ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 581 โมโห
ก่อนที่ความโกลาหล ณ ร้านเจินเป่ากำลังจะเริ่มต้นขึ้น เจียงอีได้ก้าวออกไปจากประตูของร้านเจินเป่าไปแล้ว
นางเพิ่งจะเดินออกมาจากหน้าประตูร้านเจินเป่าได้ไม่กี่ก้าว ขาของนางก็อ่อนแรง มือรีบพยุงต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ สีหน้าดูย่ำแย่จนน่ากลัว “พยุงข้าขึ้นรถ…”
สีหน้าอันซีดเผือดของเจียงอีทำให้บ่าวรับใช้ตกตะลึง “ไท่ไท่เจ้าคะ…”
“พยุงข้าขึ้นรถ!” เจียงอีตะโกนอย่างฉุนเฉียว
ตามปกติแล้วเจียงอีมักจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกับบ่าวรับใช้เสมอ นี่เป็นครั้งแรกที่บ่าวรับใช้เห็นนางพูดด้วยน้ำเสียงอันดัง จึงไม่กล้าที่จะรีรอแล้วรีบพาเจียงอีขึ้นรถม้าไป
เมื่อขึ้นไปนั่งบนรถม้า เจียงอีจึงรู้สึกดีขึ้น แต่ก็มีความกลัวราวกับท้องฟ้าจะถล่มทลายลงมา
“ท่านเป็นอันใดไปหรือเจ้าคะ” เมื่อบ่าวรับใช้เห็นท่าทางของเจียงอีดูผิดปกติไป จึงได้รีบเอ่ยถามด้วยความกังวล
เจียงอีนั่งพิงกับผนังรถม้าอันเย็นเยือก สีหน้าของนางขาวซีดไร้เส้นเลือดฝาด หน้าผากขาวผ่องเต็มไปด้วยหยดเหงื่อ
ดูเหมือนว่านางเพิ่งจะขึ้นจากน้ำ และหายใจด้วยความเหนื่อยหอบเนื่องจากยังมีความกังวลอยู่ นางไม่มีเวลาไปสนใจบ่าวรับใช้ที่ทำท่าทีรีบร้อนอยู่ด้านข้างในบัดนี้
เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่!
นางก็เพียงแค่เข้าไปเลือกซื้อหาของขวัญในร้านเจินเป่า เหตุใดจึงถูกคนจับตามองเอาได้ ชายทั้งสองคนนั้นเป็นใครกัน
นางถูกวางยาจนสลบไป ในวันนี้หากไม่ใช่เพราะมีคนเข้ามาช่วยละก็ ผลที่ตามมา…
อ้อจริงสิ ผู้ที่ช่วยนางเอาไว้กล่าวว่าเป็นคนของเยี่ยนอ๋อง
ดูเหมือนเจียงอีจะนึกบางอย่างขึ้นได้ นางรีบลากตัวบ่าวรับใช้เข้ามาแล้วกล่าวว่า “รีบบอกสารถี…ให้ตรงไปที่จวนเยี่ยนอ๋อง…”
“ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ!” บ่าวรับใช้รู้สึกตกใจกับคำสั่งอย่างกะทันหันเช่นนี้
หากตามขนบธรรมเนียมแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงจวนเยี่ยนอ๋อง เพียงแค่เดินทางไปยังจวนของคนธรรมดา หรือญาติสนิทคนอื่นๆ ก็ยังคงต้องส่งจดหมายขอเข้าพบไปก่อนล่วงหน้า
เจ้านายเป็นอะไรไปกัน
“เร็วเข้าเถิด” เจียงอีผลักบ่าวรับใช้ออกไป
ความรู้สึกกระตือรือร้นนั้นส่งต่อไปถึงบ่าวรับใช้ นางรีบปีนไปที่ตรงประตูหน้าต่างของรถม้าแล้วยื่นศีรษะตะโกนว่า “เหล่าเถี่ยโถว ไปที่จวนเยี่ยนอ๋อง”
สารถีบังคับแส้ม้าแล้วหันศีรษะมา “ไม่กลับจวนแล้วหรือ”
บ่าวรับใช้จ้องสารถีตาเขม็ง “เจ้านายสั่งให้ไปที่ใดก็จงไปเถิด!”
“เอาล่ะ จับให้มั่น” สารถีสะบัดแส้ม้า จากนั้นหันรถม้าไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
เจียงอีกำผ้าเช็ดหน้าไว้ในมือโดยไม่กล่าวสิ่งใดออกมา บรรยากาศภายในรถม้าดูแทบจะหยุดนิ่งท่ามกลางอากาศ
หลายต่อหลายครั้งที่บ่าวรับใช้ต้องการจะเอ่ยบางคำออกมา แต่กลับถูกบรรยากาศอันอุดอู้นี้บีบบังคับเสียจนไม่กล้ากล่าวสิ่งใด นางได้แต่ครุ่นคิดว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่
จู่ๆ เมื่อนางนึกถึงเรื่องที่ตนผล็อยหลับไปเมื่ออยู่ในร้านเจินเป่า สีหน้าของนางก็ซีดเผือดลง
รถม้าหยุดลง เสียงของสารถีกล่าวขึ้นว่า “ต้ากูไหน่ไน ถึงแล้วขอรับ”
บ่าวรับใช้ยื่นศีรษะออกไปกล่าวว่า “เถี่ยโถว เจ้าไปบอกนายประตูให้หน่อย”
สารถีวิ่งตรงเข้าไปที่ประตู
“ไม่มีจดหมายขอเข้าเยี่ยมหรือ” นายประตูโบกมือเป็นสัญลักษณ์ให้สารถีจากไป
ช่วงนี้มีผู้แอบอ้างว่าเป็นญาติและมีความสัมพันธ์กับจวนเยี่ยนอ๋องมากมายเหลือเกิน จะปล่อยหมาแมวทุกตัวเข้าไปง่ายๆ ไม่ได้แน่
สารถีเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์ อีกทั้งรู้สึกเกรงกลัวอำนาจในจวนเยี่ยนอ๋อง เมื่อพบว่านายประตูขับไล่เขาจึงไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมา ได้แต่หันหลังเดินกลับไป
นายประตูมองไปยังรถม้าซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลนัก ก่อนจะรู้สึกว่าช่างคุ้นตา
“ช้าก่อน!” นายประตูเอ่ยเรียกสารถีให้หยุดลง “ไม่ทราบว่าพวกท่านเดินทางมาจากที่ใด”
สารถีกล่าวว่า “ต้ากูไหน่ไนจากจวนตงผิงปั๋วเดินทางมาหาพระชายาอ๋อง…”
นายประตูแทบจะทรุดลงกับพื้น เขาเข้าไปคว้าข้อมือสารถีเอาไว้แล้วกล่าวว่า “โถ่พี่ชาย เหตุใดจึงไม่กล่าวให้เร็วกว่านี้เล่า”
หากเขาปฏิเสธไม่ให้พี่สาวของพระชายาเยี่ยนอ๋องเดินทางเข้าไปด้านใน เรื่องนี้ถ้าไปถึงหูท่านอ๋อง คิดว่าเขาจะมีชีวิตรอดได้หรือ…
นายประตูส่งเสียงเหอะๆ ออกมาแล้วมองไปทางสารถี ก่อนจะนึกอยู่ในใจว่า มองไม่ออกว่าชายคนนี้จะร้ายยิ่งนัก โชคดีที่เขาปากมากและได้เอ่ยถามไว้ก่อน
เจียงซื่อกำลังเล่นอยู่กับอาฮวน
บัดนี้อาฮวนในวัยสองเดือนกว่าๆ ได้เติบโตเป็นตุ๊กตาสีผิวขาวผ่อง รูปร่างอ้วนท้วน ดวงตากลมโตและชอบยิ้มปากจู๋
แต่บัดนี้จู่ๆ อาฮวนก็ร้องไห้ขึ้นมา
“ฉี่หรือเปล่า” เนื่องจากเจียงซื่อเพิ่งจะเคยเป็นแม่คน และนางก็ดูรีบร้อน เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงได้สัมผัสไปที่ผ้า รู้สึกว่ามันเปียกชุ่ม “ฉี่จริงด้วย”
ไม่รอให้แม่นมเอื้อมมือมารับเจ้าหนูน้อยไป เอ้อร์หนิวที่นอนอยู่ด้านข้างก็ลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งไปยังตู้ตัวเตี้ยก่อนจะคว้าผ้าอ้อมขึ้นมาผืนหนึ่งแล้ววิ่งตรงไป เป็นความหมายให้เจียงซื่อรีบเปลี่ยนผ้าอ้อมให้อาฮวน
เจียงซื่อเอื้อมมือไปรับผ้าอ้อมแล้วมองไปทางเอ้อร์หนิวซึ่งทำท่าเหมือนกำลังรอคำชม นางก็รู้สึกขำขันยิ่งนัก
เอ้อร์หนิวเพิ่งมาอยู่ตรงนี้และสังเกตการณ์ได้ไม่เท่าไร แต่กลับสามารถไปนำผ้าอ้อมมาให้อาฮวนเปลี่ยนได้แล้ว หากจะเรียนรู้อีกสักระยะ มันคงเปลี่ยนผ้าอ้อมเป็นด้วยแล้วกระมัง
แม่นมที่กำลังทำการเปลี่ยนผ้าอ้อมให้แก่อาฮวนด้วยท่าทางคล่องแคล่วว่องไวกล่าวขึ้น “บ่าวไม่เคยเจอสุนัขตัวใดที่ฉลาดเท่าเอ้อร์หนิวมาก่อนเลยเพคะ”
อาหมานเบ้ริมฝีปาก กล่าวว่า “เคยเห็นก็คงแปลก เอ้อร์หนิวของพวกเราเป็นขุนนางขั้นสี่ของราชสำนักเชียว”
แม้ว่าแม่นมจะรู้เรื่องนี้มาก่อนหน้าแล้ว แต่ทุกครั้งที่นางได้ยินก็ยังรู้สึกตกตะลึง
ให้ตายเถิด ขุนนางขั้นสี่เชียว! หากเป็นครอบครัวธรรมดาทั่วไป มีคนในตระกูลได้ตำแหน่งขุนนางขั้นเจ็ด ที่หน้าหลุมบรรพบุรุษคงจะเต็มไปด้วยธูปสักการะอย่างแน่นอน
เทียบไม่ได้ คนยังไม่อาจเทียบกับสุนัขได้เลย…
ภายในตวนเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ก่อนที่จะมีบ่าวรับใช้เข้ามารายงานว่าเจียงอีเดินทางมา
เจียงซื่อสั่งให้คนไปพาเจียงอีเข้ามาด้านใน
“พี่ใหญ่ เหตุใดจึงเดินทางมากะทันหันเล่า” เมื่อสัมผัสได้กับความตื่นตระหนกในดวงตาของเจียงอี เจียงซื่อจึงได้กลืนคำพูดข้างหลังเหล่านั้นทิ้งไป แล้วโบกมือกำชับให้บ่าวรับใช้ทั้งหลายเดินทางออกไปจากที่นั่น
เมื่อเห็นว่าแม่นมอุ้มอาฮวนเดินจากไป เอ้อร์หนิวครุ่นคิดและเดินออกไปด้วยเช่นกัน
ภายในห้องเหลือเพียงสองพี่น้อง เจียงอีจึงกำชับให้บ่าวรับใช้ที่ติดตัวมาด้วยออกไปรอข้างนอก
“พี่ใหญ่ เกิดเรื่องใดขึ้นอย่างนั้นหรือ”
เจียงอีบีบถ้วยน้ำชาเอาไว้อย่างแรง จนทำให้กระดูกที่นิ้วมือปูดโปน เส้นเอ็นขาวผ่องมองได้ชัด นางพยายามสงบสติอารมณ์แล้วกล่าวว่า “น้องสี่ ในวันนี้มีคน…หวังจะขืนใจข้า…”
มือของเจียงซื่อสั่นเล็กน้อย จนเกือบจะกระแทกเข้าให้กับถ้วยน้ำชา
เจียงอีเกรงว่าจะทำให้เจียงซื่อกังวล จึงรีบกล่าวเสริมขึ้นประโยคหนึ่งว่า “ตัวข้าไม่เป็นไร”
เจียงซื่อหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากของเจียงอี “พี่ใหญ่ค่อยๆ เล่ามาเถิด”
เจียงอีพยักหน้าแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทา เมื่อกล่าวไปถึงตอนท้าย นางก็ไม่อาจควบคุมความกลัวที่หลั่งไหลออกมาจากใจได้
เจียงซื่อรู้สึกเข้าใจอารมณ์ของเจียงอีมากยิ่งนัก
นางลองจินตนาการว่าการที่สตรีคนหนึ่งเดินออกไปเลือกสินค้าตามร้านต่างๆ ตามปกติ แต่จู่ๆ กลับจะถูกคนพาไปทำมิดีมิร้าย ไม่ว่าเป็นสตรีคนใดหากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง ใครบ้างเล่าที่จะไม่กลัว
“คนที่เข้ามาช่วยข้าเอาไว้กล่าวว่าเป็นคนของเยี่ยนอ๋อง…น้องสี่เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องราวเป็นไปมาอย่างไร”
เจียงซื่อหลับตาลงแล้วกำมือเพื่อระงับความโกรธที่กำลังจะระเบิดออกมา
ช่วงนี้อาจิ่น มีเป้าหมายคอยจับจ้องอยู่เพียงคนเดียวนั่นก็คือไท่จื่อ หากว่าเป็นคนของอาจิ่นที่เข้าไปช่วยเจียงอีเอาไว้ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นฝีมือของไท่จื่อที่จัดการกับพี่สาวคนโตของนาง
“น้องสี่?”
เจียงซื่อฝืนยิ้มออกมา “ข้ายังไม่พบท่านอ๋องเลย รอให้เขากลับมาแล้วข้าจะถามให้ว่าเขารู้เรื่องใดหรือไม่”
นางกล่าวพลางกุมมือของเจียงอีเอาไว้ มือของสองพี่น้องช่างเยือกเย็น
“พี่ใหญ่กลับจวนไปก่อนเถิด ช่วงนี้อย่าออกไปข้างนอกหากไม่จำเป็น รอให้เรื่องนี้กระจ่างแจ้งก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
แม้นางจะรู้ว่าคนที่ลงมือกับพี่สาวของตนคือไท่จื่อ แต่ว่าก่อนที่ไท่จื่อจะถูกจัดการ นางคาดว่าคงเป็นการดีกว่าหากพี่สาวของนางไม่รู้เรื่อง
หากพี่สาวของนางรู้เข้าว่าถูกไท่จื่อคอยจับตามอง คาดว่าคงจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ
เจียงอีพยักหน้าเห็นด้วย “อืม ตกลงตามนั้น ข้าจะรอข่าวจากน้องสี่”
เมื่อมีคนของเยี่ยนอ๋องเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คาดว่าผู้ที่ลงมือจัดการกับนางคงจะไม่ใช่คนธรรมดา นางไม่มีความสามารถอย่างน้องสี่ในการเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ตนเอง เช่นนั้นก็ควรจะหลีกเลี่ยงปัญหาไม่สร้างความวุ่นวายเพิ่มขึ้น น้องสี่จะได้ไม่เป็นห่วงกังวลนาง
ส่วนเรื่องความกลัว…แน่นอนว่านางกลัวยิ่ง นางจะไม่กลัวได้อย่างไร…
เจียงซื่อกำชับให้คนดูแลความปลอดภัยส่งเจียงอีกลับไปที่จวนตงผิงปั๋ว แล้วรีบกำชับว่า “รีบไปเชิญท่านอ๋องให้กลับมาจากศาลาว่าการ”