ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 609 โทษประหาร
ท้องฟ้ายังไม่สว่างดี เสี่ยวเล่อจื่อพาเอ้อร์หนิวกลับมาส่งที่จวนเยี่ยนอ๋อง
“ท่านอ๋องล่ะ”
พ่อบ้านที่เชิญเสี่ยวเล่อจื่อเข้ามาเอ่ยตอบ “ท่านอ๋องยังไม่ตื่นบรรทม กงกงคอยที่นี่ก่อน เดี๋ยวผู้น้อยจะไปตามท่านอ๋องมาให้”
เสี่ยวเล่อจื่อรีบบอก “ไม่ต้องๆ ข้าฝากเจ้าดูแลท่านแม่ทัพเซี่ยวเทียนหน่อยก็แล้วกัน ข้าต้องกลับไปรายงานที่วังก่อน”
เหอะๆ เยี่ยนอ๋องนี่ช่างใจกว้างเสียเหลือเกิน ส่งแม่ทัพเซี่ยวเทียนเข้าวังกลางดึกให้ไปช่วยแก้ปัญหาในวังหลวง แต่กลายเป็นว่าคนในจวนไม่มีใครอยู่รอเลยสักคน เข้านอนกันไปหน้าตาเฉย
เสี่ยวเล่อจื่อถอนหายใจแล้วก็มองซ้ายมองขวา ไร้เงาของเอ้อร์หนิว
เขาชะงักงัน “ท่านแม่ทัพเซี่ยวเทียนเล่า”
พ่อบ้านยิ้มเจื่อน “ท่านแม่ทัพเข้ารูนี้ไปแล้ว…”
เหตุใดเจ้าเอ้อร์หนิวถึงลอดเข้ารูไปต่อหน้ากงกงแบบนี้กันนะ จะทำตัวให้สง่าสมเป็นท่านแม่ทัพเซี่ยวเทียนไม่ได้เลยรึ
เสี่ยวเล่อจื่อจ้องไปที่รูที่พ่อบ้านชี้ด้วยอาการงงงัน
ท่านแม่ทัพเสี่ยวเทียนลอดรูสุนัขได้ด้วยหรือนี่…
หลังจากถอนหายใจอย่างโล่งอก เสี่ยวเล่อจื่อก็กล่าวลา
พ่อบ้านเดินไปส่งเสี่ยวเล่อจื่อที่ข้างประตู รอจนร่างของเขาหายวับไปในความมืดแล้วจึงรีบกลับมารายงานที่อวี้เหอย่วน
ในตอนนั้นอวี้จิ่นไม่ได้นอนหลับ
การส่งคนมาพาเอ้อร์หนิวไปกลางดึกเช่นนั้นต้องมีเรื่องอะไรอย่างแน่นอน ซึ่งก็คงมิใช่เรื่องเล็ก และเขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับไท่จื่อ แต่การที่เขาสั่งให้พ่อบ้านแจ้งขันทีว่าตนกำลังหลับอยู่ เพราะไม่ต้องการแสดงว่าใส่ใจ
แค่กๆ คนเราต้องรู้จักเล่นละคร
“เอ้อร์หนิวกลับมาแล้วหรือ” ได้ทราบข่าวทว่าไม่เห็นเจ้าตัว อวี้จิ่นขมวดคิ้วมุ่น เขาเดินไปที่หน้าประตูห้องตำราก่อนจะผิวปากเรียก
เขาฝึกวิทยายุทธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย จึงกักเก็บลมหายใจได้ยาวกว่าปกติ เสียงผิวปากหวีดหวิวดังลอยไปไกลท่ามกลางความมืด
เอ้อร์หนิวที่กำลังแผ่หลาซึมซับไออุ่นอยู่ในโพรงหูตั้งขึ้นทันใด มันลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะเดินไปรายงานเจ้าของ
“เจ้าเข้าไปทำอะไรในวังหลวงมารึ” อวี้จิ่นลูบหัวสุนัขตัวใหญ่
เอ้อร์หนิวทำจมูก ฟุดฟิด
“ไปหาของ? ของอะไร” อวี้จิ่นถามพร้อมทำสัญลักษณ์มือกระดูกหนึ่งชิ้น
เอ้อร์หนิวส่งสายตาเหยียดหยาม
คนอื่นจะโง่ก็คงช่วยอะไรไม่ได้ แต่เจ้านายก็ยังทำเช่นนี้เหมือนกันงั้นหรือ
อวี้จิ่นทำหน้าบึ้ง
ไอ้เจ้าสุนัขนี่มันกำลังดูถูกเขา เขาก็แค่กลัวว่ามันจะฟังไม่รู้เรื่อง
เอ้อร์หนิววิ่งเขาไปหาของในห้องตำราอยู่นาน ก่อนจะวิ่งตัวเปล่ากลับมาหาอวี้จิ่น มันส่ายหางอย่างช่วยไม่ได้
ของในนี้ไม่มีอะไรเหมือนของชิ้นนั้นเลยสักนิด จะให้มันทำยังไงเล่า
ในตอนนั้นเสียงหนึ่งดังขึ้นที่หน้าประตู “เอ้อร์หนิวกลับมาแล้ว”
อวี้จิ่นเดินออกมารับ พร้อมจูงมือเจียงซื่อ “ข้าให้เจ้าเข้านอนไปก่อนมิใช่หรือ”
“ใครจะหลับลง นี่เอ้อร์หนิวกำลัง…”
“ที่วังหลวงพาตัวเอ้อร์หนิวไปกลางดึกเพื่อให้มันช่วยหาของ น่าเสียดายที่เอ้อร์หนิวพูดไม่ได้ ข้าเลยทำได้เพียงลองให้มันหาของที่คล้ายๆ กันมา” อวี้จิ่นกล่าวพลางหันไปมองเอ้อร์หนิว และถอนหายใจ “ไม่รู้ว่าของนั่นคืออะไร แต่ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มี”
หน้าของเจียงซื่อทำให้เอ้อร์หนิวคิดถึงบางอย่าง มันวิ่งพรวดออกไปด้านนอกก่อนจะตรงไปที่เรือนหลัก
ทั้งสองรีบตามออกไป พวกเขาเห็นเอ้อร์หนิวกระโดดเข้าไปทางหน้าต่างในห้องฝั่งตะวันตก
เจียงซื่อและอวี้จิ่นหันมาสบตากัน อาการของทั้งสองเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
อาฮวนยังเล็ก ยังไม่ถึงวัยที่จะแยกไปมีเรือนของตัวเอง ตอนนี้จึงต้องอยู่ในห้องฝั่งตะวันตกของอวี้เหอย่วนไปก่อน
เอ้อร์หนิวเข้าไปในห้องของอาฮวนทำไม หรือว่าที่ห้องของอาฮวนมีของแบบนั้น
เอ้อร์หนิวไม่รอให้ทั้งคู่เข้ามา มันคาบของบางอย่างวิ่งกลับออกไป และยัดใส่มือเจียงซื่อ
เจียงซื่อหยิบวัตถุชิ้นนั้นขึ้นมาพิจารณา สิ่งนั้นคือต้าอาฝู ซึ่งก็คือตุ๊กตาดินเผา
เอ้อร์หนิวปล่อยลิ้นห้อย
ไอ้ของเล่นนี้มันอ้วนนัก เจ็บฟันไปหมด
“ที่แท้คนที่วังหลวงก็ให้เอ้อร์หนิวไปหาตุ๊กตาดินเผาอย่างนั้นหรือ” เจียงซื่อเงยหน้ามองเอ้อร์หนิว แต่เอ้อร์หนิวกลับเอียงหัว
อวี้จิ่นส่ายหัว “ดูแล้วคงไม่ใช่ตุ๊กตาดินเผา เอ้อร์หนิวคาบตุ๊กตานี้มาเพราะเห็นว่าลักษณะคล้ายของชิ้นนั้น หมายความว่าของชิ้นนั้นลักษณะเหมือนคน…”
ทั้งคู่หันมาสบตากันและสีหน้าก็เปลี่ยนไป
ของอะไรที่ลักษณะเหมือนคน และทำให้วังหลวงวุ่นวายถึงเพียงนี้
“กลับไปคุยกันที่ห้องเถอะ”
ทั้งสองจูงมือกันเข้าไปในห้องหลัก ปล่อยเอ้อร์หนิวยืนงงอยู่ตรงนั้น
มันอุตส่าห์สร้างคุณูปการใหญ่หลวงเพียงนี้ แต่กลับถูกนายๆ ทอดทิ้งและเดินจับมือกันหายไปอย่างนี้หรือ
เมื่อเข้าไปในห้อง อวี้จิ่นเป็นฝ่ายถามก่อน “อาซื่อ เจ้าว่าของนั้นคืออะไร”
เจียงซื่อเหล่มองอวี้จิ่น ส่งยิ้มพลางบอก “เจ้าคงเดาออกแล้วสิท่าว่าจะมีของอะไรที่ลักษณะเหมือนคน”
อวี้จิ่นเย้ยหยัน “คราวนี้ไท่จื่อคงได้ตายจริงๆ”
เจียงซื่อมองไปนอกหน้าต่าง พลางเอ่ยแผ่วเบา “ก็จริง เกรงว่าฟ้าสว่างเมื่อไหร่ ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไป”
ตามประวัติศาสตร์ วิชามนต์ดำรวมไปถึงตุ๊กตาปลุกเสกถือเป็นสิ่งต้องห้ามในราชวงศ์
“อาซื่อ เจ้าว่าหุ่นคนเล็กๆ แบบนั้นจะถูกซ่อนไว้ที่ไหน” อวี้จิ่นลูบคางที่มีตอขนสั้นๆ พลางถาม
เขาอาศัยอยู่ที่หนานเจียงมานาน พอจะรู้เรื่องเผ่าอูเหมียวอยู่บ้าง แต่กลับไม่เคยได้ยินว่า แม้แต่ผู้ที่มีวิชาเก่งกาจของเผ่าอูเหมียวจะเคยใช้หุ่นคนมาทำร้ายคนอื่น
เจียงซื่อส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่แน่ใจ”
นางฝึกวิชากับผู้เฒ่าเผ่าอูเหมียวมานาน และเคยได้ยินท่านผู้เฒ่าเอ่ยถึงเรื่องนี้ครั้งหนึ่งความว่า มีเกาะกลางทะเลทางใต้เกาะหนึ่ง คนบนเกาะนั้นมีวัตถุมนต์ดำที่สามารถควบคุมความตายของมนุษย์ได้ ซึ่งตุ๊กตาหุ่นไม้…ก็นับว่าเป็นวัตถุมนต์ดำที่สามารถควบคุมความตายได้เหมือนกัน
เรื่องนี้นางเคยได้ยินมาผ่านๆ ท่านผู้เฒ่ามิได้กล่าวถึงรายละเอียด
“ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นเช่นไร แต่อาการโรคหัวใจเฉียบพลันของเสด็จพ่อดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับตุ๊กตาหุ่นนี่”
หากเป็นแค่ตุ๊กตาธรรมดา ก็ยังมีความเป็นไปได้ว่าอาการเจ็บป่วยฉับพลันนั้นอาจเกิดจากฝีมือของใครบางคน
อวี้จิ่นกอดเจียงซื่อ “เอาเถอะ เลิกคิดจะดีกว่า เรานอนกันเถอะ จะได้รีบตื่นไปดูฟ้าฝนห่าใหญ่ที่กำลังจะมาในวันพรุ่งนี้”
ทั้งสองนอนลงข้างๆ กัน ม่านโปร่งถูกปล่อยลงมา
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงของเจียงซื่อก็ดังขึ้น “อาจิ่น”
“หืม”
“คราวนี้ ไท่จื่อคงจะไม่รอดใช่หรือไม่”
อวี้จิ่นหัวเราะแผ่วเบา น้ำเสียงที่เปล่งออกมาช่างไร้ความปรานี “หากตุ๊กตาหุ่นนั่นเกี่ยวข้องกับไท่จื่อ เขาก็ไม่มีทางรอดไปได้”
เจียงซื่อเม้มปากในความมืด
หากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่า เป้าหมายเล็กๆ ของนางกำลังจะเป็นจริง
“นอนเถอะ” อวี้จิ่นยื่นแขนข้างหนึ่งมากอดเจียงซื่อ
ในม่านนั้นค่อยๆ สงบลง
……
จิ่งหมิงฮ่องเต้นั่งนิ่งอยู่ในตำหนักเฉียนชิงเนิ่นนาน รอจนฟ้าเริ่มสว่าง ราชโองการถึงจะถูกส่งออกไป
ไท่จื่อก่อกบฏกลางดึก ฮ่องเต้พระราชทานนำจัณฑ์พิษหนึ่งจอก พระชายาไท่จื่อและไท่ซุนถูกถอนฐานันดรให้เป็นสามัญชน และมีคำสั่งให้อยู่ที่จิ้งหยวนไปชั่วชีวิต คนอื่นๆ ในตำหนักบูรพาตั้งแต่ยศสูงไปถึงยศต่ำที่คอยปรนนิบัติไท่จื่อต้องโทษประหารทั้งหมด
ราชโองการของฮ่องเต้ส่งไปถึงพระชายาไท่จื่อ นางโอบกอดฉุนเกอเอ๋อร์ น้ำตาไหลอาบแก้ม
ในน้ำตาหยดใสเจือไปด้วยความหวาดกลัว แต่ถึงกระนั้นก็มีความยินดีเป็นส่วนใหญ่
เพราะเดิมทีนางเตรียมใจตายไว้แล้ว ไม่คิดว่าเสด็จพ่อจะทรงเมตตาถึงขั้นไว้ชีวิตนาง อีกทั้งยังให้ที่พักพิง และให้โอกาสนางได้เฝ้าดูฉุนเกอเอ๋อร์เติบโต
นางรู้สึกอิ่มใจกับผลลัพธ์ยิ่งนัก
พระชายาไท่จื่อดึงฉุนเกอเอ๋อร์ให้หันไปทางตำหนักเฉียนชิง และถวายความเคารพอย่างสุดซึ้ง
พานไห่ที่เป็นผู้นำราชโองการมาส่งเอ่ยแผ่วเบา “อย่าเพิ่งแตะต้องสิ่งของในตำหนักนี้ แต่ให้พาไท่…นายน้อยไปที่จิ้งหยวนก่อนเถิด”