตาอยู่ ไม่รู้ว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไร
นางตกตะลึงและรีบลุกขึ้น แต่ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะทำให้นางหลับตาลงและผล็อยหลับไปในที่สุด
เจ้าของร้านใช้แขนเสื้อยกขึ้นปาดเหงื่อ ก่อนจะตะโกนด้วยความกังวลว่า “นาย…นายท่าน นางหลับไปแล้วเจ้าค่ะ…”
คนสองคนก้าวออกมาจากหลังฉากกันที่เป็นรูปดอกไม้ในสี่ฤดูกาล ผู้ที่เดินออกมาข้างหน้านั่นคือไท่จื่อ และผู้ที่เดินตามมาคือข้าหลวง ขันทีหน้าตาขาวสะอาดไร้หนวดเคราคนหนึ่ง
เจ้าของร้านไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง แต่กลับคารวะไท่จื่ออย่างรวดเร็ว
ไท่จื่อเหลือบมองดูหญิงสาวงามที่นอนฟุบอยู่บนโต๊ะแล้วโบกมือขึ้นว่า “ออกไปเถิด”
เจ้าของร้านตอบรับแล้วรีบถอยออกไปทันที เมื่อเดินออกไปบริเวณทางเดินด้านนอก นางก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
ช่างบาปกรรมยิ่งนัก!
แต่นางก็ไม่มีทางเลือกอื่น นางจำต้องยอมประนีประนอมภายใต้อำนาจและทำเรื่องที่ไร้หัวจิตหัวใจเช่นนี้ออกมา…ภายในห้องยังคงมีกลิ่นธูปหอมคลุ้งลอย ไท่จื่อเดินตรงเข้าไปข้างกายของเจียงอีแล้วยื่นมือมาจับใบหน้าของนางอันขาวราวกับหิมะ พิจารณาดูครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ช่างเป็นสตรีที่งดงามไร้ตำหนิยิ่งนัก ไม่เสียแรงที่ข้าครุ่นคิดแผนการมาเนิ่นนาน”
ความรู้สึกอ่อนนุ่มของผิวที่สัมผัสได้จากอีกฝ่ายหนึ่ง จึงทำให้ไท่จื่อมีความกระตือรือร้นมากขึ้น เขากำชับกับข้าหลวงว่า “รีบพานางไปด้านในฉากกั้นเร็ว”
ด้านหลังฉากกั้นนั้นมีเตียงตั่งอยู่ตัวหนึ่ง สะดวกสำหรับการทำกิจต่างๆ
ข้าหลวงตอบรับแล้วเดินเข้าไปลากตัวเจียงอี
“เร็วเข้า!” ไท่จื่อรีบเร่ง
ทั้งสองคนไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนห้อยศีรษะลงมาจากหน้าต่างที่เปิดเอาไว้
คนผู้นั้นมองดูพวกเขาแล้วเข้ามาจากทางหน้าต่าง หยุดยืนอยู่ด้านหลังทั้งสองเงียบๆ เขาใช้ฝ่ามือทุบไปที่ลำคอ ทำให้ไท่จื่อและข้าหลวงหมดสติไป
มือทั้งสองข้างของเขาหิ้วทั้งสองไปข้างละคน จากนั้นนำร่างของทั้งสองไปโยนไว้บนเตียงตั่งด้านหลังฉากกั้น คนผู้นั้นรีบนำยาเม็ดหนึ่งใส่เข้าไปในปากของเจียงอี
เจียงอีได้สติตื่นขึ้นมา สายตาของนางเบิกกว้างเมื่อเห็นผู้ที่อยู่ตรงหน้า
ชายผู้นั้นกระซิบขึ้นได้นำเสียงอันเบาว่า “ไท่ไท่อย่าได้ตะโกนโวยวายไป ข้าน้อยเป็นคนจากจวนเยี่ยนอ๋องขอรับ”
เจียงอีพยายามกลืนเสียงร้องเมื่อครู่ลงไปแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “เกิดเรื่องใดขึ้น”
คนผู้นั้นชี้ไปยังด้านหลังฉากกั้นแล้วกล่าวว่า “ท่านจงดูเถิด แต่อย่าได้ส่งเสียง”
เจียงอีสงสัยยิ่งนัก นางกุมผ้าเช็ดหน้าในมือแล้วยื่นศีรษะเข้าไปมอง
เมื่อนางเห็นภาพ วิญญาณก็แทบหลุดออกจากร่าง
เนื่องจากด้านหลัวฉากกั้นมีชายสองคนนอนอยู่บนเตียงตั่ง
“พวกเขา…”
“ไท่ไท่อย่าได้สนใจพวกเขา รีบออกจากที่นี่เถิด”
เจียงอีจึงได้หันไปมองบ่าวรับใช้ที่นอนหลับอยู่
คนผู้นั้นหยิบยาขึ้นมาเม็ดหนึ่งแล้วใส่เข้าไปในปากของบ่าวรับใช้ หันไปกล่าวกับเจียงอีว่า “รอจนกระทั่งนางตื่นขึ้นมา ท่านจงรีบพานางเดินทางออกจากที่นี่อย่างสง่าผ่าเผยเถิด ไม่อย่างนั้นอาจจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของท่านได้…”
เจียงอีตกตะลึงแล้วรีบพยักหน้า
หากให้ใครเห็นเข้าว่านางอยู่ในห้องลับกับชายหนุ่มอีกสองคน คงปฏิเสธได้ยาก
เมื่อชายผู้นั้นพบว่าเจียงอีไม่ได้มีทีท่าตื่นตระหนกแม้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์เช่นนี้ เขาจึงได้ลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แล้วรีบไปหลบอยู่ด้านหลังฉากกั้น
ในไม่ช้าบ่าวรับใช้ก็ได้สติตื่นขึ้นมา นางมองไปรอบข้างอย่างรวดเร็ว “ไท่ไท่…”
“หยิบโคมไฟที่เลือกซื้อให้เยียนเยียนแล้วไปจากที่นี่กัน” เจียงอีกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงบางเบา แต่แท้จริงแล้วในใจของนางมีพายุเข้ามาอย่างถาโถม
บ่าวรับใช้ไม่ทันนึกถึงเรื่องราวผิดปกติใดขึ้น นางได้แต่แอบตำหนิตนเองอยู่ในใจว่า ให้ตายสิ เหตุใดจึงผล็อยหลับไปได้ จากนั้นจึงรีบหยิบ โคมไฟที่ซื้อมาแล้วเดินตามเจียงอีออกไป
เจียงอีก้าวขาออกไปด้านนอก ขาของนางดูอ่อนแรงจนแทบจะล้มลง
“ไท่ไท่ระวังเจ้าค่ะ!” บ่าวรับใช้เอื้อมมือออกไปพยุงนาง
เจียงอีกำมือของตนเอาไว้แน่นแล้วตำหนิตนเองอยู่ในใจว่า น้องสี่อายุยังน้อย แต่ก็สามารถผ่านอุปสรรคมากมายเหล่านี้ไปได้ แล้วตัวนางจะไม่อาจผ่านอุปสรรคเพียงเท่านี้ไปได้อย่างไร!
นางสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็ผลักประตูออกไป
เจ้าของร้านได้ลงไปซ่อนตัวอยู่ด้านล่าง
เมื่อเห็นเจียงอีพาบ่าวรับใช้เดินลงมาตรงบันได นางก็จ้องตาเขม็งด้วยความตกใจแล้วเอ่ยว่า “ไท่ไท่ ท่านลงมาได้อย่างไร”
ไม่สิ จากแผนที่ก่อนหน้านี้ได้ตกลงกันไว้ เห็นได้ชัดว่าผู้ที่ดูสูงส่งผู้นั้นชื่นชอบและต้องการตัวไท่ไท่ผู้นี้ จึงตั้งใจจะทำให้นางสลบแล้วขืนใจ แต่เหตุใดชั่วพริบตาเดียวไท่ไท่ผู้นี้จึงเดินลงมาราวกับไม่เกิดเรื่องใดขึ้นเล่า
หรือว่านางคิดผิดไปเอง ไม่ใช่การขืนใจแต่เป็นการยินยอม? การที่ทำให้หมดสติไปเป็นเพียงความชื่นชอบส่วนตัวของท่านผู้สูงส่งผู้นั้น
เมื่อมองเห็นเจียงอีเดินลงมาด้วยใบหน้าอันไร้อารมณ์ เจ้าของร้านก็ครุ่นคิดอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ว่า หากเป็นเช่นนี้ ท่านผู้สูงส่งคนนั้นช่างรวดเร็วเหลือเกิน…
เจียงอีเดินไปหาเจ้าของร้าน นางพยายามระงับอารมณ์ที่ต้องการจะเข้าไปตบหน้าเจ้าของร้านสักฉาดหนึ่ง จากนั้นกล่าวออกมาเบาๆ ว่า “ไม่มีสิ่งของที่ข้าชื่นชอบ ดังนั้นข้าจึงได้ลงมา”
จนกระทั่งเจียงอีพาบ่าวรับใช้เดินตรงออกไปจากประตูร้าน เจ้าของร้านจึงได้สติกลับคืนมาแล้วรีบวิ่งไปที่ชั้นบน
ภายในห้องรับรอง ประตูนั้นถูกปิดสนิท เจ้าของร้านจึงได้ผลักประตูเข้าไปแล้วเดินตรงไปด้านหลังฉากกั้น
พบชายสองคนนอนเปลือยกายอยู่บนเตียงตั่ง
ฉากอันน่าตื่นตระหนกเช่นนี้จึงทำให้เจ้าของร้านยกมือขึ้นปิดปากแล้วถอยหลังไป
เสียงดัง โครม! ฉากกั้นเหล่านั้นก็ล้มลง