ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 582 ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล
อวี้จิ่นได้รับรายงานจากลูกน้องของเขาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งทำให้เขาโมโหเสียจนทุบแก้วแตกกระจาย
หากเขาไม่ได้ส่งคนมาคอยจับตามองก่อนหน้านี้ พี่สาวของอาซื่อผู้ไม่ทันระวัง คงจะต้องคงจะถูกวางยาอย่างแน่นอน
เมื่อถึงเวลานั้นอาซื่อคงจะต้องเสียใจมากเป็นแน่
สำหรับผู้ที่คลั่งรักภรรยาเช่นเขา จะกล้าทำให้ภรรยาของตนเสียใจได้อย่างไร
อวี้จิ่นลุกขึ้นยืนและเตรียมตัวกำลังจะกลับไประบายอารมณ์ด้วยการสนทนากับเจียงซื่อที่จวน แต่จู่ๆ เขาก็หยุดฝีเท้าลง
ช้าก่อน ไท่จื่อเป็นคนเช่นไรกัน ก่อนหน้านี้เห็นได้ชัดว่าเขามีความคิดไม่ซื่อต่อเจียงซื่อ แต่บัดนี้เหตุใดจึงกลายไปจับจ้องพี่สาวของอาซื่อกัน
เมื่อคิดได้ดังนั้นอวี้จิ่นก็รู้สึกโมโหยิ่งนัก
ไท่จื่อไม่เพียงแค่โง่เขลาน่ารังเกียจ แต่ยังตาบอดอีกด้วย!
หึๆ ดูเหมือนไม่จำเป็นต้องโมโห หากมีผู้จับตาดูภรรยาของเขาน้อยลงคนหนึ่งก็เป็นเรื่องดี
อวี้จิ่นพยายามปลอบใจตนเอง จากนั้นก็เดินทางไปดูเหตุการณ์อันครึกครื้นที่ร้านเจินเป่าจากระยะไกลแล้วจึงเดินทางกลับจวนเยี่ยนอ๋อง
เจียงซื่อเพิ่งจะส่งคนออกไปได้ไม่นาน อาเฉี่ยวก็เข้ามารายงานทันทีว่าท่านอ๋องเสด็จกลับมาแล้ว
จากนั้นอวี้จิ่นก็เร่งฝีเท้าเดินตรงเข้ามา เขากวาดตามองไปรอบๆ กล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าออกไปเถิด”
อาเฉี่ยวและคนอื่นๆ จึงได้ถอยหลังออกไปอย่างเงียบๆ
“เหตุใดจึงกลับมาเร็วเช่นนี้” เจียงซื่อรู้สึกประหลาดใจ
อวี้จิ่นชะงักลงชั่วครู่ ก่อนที่จะเข้าใจความหมายของเจียงซื่อ “ไม่ใช่ว่าเจ้าให้คนไปตามข้ากลับหรือ”
เจียงซื่อนิ่งเงียบไปชั่วครู่ นางมั่นใจในการคาดเดาของตนมากขึ้นกว่าเดิม “เป็นเช่นนี้หมายความว่าเหตุการณ์ในวันนี้คือผลงานของไท่จื่อที่คิดไม่ดีกับพี่สาวของข้าจริงหรือ”
อวี้จิ่นพยักหน้า
“แล้วเรื่องหลังจากที่พี่สาวข้าเดินทางจากไปเล่า”
เมื่อนึกถึงไท่จื่อผู้ขี้ขลาด และหวนนึกถึงเจ้าของร้านเจินเป่าผู้ไร้ศีลธรรม เจียงซื่อก็กัดฟันกรอดแล้วทุบลงไปบนโต๊ะ กล่าวว่า “อาจิ่น ขอกำลังคนให้ข้าจำนวนหนึ่ง ข้าจะไปพังร้านเจินเป่าเสียให้ราบ!”
อวี้จิ่นดึงตัวเจียงซื่อเข้ามายิ้มแล้วกล่าวว่า “เหตุใดนิสัยของเจ้าจึงรีบร้อนยิ่งกว่าข้าเสียอีก”
เจียงซื่อกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ไม่ใช่ว่าข้าเป็นคนรีบร้อน แต่เรื่องบางเรื่องไม่อาจจะอดทนได้และไม่จำเป็นต้องทน มีเพียงระบายอารมณ์ออกมาเท่านั้นจึงจะสามารถหักลบกันได้”
ส่วนเรื่องที่นางจะพาคนไปทุบร้านเจินเป่า จะมีผู้คนเชื่อมโยงความสัมพันธ์นี้มาที่เจียงอีหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งใด
ในเมื่อตอนนั้นเจียงอีสามารถออกจากสถานที่เกิดเหตุได้อย่างราบรื่น แน่นอนว่าเรื่องราวหลังจากนั้นจะไม่มีใครนำมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน
ต่อให้ไท่จื่อจะโง่เขลาสักเพียงใด เขาก็คงไม่ยอมรับว่าตนมีความรู้สึกเสน่หากับพี่สาวของภรรยาน้องชาย และคนในร้านเจินเป่ายิ่งไม่กล้ายอมรับ
จากความเห็นของเจียงซื่อแล้ว นางคิดว่าทุบก็ทุบไป อีกทั้งเหตุผลที่นางใช้นั่นเป็นเพราะว่าขัดหูขัดตานางก็เท่านั้น ดูเถิดว่าเมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ร้านเจินเป่าจะมีใครกล้าเอ่ยขัดหรือไม่
หืม? หากทำเช่นนี้เกรงว่าจะทำลายชื่อเสียงของพระชายาเยี่ยนอ๋อง? เรื่องนี้ยิ่งไม่จำเป็นต้องลังเลอีกต่อไป ชื่อเสียงสำคัญเท่ากับระบายโทสะใส่ร้านเจินเป่าหรือ ย่อมไม่!
เจียงซื่อเป็นสตรีที่สามารถแยกแยะเรื่องหนักเบาได้เป็นอย่างดี
อวี้จิ่นยิ้มขึ้นแล้วลูบไปที่ผมของเจียงซื่อ แววตาเต็มไปด้วยความหลงใหล “อาซื่อ ร้านเจินเป่าเกรงว่าเจ้าไม่ต้องส่งใครไปทุบหรอก”
“เหตุใดหรือ”
“ร้านเจินเป่ามีผู้เสียชีวิตขึ้นในวันนี้”
เจียงซื่อเลิกคิ้วขึ้น
นางได้ยินเพียงพี่สาวของตนเล่าเรื่องประสบการณ์การหลบหนีอันน่าตื่นเต้นแก่นางฟัง ส่วนเรื่องราวเป็นอย่างไรต่อนั้นนางไม่รู้
“คนของข้าส่งพี่สาวของเจ้าและบ่าวรับใช้ออกไปจนกระทั่งลับสายตา จากนั้นเขาก็เปลื้องเสื้อผ้าของไท่จื่อและข้าหลวงคนนั้นออก อีกด้านหนึ่ง ฉีอ๋องก็ได้ให้คนจับตาดูที่ร้านเจินเป่าอยู่เช่นกัน เขาสั่งให้คนผู้นั้นตะโกนเมื่อเห็นเรื่องอื้อฉาวเหล่านี้ ทำให้บรรดาชาวบ้านที่อยากรู้อยากเห็นเรื่องของผู้อื่นพากันมุ่งตรงเข้ามาในร้านเจินเป่า หลังจากนั้น ที่ข้าเดินทางไปมองดูร้านเจินเป่าจากระยะไกล ได้ยินมาว่ามีคนกลิ้งลงมาจากบันไดและถูกเหยียบจนถึงแก่ชีวิต…”
เจียงซื่อเยาะเย้ยขึ้นว่า “ความผิดนี้เป็นเพราะไท่จื่อผู้ชั่วร้ายนั่น!”
ชีวิตหนึ่งชีวิต สิ่งที่ตามมาเบื้องหลังนั่นก็คือหนึ่งครอบครัวที่ต้องพบกับเรื่องเลวร้าย จะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะไท่จื่อที่ขาดคุณธรรมไร้ยางอายทำให้เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น
“นั่นสิ คนเช่นนี้หากขึ้นนั่งบนบัลลังก์ปกครองแว่นแคว้น คงจะสร้างความเสียหายให้แก่ประชาชนไปทั่ว สู้ฆ่าเขาให้ตายเสียตั้งแต่แรกดีกว่า อาซื่อ สิ่งที่พวกเราจะทำนี้เพื่อเป็นการปกป้องหายนะของประชาชนใช่หรือไม่”
การแสดงของเจียงซื่อดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย “อืม นับว่าเป็นการกำจัดอันตรายต่อประชากร”
“เจ้าเดาว่าต่อจากนี้ไท่จื่อจะเป็นเช่นไร” อวี้จิ่นเผยอยิ้มขึ้นที่ตรงมุมปาก
เจียงซื่อครุ่นคิดแล้วตอบว่า “ผู้ที่พากันไปมุงดูอยู่ที่นั่นคงจะปิดกั้นไท่จื่อไว้ที่ร้านเจินเป่า ไท่จื่อเกรงว่าจะมีคนล่วงรู้ถึงตัวตนของเขาจึงจำเป็นต้องรีบจากไป เช่นนั้นเขา… กระโดดหนีไปทางหน้าต่างหรือ”
อวี้จิ่นถูฝ่ามือของตนไปมา “อาซื่อ เจ้าฉลาดยิ่งนัก”
เจียงซื่อหัวเราะ “ไม่ใช่ว่าข้าฉลาด แต่ไท่จื่อโง่เขลาต่างหาก”
อวี้จิ่นพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนี้
จะว่าไปแล้วพวกเขาก็ไม่ได้จัดอยู่ประเภทคนที่ฉลาดหลักแหลมเป็นอัจฉริยะ ประเด็นสำคัญก็คือไท่จื่อโง่เง่าเกินเกณฑ์ปกติ …
“ต่อจากนั้นเล่า เขากระโดดลงมาจนขาหักหรือ”
อวี้จิ่นยิ้ม “เพียงกระโดดลงมาจากชั้นสองคงไม่ทำให้ขาหักอย่างแน่นอน แต่ว่าบังเอิญเหลือเกินที่เขาตกลงไปอยู่ต่อหน้าหัวหน้าผู้รักษาความปลอดภัย จึงถูกเจ้าหน้าที่พาตัวไป เมื่อเป็นเช่นนี้คาดว่าต่อให้ไท่จื่อต้องการจะปกปิดเรื่องอื้อฉาวก็คงไม่อาจทำได้ ส่วนร้านเจินเป่าซึ่งเป็นตัวกลางทำให้ไท่จื่อและขันทีคนนั้นต้องเดือดร้อนเจ้าคิดว่าจะมีจุดจบที่ดีหรือ”
เจียงซื่อนิ่งเงียบครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “เจ้าหน้าที่เหล่านั้นเดินทางไปได้เวลาอันเหมาะเจาะพอดิบพอดี เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับฉีอ๋องหรือไม่”
อวี้จิ่นหัวเราะเยาะออกมา “แน่นอนว่าเรื่องนี้จะขาดความช่วยเหลือจากพี่ชายข้าไปไม่ได้”
“เขาช่วยอย่างไรเล่า เห็นได้ชัดว่าเขากำลังต้องการจะขจัดสิ่งกีดขวางทางของเขาเช่นไท่จื่อ” เมื่อกล่าวถึงฉีอ๋องเจียงซื่อก็รู้สึกหงุดหงิดใจ
เมื่อชาติก่อนนางถึงแก่ชีวิตด้วยน้ำมือของพระชายาฉีอ๋อง เมื่อเป็นเช่นนี้นางจึงรู้สึกหวาดกลัวฉีอ๋องและพระชายาของเขา
นั่นไม่ใช่เพราะว่าพระชายาฉีอ๋องมีความแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่เมื่อเคยเผชิญกับความพ่ายแพ้ในครานั้น จึงทำให้จิตใจของนางอดไม่ได้ที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ขึ้นมา
“หากว่าไท่จื่อถูกปลด ฉีอ๋องจะได้ขึ้นครองบัลลังก์หรือไม่…” เจียงซื่อพึมพำออกมา
เมื่อชาติก่อน นางและอาจิ่นเดินทางกลับจากหนานเจียงมาเมืองหลวง เป็นช่วงเวลาที่องค์ชายทั้งหลายกำลังแย่งครองบัลลังก์อย่างดุเดือด ส่วนผู้ใดที่ได้ตำแหน่งนั้นไปครอง นางอยู่ไม่ถึงรอดูฉากนั้น
อวี้จิ่นกล่าวขึ้นมาอย่างเฉยเมยว่า “หากไท่จื่อถูกปลดอีกครั้ง จิ้นอ๋องได้เดินทางไปเฝ้าที่สุสานจักรพรรดิ ส่วนฉินอ๋องแม้จะมีอายุมากกว่า แต่เป็นเพียงแค่บุตรบุญธรรม ที่เหลือก็คือฉีอ๋อง หากจะกล่าวถึงอายุชื่อเสียงและมารดาผู้ให้กำเนิด เห็นได้ชัดว่าพี่สี่มีความเหมาะสมกว่า การจะขึ้นครองบัลลังก์ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้…”
สีหน้าของเจียงซื่อดูไม่น่ามองยิ่งขึ้นกว่าเดิม
อวี้จิ่นสัมผัสได้ถึงความผิดปกติไปจึงเข้าไปกุมมือนางเอาไว้ “เป็นอะไรหรือ”
เจียงซื่อเม้มริมฝีปากกล่าวว่า “องค์ชายคนอื่นๆ ขึ้นครองบัลลังก์นั้นข้าไม่มีข้อคิดเห็นใด มีเพียงฉีอ๋องเท่านั้นที่ข้าไม่อยากเห็นเขาขึ้นนั่งตำแหน่งนั้น”
อวี้จิ่นยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงเวลานั้นเราค่อยดึงเขาลงมา”
เจียงซื่อประหลาดใจยิ่งนัก “อาจิ่น เจ้าไม่แม้แต่จะเอ่ยถามถึงเหตุผลหรือ”
“ไม่จำเป็น เหตุผลนั้นก็คือเจ้าไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น นี่ก็เพียงพอแล้ว อีกอย่างการที่ใครบางคนรู้สึกไม่เข้าตา ยังจำเป็นต้องมีเหตุผลใดอีกหรือ เหตุผลเดียวนั่นก็คือเพราะไม่เข้าตา หากต้องการเหตุผลคงจะวุ่นวายยิ่งนัก”
ฮ่าๆๆ เจียงซื่ออดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้น
นางจำได้ว่าพระชายาฉีอ๋องเคยเอ่ยถามนางว่าเหตุใดจึงทำท่าทางเยือกเย็นไม่แยแสในทุกครั้งที่พบกัน ทั้งยังยืนกรานให้นางบอกคำตอบให้ได้ ในตอนนั้นนางก็ตอบเช่นนี้
หากไม่ใช่คนประเภทเดียวกันก็คงจะไม่ก้าวเข้ามาอยู่ด้วยกันได้ ประโยคนี้กล่าวได้มีเหตุผลยิ่ง ด้วยเหตุนี้เองฉีอ๋องจึงได้กลายมาเป็นสามีภรรยากับพระชายาของเขา ส่วนชายที่นางชื่นชอบก็คืออาจิ่น
“ข้ากล่าวสิ่งใดผิดงั้นหรือ” อวี้จิ่นรู้สึกสับสนกับรอยยิ้มของเจียงซื่อเมื่อครู่
เจียงซื่อหยุดรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของนางลง หันไปสบตากับอวี้จิ่นด้วยความอ่อนโยนอย่างสุดซึ้ง “ไม่มีหรอก ข้าคิดว่ามันถูกต้องยิ่งนัก”
ความรู้สึกและอารมณ์ของอวี้จิ่นพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า
ส่วนด้านของไท่จื่อ บัดนี้อารมณ์ของเขาช่างย่ำแย่จนไม่อาจอธิบายได้
เขาเป็นถึงไท่จื่อ เป็นผู้สืบทอดของประเทศนี้ แต่กลับถูกนำตัวมาจำไว้ในคุก
“เจ้านายทำอย่างไรดี!” ข้าหลวงผู้ที่หมดสติไปเพราะเอาหน้ากระแทกพื้น บัดนี้เพิ่งจะตื้นขึ้นแล้วได้แต่กอดไท่จื่อพร้อมร่ำไห้น้ำตานองหน้า
ไท่จื่อเตะข้าหลวงผู้นั้นแล้วกล่าวว่า “ไสหัวไปเสีย เจ้าสารเลวไร้ประโยชน์!”
“ฮือๆ เป็นเพราะข้าน้อยไร้ความสามารถ เป็นเพราะข้าน้อยเอง!” ข้าหลวงผู้นั้นตบปากของตนเองไปมา
เสียงฝีเท้าดังขึ้น จากนั้นประตูของคุกก็ถูกเปิดออก เจ้าหน้าที่กล่าวขึ้นด้วยใบหน้ามืดมนว่า “ออกมาให้ปากคำดำเนินคดี!