ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 598 ตกม้าตายเอาตอนท้าย
เช้าวันต่อมา ไท่จื่อก็ยังมานั่งคุกเข่าอยู่ที่บันไดหินหน้าตำหนักหย่างซิน อดทนเกือบถึงยามอู่ ทว่ากลับเป็นลมล้มพับไปเช่นเดิม
“ฝ่าบาท องค์รัชทายาทเป็นลมไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” พานไห่รี่เข้ามารายงานจิ่งหมิงฮ่องเต้แผ่วเบา
จิ่งหมิงฮ่องเต้ประชวรมาหลายวัน หลังจากได้ยินเช่นนั้น หนังตาบนใบหน้าซีดเซียวเหี่ยวย่นกระตุกวูบ “พากลับไปที่ตงกง”
พานไห่เดินออกไปนอกตำหนัก และเปล่งเสียงฉาดฉาน “ส่งไท่จื่อกลับตงกง”
ไท่จื่อที่นอนพับอยู่บนบันไดหินเย็นยะเยือกขยับเปลือกตาเงียบงัน
หนนี้ เขาแกล้งเป็นลม
ใช้นวมพันเข่าก็ดีอยู่หรอก ไม่รู้สึกแย่เท่าเมื่อวาน แต่หากจะให้คุกเข่าไปเรื่อยๆ ก็ไม่ไหว พรุ่งนี้ค่อยมาสู้ใหม่ก็แล้วกัน
ไม่นานร่างของไท่จื่อก็ถูกข้าหลวงกลุ่มหนึ่งหามกลับไป
พานไห่เดินกลับเข้าตำหนัก
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลืมตาขึ้นมอง “ไท่จื่อกลับไปแล้วหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ” พานไห่เดินมานวดน่องให้จิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้นิ่งเงียบ ใคร่ครวญแต่ในใจ
……
วันที่สาม ทั้งหมดรออยู่ในโถงรับรอง ครั้นเห็นพานไห่เดินมา ทั้งหมดก็มองไปที่ไท่จื่อเป็นตาเดียว
นี่ก็ปาเข้าไปสามวันแล้ว เสด็จพ่อจะไม่พบหน้าไท่จื่อจริงๆ อย่างนั้นหรือ
ไท่จื่อประหม่าไม่ต่างกัน
หากวันนี้เสด็จพ่อยังไม่ยอมให้เข้าเฝ้า เขาก็ต้องไปนั่งคุกเข่าด้านนอก
พานไห่สอดส่ายสายตาไปรอบๆ พลางเอ่ย “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านอ๋องและพระชายาเข้าเฝ้าได้พ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อเผยสีหน้าผิดหวัง
ไม่ยอมพบอีกแล้ว!
ไท่จื่อกัดฟัน หมุนตัวเดินออกไป
คุกเข่าก็คุกเข่า เขาไม่เชื่อหรอกว่าเสด็จพ่อจะให้เขาคุกเข่าไปจนตาย
หลู่อ๋องผู้ชื่นชอบการหยอกเย้าเป็นชีวิตจิตใจหันไปมองไท่จื่อที่กำลังเดินออกไป เขาหรี่ตาพลางคิด
“มัวแต่ดูอะไรอยู่เล่า ยังไม่เข้าไปอีก หากยังลีลาพวกเราจะกลายเป็นคนสุดท้ายนะเพคะ” พระชายาหลู่อ๋องดึงผู้เป็นสามี
“เอ่อะ ไปเถอะ” หลู่อ๋องเดินตามคนอื่นๆ เข้าไปด้านในพลางครุ่นคิด
ท่าทางการเดินของไท่จื่อมันดูคุ้นๆ ชอบกล…
จิ่งหมิงฮ่องเต้เหม่อมองบุตรชายทยอยกันเข้ามาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ข้าบอกแล้วว่าพวกเจ้าไม่ต้องมาที่นี่ทุกวัน”
ทั้งหมดกล่าวตอบ “ลูก (ลูกสะใภ้) มิอาจอยู่ข้างกายเสด็จพ่อ หากยังไม่มาเยี่ยมเสด็จพ่อก็นับว่าลูกอกตัญญู”
จิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดตามองใบหน้าแต่ละคน “พวกเจ้าคิดได้เช่นนั้น ข้าก็ดีใจ แค่พวกเจ้ารักใคร่ปรองดองกันก็นับว่ากตัญญูอย่างที่สุดแล้ว”
ผู้คนทั้งนั้นรีบขานตอบ
ฉีอ๋องกล่าว “เสด็จพ่อ พี่รองคุกเข่ามาสามวันแล้ว เกรงว่าร่างกายจะแย่เอาพ่ะย่ะค่ะ…ขอพระองค์ทรงระงับโทสะ และรับสั่งให้พี่รองเลิกคุกเข่าเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หลู่อ๋องแอบเบะปาก
เสด็จพ่อบอกให้พี่น้องรักใคร่ปรองดองยังไม่ทันขาดคำ เจ้าสี่ก็รีบออกตัวขอความเมตตาแทนไท่จื่อ ช่างจับจังหวะได้เป็นเลิศเสียจริงเชียว
“จริงพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ บันไดหินด้านนอกเย็นเฉียบ หากคุกเข่าอยู่ตรงนั้นนานๆ เข่าของน้องรองจะแย่เอาพ่ะย่ะค่ะ…” ฉินอ๋องโน้มน้าว
จิ่งหมิงฮ่องเต้ดูผ่อนคลายขึ้นมาก
แม้ว่าความรู้สึกที่มีต่อไท่จื่อจะเริ่มตายด้าน แต่ก็มิได้หวังว่าไท่จื่อจะคุกเข่าจนเสียขาไป
เอาเถอะ เขาไม่จำเป็นต้องทำตัวดื้อด้านเช่นนั้น หาจังหวะบอกไท่จื่อดีๆ ว่าให้เขาเป็นอ๋องอยู่ว่างๆ ไปเสียเถิด จะได้ดีทั้งต่อแผ่นดินต้าโจว และดีต่อไอ้ลูกชายไม่เอาไหนคนนี้
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตัดสินใจได้แล้วจึงหันไปกล่าวแก่พานไห่ “ไปเรียกไท่จื่อเข้ามา”
เมื่อเห็นจิ่งหมิงฮ่องเต้ผ่อนปรน สีหน้าแต่ละคนกลับดูเลิ่กลั่กเสียอย่างนั้น
คุกเข่าแค่สามวันเสด็จพ่อก็ใจอ่อนแล้ว เห็นได้ชัดว่าไท่จื่อยังคงเป็นคนสำคัญในสายพระเนตรของเสด็จพ่อ
พานไห่เดินออกไปหาไท่จื่อที่นอกตำหนัก “องค์รัชทายาท ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้เสด็จเข้าไปได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อลุกพรวดขึ้นทันใด “เสด็จพ่อยอมพบหน้าข้าแล้วหรือ”
“เชิญเสด็จเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อเผ่นพรวดเข้าไปด้านใน ครั้นเห็นพระพักตร์ของฮ่องเต้ก็รีบทรุดเข่าลง เขากล่าวด้วยความกระตือรือร้น “ถวายบังคมเสด็จพ่อ”
หลู่อ๋องจดจ้องไปที่ไท่จื่อ ความรู้สึกคุ้นเคยทวีขึ้นอีกครั้ง
จังหวะที่ไท่จื่อคุกเข่าลงเมื่อครู่ หัวเข่าแลดูแปลกพิลึก ดูเหมือนมีอะไรหุ้มอย่างไรอย่างนั้น… หลู่อ๋องเบิกตาโต หากมิได้อยู่ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ เขาคงยกมือทุบศีรษะตัวเองไปแล้ว
เขาว่าแล้วเชียวว่าท่าทางของไท่จื่อแลดูคุ้นๆ ชอบกล เพราะตอนที่เขาถูกลงโทษสมัยยังเยาว์วัย เขาเคยแอบเอานวมพันที่หัวเข่า!
แค่ใช้นวมฝ้ายพันเข่าเอาไว้ ต่อให้คุกเข่ายันพระอาทิตย์ตกดินก็ยังได้
หลู่อ๋องมีประสบการณ์พันสารพัดสิ่งไว้ที่เข่าโดยไม่มีผู้ใดจับได้มาอย่างโชกโชน ฉะนั้นไท่จื่อและหลู่อ๋องในขณะนี้จึงไม่ต่างอะไรจากผีเห็นผี
เฮอะๆ หากเสด็จพ่อจับได้ว่าไท่จื่อพันแผ่นฝ้ายไว้ที่หัวเข่าจะเป็นอย่างไรน้า
หลู่อ๋องลูบคาง ขบคิดหาวิธีแฉไท่จื่อ
ไท่จื่อไม่รู้ตัวเลยว่าหลู่อ๋องกำลังจ้องมาที่เขา เขาถวายความเคารพเสร็จแล้วก็ยังคุกเข่าอยู่ในท่าเดิม และมองไปที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ด้วยสายตาเว้าวอนขอความเมตาตา
เมื่อเห็นท่าทางน่าสงสารของไท่จื่อ ฮ่องเต้แทบจะกล่าวไม่ออกเลยสักคำเดียว เขาเพียงแต่กล่าวเย็นชา “ลุกขึ้นเถอะ”
ไท่จื่อรีบกระวีกระวาดลุกขึ้นยืน และเอ่ยถามโดยมิได้สนใจคนรอบข้าง “เสด็จพ่อทรงดีขึ้นแล้วใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ ลูกมิได้เห็นพระพักตร์ของเสด็จพ่อหลายวัน เป็นห่วงพระองค์ยิ่งนัก”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้ายังตายไม่ได้”
ไท่จื่อผงะไปก่อนจะยกมือฟาดลงที่ใบหน้าของตัวเอง “เป็นความผิดของลูกเอง ที่ทำให้เสด็จพ่อทรงพิโรธ”
“ช่างเถอะ แค่เจ้าหยุดก่อเรื่องก็พอ” จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวเนิบนาบ
เมื่อตัดสินใจได้เช่นนั้นแล้ว เขาจึงมิได้มองไท่จื่อในสถานะผู้สืบทอดบัลลังก์อีกต่อไป ฉะนั้นยามอยู่ต่อหน้าโอรสทั้งหลาย จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงดูสงบนิ่งมากกว่าเดิม
รักมาก ก็ชังมาก ในเมื่อความรู้สึกตายด้านจนหมดสิ้น ถึงได้นิ่งสงบเพียงนี้
ไท่จื่อกลับไม่เข้าใจท่าทีที่เปลี่ยนไปของจิ่งหมิงฮ่องเต้ น้ำเสียงของเขายังเจือไปด้วยความยินดี
ดีเหลือเกิน เสด็จพ่อมิได้ทรงถือสาความผิดของเขาอีกต่อไปแล้ว นึกว่าจะคุกเข่าเสียเที่ยวซะแล้ว!
“ข้าเหนื่อยแล้ว พวกเจ้าออกไปเถอะ” จิ่งหมิงฮ่องเต้ออกปาก
“เสด็จพ่อพักหน่อยเถิด ลูกทูลลาพ่ะย่ะค่ะ/ลูกสะใภ้ทูลลาเพคะ”
หลู่อ๋องกลับร้อนใจ
หากปล่อยกลับไปเช่นนี้ ไท่จื่อก็ไม่ต้องคุกเข่าอีกแล้ว หมายความว่าคราวนี้ก็รอดตัวไปน่ะสิ
หลู่อ๋องกลอกตาไปมาขณะเค้นสมอง ก่อนจะเขยิบเข้าไปใกล้ไท่จื่อ และแอบยื่นขาข้างหนึ่งออกไป
ไท่จื่อไม่ทันระวังจึงสะดุดถลาไปข้างหน้า
เพียงชั่วแล่น หลู่อ๋องเหยียบขากางเกงของไท่จื่อไว้ได้ทัน ไท่จื่อเซหน้าคะมำ ขากางเกงที่ถูกเหยียบไหลลงมากองที่พื้น แต่โชคดีที่มีเสื้อคลุมปิดไว้ จึงเผยให้เห็นเพียงท่อนขาล่าง
สรรพสิ่งนิ่งค้าง
ผ่านไปไม่กี่ชั่วอึดใจ เซียงอ๋อง องค์ชายที่มีอายุน้อยที่สุดเอ่ย “พี่รองพันอะไรไว้ที่เข่างั้นหรือ”
ไท่จื่อที่เซล้มไม่เป็นท่าได้ยินเซียงอ๋องถามเช่นนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปโดยพลัน เขากระเด้งตัวพรวดพร้อมดึงกางเกงกลับเข้าที่
ทั้งหมดค่อยๆ ชำเลืองมองไปที่จิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้จ้องตอบ
ไท่จื่อเข่าอ่อนทรุดลงอีกครั้ง “สะ เสด็จพ่อ…”
เมื่อครู่เสด็จพ่อคงไม่ทันมองหรอกใช่ไหม
จิ่งหมิงฮ่องเต้หลับตาลงและลืมตาขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงเย็นชาถูกเปล่งออกมา “ไท่จื่อและหลู่อ๋องคอยก่อน ส่วนคนอื่นออกไปให้หมด!”
เหล่าองค์ชายองค์อื่นๆ ไม่อยากพลาดฉากเด็ดแต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง ได้แต่ถอยออกไปเงียบๆ
จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าว “ถอดกางเกงไท่จื่อเดี๋ยวนี้ ข้าจะดูชัดๆ ว่ามันคืออะไรกันแน่”
ไท่จื่อลนลาน “เสด็จพ่อ เสด็จพ่อ…”
ข้าหลวงสองสามคนเดินเข้ามา และฉีกกางเกงของไท่จื่อจนเรี่ยมเร้ นวมผ้าฝ้ายที่หัวเข่าอวดแก่สายตาผู้คน
สีหน้าไท่จื่อคล้ำหม่นลงทันใด ความคิดผุดขึ้นในหัว ซวยจริงแล้วคราวนี้!
จิ่งหมิงฮ่องเต้สูดลมหายใจเข้าปอด ระงับความโกรธอย่างถึงที่สุด น้ำเสียงสงบเรียบเอื้อนเอ่ย “พานไห่ ให้คนพาไท่จื่อไปส่งที่ตงกง”
“เสด็จพ่อ ลูกผิดไปแล้ว ลูกไม่กล้าทำอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอโปรดยกโทษให้ลูกด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ…” ไท่จื่อดิ้นพล่านพลางร้องตะโกน แต่สุดท้ายก็ถูกข้าหลวงพาตัวออกไป
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันไปทางหลู่อ๋อง
หลู่อ๋องที่ถูกมองด้วยสายตาเช่นนั้น ลุ้นระทึกอยู่ในใจ เขาหัวเราะแห้ง “เสด็จพ่อ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชี้ไปด้านนอก “ออกไปคุกเข่า!”