ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 610 ซาบซึ้งในบุญคุณ
ยามฟ้าสาง พระชายาไท่จื่อ…ซึ่งตอนนี้ควรเรียกว่า หยางซื่อ มิได้นำสิ่งใดติดตัวไปขณะที่พาฉุนเกอเอ๋อร์ขึ้นรถม้าที่ไม่ดูสะดุดตา มุ่งหน้าไปยังจิ้งหยวน
มีคาถาอาคมปกคลุมอยู่ทั่วตำหนักบูรพา ต่อให้ข้าวของจะสูงค่าเพียงใด นางก็ไม่อยากแตะต้องให้เป็นมลทิน เพราะถึงอย่างไร ทรัพย์สมบัติล้ำค่าก็มิอาจเทียบฉุนเกอเอ๋อร์ของนางได้
บนรถม้า ฉุนเกอเอ๋อร์มองหยางซื่อด้วยตาแดงก่ำ “ท่านแม่ ท่านพ่อเป็นเช่นไรบ้าง”
แม้แต่เด็กตัวเล็กๆ ยังรับรู้ถึงความผิดปกติ
หยางซื่อก้มหน้ามองบุตรชาย “บิดาของเจ้าทำผิด เสด็จปู่จึงขังเขาไว้เพื่อให้เขาสำนึกผิด”
ฉุนเกอเอ๋อร์หลุบตาลงมองมือของตัว ไม่ส่งเสียงใด
หยางซื่อโอบฉุนเกอเอ๋อร์ “ฉุนเกอเอ๋อร์ชอบจิ้งหยวนมิใช่หรือ อีกเดี๋ยวก็จะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น แม่จะปั้นตุ๊กตาหิมะและเล่นขวางหิมะกับเจ้าและพี่ๆ ของเจ้าเอง…”
ไท่จื่อทำผิด นอกจากนางแล้ว นางในคนโปรดของเขา รวมถึงคนอื่นๆ ล้วนได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า สตรีในตงกงที่ถือว่าเป็นผู้หญิงของไท่จื่อได้รับโทษประหาร ฉะนั้นน้องสาวต่างมารดาของฉุนเกอเอ๋อร์อีกสองคนจึงตกอยู่ในความดูแลของหยางซื่อ
ฉุนเกอเอ๋อร์นิ่งเงียบเนิ่นนานก่อนจะเปรยตาขึ้นมองหยางซื่อ เด็กชายเม้มปากพลางถาม “ท่านแม่ ท่านพ่อทำผิดร้ายแรงแล้วจะต้องตายใช่หรือไม่”
ใบหน้าของหยางซื่อซีดลงเล็กน้อย “ฉุนเกอเอ๋อร์อย่าคิดมากไปเลย”
ฉุนเกอเอ๋อร์สั่นหัว “ลูกไม่ได้คิดมาก ท่านแม่ ลูกเข้าใจ…”
เข้าใจเรื่องใดนั้น ฉุนเกอเอ๋อร์ไม่ได้ขยายความ หยางซื่อน้ำตาร่วงประหนึ่งหยาดฝน
นางทำบาปทำกรรมอะไรไว้ บุตรชายของนางจึงต้องมาเข้าใจเรื่องพวกนี้
หยางซื่อกอดฉุนเกอเอ๋อร์แน่น หัวใจเจ็บปวดรวดร้าวราวกับถูกคมมีดทิ่มแทง
ฉุนเกอเอ๋อร์กะพริบตาใสซื่อกอดตอบ “ท่านแม่ อย่าร้องไห้ แค่ฉุนเกอเอ๋อร์มีท่านแม่ก็ดีใจแล้ว”
ในวินาทีนั้น นางรู้สึกขอบคุณใครบางคน
หากตอนนั้นพระชายาเยี่ยนอ๋องไม่ได้กล่าวให้นางฉุกคิด นางคงจะอยู่เฉยๆ อย่างเช่นที่ผ่านมา ไม่ได้เข้าหาเสด็จพ่ออย่างแข็งขันเช่นนั้น และเกรงว่าตอนนี้ผ้าขาวคลุมร่างที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ คงมีสำหรับนางด้วยผืนหนึ่ง
นางจะยังตายไม่ได้ นางไม่กล้าพอ เพราะหากนางตาย ฉุนเกอเอ๋อร์ก็ต้องกลายเป็นลูกกำพร้า
รถม้าแล่นไปท่ามกลางหมอกหนายามรุ่งสาง รอบข้างเงียบสงัด มีเพียงเสียงเกือกม้าและเสียงล้อที่เคลื่อนไป
หยางซื่อกล่าวแก่ฉุนเกอเอ๋อร์ด้วยความรู้สึกยินดีที่เจือด้วยความกังวล “ฉุนเกอเอ๋อร์ แม่หวังให้เจ้าเป็นคนดี เป็นคนใจกว้าง และหวังให้เจ้ามีสติปัญญามากพอที่จะปกป้องความใจดีและความใจกว้างของตน และที่สำคัญยังมีอีกคนที่เป็นผู้มีพระคุณของเราทั้งสอง…”
รถม้าเคลื่อนออกไปไกลขึ้นๆ แวดล้อมรอบข้างเริ่มกลับสู่ความสงบอีกครั้ง
แต่เมื่อฟ้าสว่าง สรรพสิ่งในราชสำนักก็เปลี่ยนไป
เมื่อคืนที่ผ่านมา ไท่จื่อก่อกบฏจึงถูกตัดสินประหารชีวิต พระชายาไท่จื่อและไท่ซุนถูกถอดยศเหลือเพียงสามัญชน และถูกขับของจากตำหนักบูรพา ข้าหลวงและนางกำนัลในตำหนักก็หนีไม่พ้นจากพระอาชญา เพียงแค่ชั่วข้ามคืน ตำหนักบูรพาก็หลงเหลือแต่ความว่างเปล่า
ขณะที่พานไห่กำลังอ่านราชโองการต่อหน้าเหล่าขุนนางทุกหมู่เหล่า หยางเต๋อกวง เสนาบดีกรมพิธีเป็นลมล้มพับไปเรียบร้อย
คนที่เหลือไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปช่วย ครั้นเห็นว่าพานไห่กำลังจะเดินจากไป ทั้งหมดก็รีบเข้าไปล้อม
“พานกงกง มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“จริงสิ พานกงกง จู่ๆ ไท่จื่อจะก่อกบฏได้อย่างไร”
“พานกงกง พรุ่งนี้ฝ่าบาทจะเสด็จว่าราชการเช้าที่ท้องพระโรงหรือไม่”
พานไห่ใบหน้าเคร่งขรึม สายตาเย็นชา น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเย็นชาดุจกัน “ทุกท่านอย่าเพิ่งถามอะไรเลยจะดีกว่า รออีกหน่อย เดี๋ยวฝ่าบาทก็คงเรียกท่านขุนนางทั้งหกกรมเข้าไปหารือ”
พานไห่กล่าวเสร็จก็เดินจากไป เหล่าขุนนางยังคงละล้าละลังไม่ยอมไปไหน
เรื่องใหญ่โตเพียงนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ฝ่าบาททรงจัดการตงกงจนเรี่ยมเร้เพื่อมิให้เรื่องนี้เล็ดลอดออกไป สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แล้วสรุปไท่จื่อก่อกบฏด้วยวิธีไหนกัน
ในสมองของขุนนางเต็มไปด้วยคำถาม ต่างก็อดทนเฝ้าคอยคำตอบ
หากไม่ได้คำตอบแม้แต่ข้อหนึ่ง พวกเขาคงไม่อาจทำใจกลับไปเฉยๆ ได้
แม้ว่าฮ่องเต้จะเป็นผู้ทรงเกียรติสูงสุดของประเทศ แต่การตัดสินประหารชีวิตไท่จื่อโดยมิได้ปรึกษาเหล่าเสนาบดีถือว่าเป็นการตัดสินใจทำโดยพลการ
“พวกนั้นยังไม่ไปกันอีกหรือ” จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่กำลังนั่งหลับตาทำสมาธิลืมตาถามเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าแสนคุ้นเคย
พานไห่รี่เข้ามานวดไหล่ให้จิ่งหมิงฮ่องเต้ “ฝ่าบาท พระองค์มิได้บรรทมเลยทั้งคืน ทรงพักผ่อนหน่อยไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“เรียกเหล่าบัณฑิตและเสนาบดีทั้งหกกรมให้มาที่ตำหนักหย่างซินก็แล้วกัน”
“ฝ่าบาท…” พานไห่ยังคงนิ่ง เพราะเกรงว่าร่างกายของจิ่งหมิงฮ่องเต้จะทรุดหนัก
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ้มด้วยความขมขื่น “หากมิอาจทำให้พวกเขารู้สึกวางใจ ข้าเองก็คงข่มตาหลับไม่ลงเช่นกัน ไปเถอะ”
เหล่าขุนนางที่ถูกเรียกเข้าเฝ้าพุ่งปราดไปที่ตำหนักหย่างซินโดยไม่รอช้า ซึ่งก็รวมไปถึงหยางเต๋อกวงที่เป็นลมไปก่อนหน้านี้ด้วย เห็นได้ชัดว่าคนรอบข้างพยายามรักษาระยะห่างจากเขา
วินาทีที่เห็นใบหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้ ทั้งหมดก็ผงะนิ่งไปในทันใด
แค่วันเดียว ฝ่าบาทดูแก่ลงอย่างเห็นได้ชัด
“มากันครบแล้วรึ” จิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดตามองไปรอบๆ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
ทั้งหมดชำเลืองไปที่ผู้สังเกตการณ์ซึ่งเป็นตัวแทนของราชวงศ์
ในยามนี้ เขาควรต้องออกตัวมายืนอยู่ข้างหน้า
ถึงแม้ผู้สังเกตการณ์จะเห็นท่าทีอิดโรยของจิ่งหมิงฮ่องเต้ แต่เขาก็ไม่ได้ปล่อยฮ่องเต้ไปพัก
เขากระแอมไอหนึ่งทีพลางถาม “ฝ่าบาท กระหม่อมขอล่วงเกินถามถึงสาเหตุที่ไท่จื่อต้องโทษประหารชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของทุกคนจริงจังขึ้นทันใด
หากฝ่าบาทมิอาจให้คำตอบที่สมเหตุสมผล พวกเขาก็ไม่อาจปล่อยพระองค์ไปง่ายๆ
การปลดไท่จื่อถึงสองครั้ง หนำซ้ำยังตัดสินโทษประหารองค์รัชทายาท ถือเป็นสิ่งที่ยากเกินจะรับไหวสำหรับแผ่นดินต้าโจว
จิ่งหมิงฮ่องเต้เงียบไปนานจนเหล่าขุนนางเข้าใจผิดว่าฮ่องเต้ไม่อาจตอบคำถามนี้ได้ แต่ฮ่องเต้ก็เอ่ยตอบในที่สุด “เขาใช้วิชามนต์ดำ”
ทั้งหมดตะลึงพรึงเพริด
จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวเคร่งขรึม “โรคหัวใจเฉียบพลันที่เกิดกับข้า แม้แต่หมอหลวงก็ไร้หนทางรักษา มีคนหนึ่งในตำหนักบูรพามาบอกข้าว่าไท่จื่อปลุกเสกหุ่นไม้ทำคุณไสย สุดท้ายแล้วได้มีการตรวจค้น ผลปรากฏว่าพบหุ่นไม้นั้นจารึกวันเกิดของข้าในกระถางดอกไม้ให้ห้องบรรทมของไท่ซื่อ…ไท่จื่อมีใจคิดกบฏ จึงไม่อาจละเว้นโทษ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวในขณะที่สายตาพิศมองเสนาบดีกรมพิธีการ
หยางเต๋อกวงค่อยๆ ทรุดลงกับพื้น
ที่แท้ก็ใช้วิชามนต์ดำ ไท่จื่อเสียสติไปแล้วหรือ
ทั้งหมดได้แต่ยืนอึ้ง
เดิมที ทั้งหมดคิดว่าจะหาเหตุผลมางัดง้างกับฮ่องเต้ แต่ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าไท่จื่อจะกล้าทำคุณไสยใส่ฮ่องเต้
จากประวัติศาสตร์ หากใครก็ตามที่ใช้วิชามนต์ดำ มิจำเป็นต้องเอ่ยถึงตัวคนทำ เพราะแม้แต่คนที่มีความเกี่ยวข้องเล็กๆ น้อยๆ ก็ถูกกำจัดจนสิ้นซากต่อให้ต้องคร่าชีวิตผู้คนนับหมื่นก็ตามที
ฮ่องเต้สั่งประหารไท่จื่อ และถอดยศพระชายาไท่จื่อและไท่ซุนเป็นสามัญชนก็นับว่าเมตตามากแล้ว
“ข้าอุตส่าห์ฝากความหวังไว้ที่ไท่จื่อ เมื่อรู้ว่าเขากล้าทำเรื่องอุกอาจอย่างการสังหารฮ่องเต้ผู้เป็นบิดาแท้ๆ ข้าเองก็ทุกข์ระทมเกินจะข่มตาหลับ หากอ้ายชิงทั้งหลายหมดเรื่องแล้วก็แยกย้ายกลับไปเถิด”
“กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางขอตัวกลับไปพร้อมความรู้สึกหนักอึ้ง
ขุนนางคนอื่นๆ ที่เฝ้ารอคำตอบอยู่ที่ด้านนอกล้อมวงเข้ามาถาม แต่คนกลุ่มนี้กลับเอาแต่ส่ายหน้าไม่พูดไม่จาแล้วจากไป
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยังไม่ได้พักผ่อน ทั้งยังเรียกเหล่าโอรสองค์อื่นๆ มาเข้าเฝ้า และอธิบายเรื่องทั้งหมด สุดท้ายสั่งเสียไว้ว่า “หวังว่าพวกเจ้าจะไม่ใช้โอกาสที่ไท่จื่อถูกปลดครั้งนี้มาทำเรื่องที่ตนเองจะต้องเสียใจในภายหลัง”
ทั้งหมดตอบรับเป็นเสียงเดียว “ลูกจะเชื่อฟังตามที่เสด็จพ่อตรัสสอนพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้พวกเขาออกไป
……
ฉีอ๋องกลับไปถึงจวนตัวเอง ปิดประตู และถึงระเบิดหัวเราะออกมายกใหญ่ “ในที่สุด ไท่จื่อก็คิดวิธีใช้วิชามนต์มาทำร้ายคนอื่นจนได้ เก่งจริงๆ”
พระชายาฉีอ๋องทราบเรื่องไท่จื่อ ใจของนางเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ “ท่านอ๋อง แล้วนางในที่ยุให้ไท่จื่อปลุกเสกหุ่นไม้เล่าเพคะ…”
“เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับข้า”
“เรื่องนี้แลดูบังเอิญพิลึก…”
ฉีอ๋องหัวเราะเย็นชา “คนที่อยากให้ไท่จื่อตายมีอยู่ถมเถ ไม่แน่นางคงถูกใครสักคนหลอกใช้ก็เป็นได้ ตราบใดที่เสด็จพ่อมิได้ติดใจเอาความเรื่องนี้ก็ไม่มีทางสืบสาวมาถึงพวกเราอย่างแน่นอน”