ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 588 แสดงละคร
ยามค่ำคืน แสงไฟในห้องส่องสว่าง
ภายใต้แสงสลัวในเงาม่านโปร่ง เมื่อดวงตาของพระชายาไท่จื่อสบตากับดวงตาอีกคู่ หัวใจของนางแทบหยุดเต้น
“เจ้ายังไม่หลับอีกหรือ” ไท่จื่อเอ่ยปากถาม เสียงอู้อี้ในม่านฟังดูสนิทสนมคุ้นเคยเสียยิ่งกว่าความอ่อนโยนในช่วงสองวันที่ผ่านมา
ความรู้สึกคุ้นเคยนั้นทำให้หัวใจที่คล้ายหยุดนิ่งกลับมาเต้นอีกครั้ง แต่ทว่าคราวนี้กลับเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ
ในชั่วขณะนั้น นางรับรู้ได้ว่าไท่จื่อคนเก่ากลับมาแล้ว
พระชายาออกปากถามด้วยเสียงแห้งผาก “หม่อมฉันสะดุ้งตื่นเพคะ…แล้วเหตุใดจู่ๆ พระองค์ถึงตื่นบรรทมเล่าเพคะ”
“เอ่อ สองวันมานี้ข้ารู้สึกปวดหัวอยู่บ่อยๆ เลยนอนหลับไม่สนิท” ภายในม่านโปร่งมืดสลัวทำให้แววตาของไท่จื่อแลดูลุ่มลึกกว่าเก่า
พระชายารู้สึกหดหู่ขึ้นมาทันใด คล้ายกับมีหินก้อนขนาดมหึมากดทับอยู่ในอก นางรู้สึกอัดอั้นจนหายใจไม่สะดวก
พระชายาไท่จื่อผุดลุกขึ้นนั่งก่อนจะม้วนม่านโปร่งไว้ด้านข้าง
ขณะนี้เริ่มเข้าสู่กลางฤดูใบไม้ร่วง อากาศในช่วงดึกจึงเย็นกว่าช่วงกลางวัน
ไท่จื่อมองปฏิกิริยาของพระชายาด้วยความฉงนพลางถาม “เจ้าเปิดม่านทำไมรึ”
“พระองค์ไม่ชอบหรือเพคะ” พระชายาไท่จื่อพิศมองไปที่ชายหนุ่ม ความมืดปกคลุมจนใบหน้าของนางรางสลัว “ปกติแล้วพระองค์ชอบให้ทำเช่นนี้มิใช่หรือเพคะ”
“อย่างนั้นรึ” เมื่อไท่จื่อได้ยินพระชายาว่าดังนั้น เขาก็เงียบไป
พระชายาล้มตัวลงนอนที่เก่า พลางมองไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม “รู้สึกดีขึ้นไหมเพคะ”
“ดีขึ้นมากแล้ว เจ้านอนเถิด” ไท่จื่อกล่าว
พระชายาไท่จื่อพยักหน้ารับ “อื้ม หม่อมฉันนอนแล้วนะเพคะ”
พระชายาพลิกตัวไปอีกด้าน ใบหน้าหันออกไปทางด้านนอก ไม่ส่งเสียง
ภายในห้องกลับสู่ความสงบอีกครั้ง
ทว่าพระชายาไม่อาจทำใจสงบ เพราะมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ไท่จื่อความจำเสื่อมจริงๆ งั้นหรือ
ไท่จื่อทำให้เสด็จพ่อกริ้วถึงขนาดถูกทุบศีรษะด้วยที่ทับกระดาษหยกขาว เมื่อฟื้นขึ้นมากลับจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้
นางมิได้ติดใจในส่วนนี้
เพราะหากศีรษะถูกกระทบกระเทือนก็อาจเกิดอาการเช่นนี้ได้
แต่ถึงอย่างไร ทั้งสองก็เป็นสามีภรรยามานานนับสิบปี ต่อให้ที่ผ่านมาไท่จื่อจะเย็นชาต่อนางเพียงใด แต่นางก็ทราบนิสัยใจคอของเขาเป็นอย่างดี
อย่างเมื่อครู่ที่ไท่จื่อเอ่ยถามเช่นนั้น
หากไท่จื่อความจำเสื่อมจริง เขาก็ควรเห็นนางเป็นคนแปลกหน้า แต่น้ำเสียงของคำถามนั้นกลับฟังดูคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด…
เรื่องนี้ดูจะแปลกไปเสียหน่อย
ไท่จื่อแกล้งความจำเสื่อมอย่างนั้นหรือ
พระชายาไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น
เพราะในมุมของนาง หากไท่จื่อความจำเสื่อม ไม่เพียงแต่เป็นการเริ่มต้นใหม่ของไท่จื่อ แต่นางก็ได้โอกาสเริ่มต้นใหม่เช่นกัน
นางได้แต่หวังว่าสามีของนางจะเป็นบุรุษธรรมดา จะธรรมดาในแง่ใด นางก็ยินดีทั้งนั้น เพราะอย่างน้อยนางจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องฉุนเกอเอ๋อร์จนไม่เป็นอันนอนเช่นนี้
แต่หากเป็นเพียงละครตบตาฉากหนึ่ง ทั้งหมดที่นางคิดก็เป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ
นิสัยมนุษย์ยากจะเปลี่ยน ต่อให้ไท่จื่อจะโง่เขลาเบาปัญญาเพียงใด หากคิดทบทวนมานับพันครั้งย่อมมีทางประสบความสำเร็จ เขาถึงได้ใช้วิธีแกล้งทำเป็นความจำเสื่อมเพื่อเอาตัวรอดจากบทลงโทษของเสด็จพ่อ แต่นั่นก็หมายความว่า เขายังเป็นโคลนสาบดังเดิม
พระชายาอยากจะพลิกตัวกลับไป ทว่าสุดท้ายก็นอนนิ่งเหมือนเก่า
นางไม่ต้องการซักไซ้อีกแล้ว
หากไท่จื่อความจำเสื่อมจริง ก็นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดี แต่หากเขาเสแสร้งแกล้งทำ การไม่เอ่ยถึง ก็ยังแกล้งทำต่อไปได้นานอีกหน่อย
พระชายาปิดตาสนิท พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่แต่เพียงในใจ น้ำตาหยดใสไหลซึมที่หางตาโดยที่นางไม่รู้ตัว
ครั้นไท่จื่อที่นอนอยู่บนเตียงได้ยินเสียงลมหายใจเป็นจังหวะของร่างข้างๆ ความตึงเครียดที่ก่อตัวเมื่อครู่ก็พลันมลายไป
เกือบไปแล้วเชียว เกือบถูกนางคนนี้จับได้แล้วเชียว!
จนถึงตอนนี้ ไท่จื่อรู้สึกคล้ายกับว่าตัวเองกำลังอยู่ในความฝัน
สมองของเขาคิดวิธียอดเยี่ยมที่แกล้งทำเป็นความจำเสื่อมได้อย่างไร!
เขาสูดลมหายใจเข้าปอดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลังจากที่ถูกเสด็จพ่อทุบหัวจนหมดสติไป เขาสลบไปนานเท่าใดไม่อาจทราบได้ แต่เมื่อได้สติแล้วกลับลืมตาไม่ขึ้นเสียอย่างนั้น
เขาเลยบังเอิญได้ยินตอนที่เสด็จพ่อสอบถามอาการจากหมอหลวง รวมไปถึงถ้อยคำด่าทอเดือดดาลเหล่านั้น ไม่ต้องบอกเลยว่า เขาในตอนนั้นรู้สึกหวาดกลัวเพียงใด
เขาก่อเรื่องอื้อฉาวที่นอกวังหลวงใหญ่โตปานนั้น แล้วเสด็จพ่อจะไม่ปลดเขาเป็นครั้งที่สองหรือ
ไม่ได้ ไม่ได้ เขาจะไม่ยอมถูกปลดเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด
เขามิใช่คนโง่ หากไท่จื่อถูกปลดจากตำแหน่งถึงสองครั้ง คงไม่มีทางได้กลับคืนสู่ตำแหน่งอีกแล้ว
จะทำอย่างไรดี
ไท่จื่อที่ยังลืมตาไม่ขึ้นพยายามเค้นสมอง แต่แล้วเขาก็ได้ยินแพทย์หลวงกระซิบกระซาบกัน
แพทย์หลวงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “ศีรษะของไท่จื่อถูกการกระทบกระเทือน เป็นการรักษาที่ยากยิ่ง หัวของมนุษย์ซับซ้อนถึงเพียงนี้ ต่อให้ไม่มีโลหิตไหลออกมา หรือต่อให้สภาพภายนอกยังดูปกติ แต่ก็มีคนไข้บางคนที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่จำไม่ได้ว่าตัวเองบาดเจ็บได้อย่างไร…”
แพทย์หลวงอีกคนเอ่ยเสียงต่ำ “นี่ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องพวกนี้ สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือทำอย่างไรก็ได้ให้ไท่จื่อฟื้นโดยเร็วที่สุด”
ความสนใจทั้งหมดของไท่จื่อติดอยู่กับคำพูดของแพทย์หลวงคนแรก
จำไม่ได้ว่าตัวเองบาดเจ็บได้อย่างไรงั้นรึ
เสด็จพ่อโหดร้ายกับเขา และไม่มีท่าทีเมตตาอ่อนโยนเหมือนอย่างที่ปฏิบัติต่อพี่น้องคนอื่นๆ แต่หากเขาจำอะไรไม่ได้เลย เสด็จพ่อก็คงไม่ลงโทษเขาใช่หรือไม่
ไท่จื่อยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่านี่คือวิธีที่ดีที่สุด เมื่อดวงตาสามารถลืมได้ตามปกติ เขาถึงได้กลายร่างเป็นผู้ป่วยความจำเสื่อมที่ไร้มลทิน
การจะแกล้งทำเป็นความจำเสื่อมก็มิได้เป็นเรื่องยาก แค่พูดให้น้อย ทำให้น้อย นิ่งเข้าไว้เป็นพอ
แต่ไม่คิดว่า ตอนที่สะดุ้งตื่นจากฝันร้ายกลับพบพระชายากำลังจดจ้องมาที่เขา ด้วยความตกใจจึงหลุดปากออกไปด้วยความเคยชิน ความเกือบแตกแล้วเชียว
ไท่จื่อลูบที่อกของตัวเองแผ่วเบา
ตื่นเต้นทีเล่นเอาเหงื่อกาฬท่วมตัวเลยทีเดียว
ไม่ได้การล่ะ คงต้องอยู่ให้ห่างจากนางหน่อยแล้ว
เพราะนอกจากนางจะเป็นคนน่าเบื่อแล้ว นางยังเป็นพวกหูตาว่องไวเสียด้วย หากนางรู้ว่าเขาแกล้งความจำเสื่อม นางอาจจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องเสด็จพ่อก็เป็นได้
ในตอนนั้น ไท่จื่อรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับพระชายาเต็มทน
ไท่จื่อที่นอนอยู่บนเตียงเดียวกันเกิดความคิดชั่วร้ายในหัว หากเขาได้นั่งบนบัลลังก์เมื่อไหร่ ถึงเวลานั้นก็จะไม่มีใครค่อยเจ้ากี้เจ้าการเขาอีกแล้ว เรื่องแรกที่เขาจะทำคือปลดผู้หญิงคนนี้ และอภิเษกกับสตรีที่อ่อนโยนนุ่มนวล และแต่งตั้งนางขึ้นเป็นฮองเฮาให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
เมื่อคิดตกดังนั้น ไท่จื่อก็หวนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่ร้านเจินเป่า
เหตุใดเป็ดที่ต้มแล้วบินหลุดไปได้
น่าเสียดายที่ตอนนั้นเขาติดพันอยู่กับอาการปวดระบมที่ท้ายทอย พอฟื้นขึ้นมา ทุกสิ่งตรงหน้าก็ตกอยู่ในความวุ่นวายจนจับต้นชนปลายไม่ถูก
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจได้คือ มีคนกำลังจ้องจะเล่นงานเขา!
เพราะเมื่อช่วยสตรีนางนั้นแล้ว คนๆ นั้นยังทำร้ายเขาจนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ หรือว่าเป็นฝีมือเจ้าเจ็ด
แต่ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเจ้าเจ็ดไม่รู้ว่าเขาหมายตานางอยู่
ช่างปะไร ต่อให้ต้องฆ่าคนผิดหลักพัน ยังดีกว่าปล่อยให้คนๆ หนึ่งรอดไปได้ เจ้าเจ็ดได้ครอบครองทั้งเอ้อร์หนิว ได้ครอบครองทั้งหญิงงามก็สมควรตายอยู่หรอก รอเขาได้ขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิเมื่อไหร่ก็ค่อยคิดบัญชีย้อนหลัง
แม้ไท่จื่อยังไม่ได้คำตอบว่าคนที่จ้องจะทำร้ายเขาคือใคร แต่เขาก็ไม่ได้ปล่อยให้เรื่องนี้มากวนใจ เขาเพียงแต่เฝ้ารอวันที่ได้ครอบครองตำแหน่งสูงสุดเสียก่อน แล้วค่อยกำจัดเสี้ยนหนามเหล่านั้นทีเดียว
สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือต้องแกล้งความจำเสื่อมให้แนบเนียนที่สุด ห้ามมิให้ผู้ใดสงสัยเป็นอันขาด
โชคดีที่สองวันที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าการเล่นละครตบตาก็มิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
ไท่จื่อผ่อนคลายขึ้นมาก เขาปิดตาและหลับไป
วันที่สิบหกเดือนแปด เหล่าองค์ชายมาเยี่ยมเยียนถามไถ่อาการไท่จื่อถึงในวังหลวง
ไท่จื่อเองก็วางแผนว่าจะแสดงละครอย่างสุดความสามารถ การบอกปัดไม่ให้เข้าเยี่ยมอาจทำให้ผู้อื่นรู้สึกคลางแคลง เขาจึงตัดสินใจว่าจะพบหน้าองค์ชายทุกคน
ผ่านไปไม่นาน ข้าหลวงก็เข้ามารายงาน “องค์รัชทายาท เยี่ยนอ๋องและแม่ทัพเซี่ยวเทียนมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อผงะไปในทันใด “ใครนะ”
ข้าหลวงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังพูดโกหก จึงกลั้นใจบอก “เยี่ยนอ๋องและแม่ทัพเซี่ยวเทียนพ่ะย่ะค่ะ…”
เยี่ยนอ๋องนี่เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง มาเยี่ยมไท่จื่อยังจะพาสุนัขมาด้วยเนี่ยนะ
ต่อให้เป็นแม่ทัพขั้นที่สี่ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงสุนัข!