ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 618 ทรัพย์ส่วนพระองค์
อวี้จิ่นชะงักงัน คำสั่งของจิ่งหมิงฮ่องเต้วนเวียนอยู่ในหัว ‘ปรับเบี้ยหวัดครึ่งปี!’
ส่วนคำสั่งให้กลับไปนั่งสำนึกความผิดมิได้เข้าไปในโสตประสาทเลยสักนิด
เขายินดีที่จะปิดประตูจวนใช้ชีวิตลำพังอยู่กับภรรยาและบุตรสาวอยู่แล้ว คร้านจะวุ่นวายกับเรื่องยุ่งเหยิงในวังเต็มทน ฉะนั้นคำสั่งที่บอกว่าให้กลับไปนั่งสำนึกผิดที่จวนจึงมิได้ดูเหมือนเป็นการลงโทษ
แต่จะปรับเบี้ยหวัดครึ่งปีไม่ได้เด็ดขาด เขาเพิ่งจะโดนอาซื่อหัวเราะเยาะอยู่หยกๆ
เมื่อเห็นว่าอวี้จิ่นยังคงเงียบไม่ขยับตัว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ปั้นหน้าขรึมพลางถามอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไมยังไม่ไปอีก หรือว่าเจ้ามีอะไรจะค้านข้างั้นหรือ”
อวี้จิ่นเงยหน้ามองจิ่งหมิงฮ่องเต้ พร้อมส่งยิ้มจริงใจ
เขาเกิดมาหน้าตาดี คิ้วเข้มตาคมเป็นประกาย เพียงคลี่ยิ้มก็ชวนให้จิตใจเบิกบาน
จิ่งหมิงฮ่องเต้คล้ายกับรู้ตัวจึงถามดุดัน “ยิ้มอะไร”
อวี้จิ่นไม่มีวี่แววของความหวาดกลัว เขากล่าวตรงไปตรงมา “ลูกมีความเห็นเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
พานไห่แอบส่งสายตาแห่งความนับถือ
เขาเห็นไท่จื่อมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์จนกระทั่งได้รับการสถาปนา เขายังไม่เคยเห็นไท่จื่อต่อปากต่อคำกับฝ่าบาทเช่นนี้มาก่อน มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่ไท่จื่อกล้าขัดคำสั่งและทำเรื่องโง่เขลา และครั้งนั้นเขาได้พาตัวเองไปสู่ทางแห่งความมรณา
เยี่ยนอ๋องมิได้เติบโตในวังหลวง จึงไม่เข้าใจว่าฮ่องเต้คือผู้ทรงยิ่งใหญ่เหนือสิ่งทั้งปวง
หากขุนนางบางคนทราบความคิดของพานไห่ เขาคงจะถ่มน้ำลายใส่
พวกเขาก็มิได้เติบโตในวังหลวง แต่มีใครบ้างที่ไม่ทราบว่าฮ่องเต้ทรงยิ่งใหญ่เพียงใด เยี่ยนอ๋องก็แค่จองหองไม่กลัวดินกลัวฟ้า อย่าได้ใช้เหตุผลว่าเติบโตจากนอกวังอีกเลย
จิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดตามองไปที่อวี้จิ่นพร้อมเอ่ยเสียงเข้ม “พูดมา”
เขาเองก็อยากจะรู้ว่าไอ้ลูกตัวดีจะพูดอะไร
อวี้จิ่นเผยยิ้มซาบซึ้ง เขากล่าวอย่างระมัดระวัง “เหตุใดเสด็จพ่อไม่ลงโทษให้ลูกสำนึกความผิดอยู่ในจวนให้นานอีกหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
“หืม?” จิ่งหมิงฮ่องเต้เลิกคิ้วฉงน
นี่ไม่ชอบที่โทษเบาเกินไปงั้นหรือ
เมื่อเห็นว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้มิได้แลดูมีอารมณ์โกรธขึ้ง อวี้จิ่นจึงกล่าวด้วยท่าทีตะบึงตะบอน “แต่ไม่หักเบี้ยหวัดแล้วมิได้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ห้ะ?” หนนี้เสียงขึ้นจมูกของจิ่งหมิงฮ่องเต้ดังกว่าเก่า ดูเหมือนว่าจะเจือด้วยอารมณ์โกรธ
อวี้จิ่นรีบอธิบาย “คราวก่อนที่เสด็จพ่อหักเบี้ยหวัดหนึ่งปี เพิ่งจะผ่านไปไม่นาน เบี้ยหวัดที่กำลังจะจัดสรรมาในครั้งถัดไปยังมาไม่ถึงเลยพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าลูกตัวดีก็โดนปรับเบี้ยหวัดไปหมาดๆ
“ช่วงนี้เจ้าอัตคัดงั้นหรือ”
อวี้จิ่นแอบกลอกตา
ดู๊ดูเสด็จพ่อตรัส ใครมันจะไม่อัตคัดไหวเล่า
เขามิได้มีเสด็จแม่คอยดูแล ที่ช่วยสนับสนุนทุนทรัพย์อย่างใครเขา หลายปีที่ผ่านมาเขาได้รับของกำนัลมากมายก็จริง แต่ตั้งแต่มีจวน มีเมีย มีลูก เงินไปไหลออกอย่างกับน้ำ หากไม่มีเงินทุนที่เก็บหอมรอบริบจากที่ทางใต้เพื่อจะแต่งงาน ป่านนี้คงได้กินแกลบไปแล้ว
เมื่อคิดเช่นนี้ สีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจของอวี้จิ่นจึงดูสมจริงยิ่งนัก “เสด็จพ่ออาจจะไม่ทราบ หนึ่งปีที่ผ่านมาลูกต้องพึ่งพาสินเดิมของชายา เงินเบี้ยหวัดของเอ้อร์หนิว และเบี้ยเลี้ยงของบุตรสาวมาประทังชีวิต…”
เขากล่าวพลางถอดถอนหายใจ “ลูกเป็นถึงองค์ชาย เป็นโอรสของเสด็จพ่อ แต่กลายเป็นว่าต้องให้ภรรยา บุตร และสุนัขตัวหนึ่งเลี้ยงดู…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่อาจทนฟังอีกต่อไปได้
ไอ้ลูกคนนี้พูดจามีเหตุผล เป็นถึงองค์ชายแต่ต้องใช้สินเดิมของภรรยา และพึ่งพาเงินทองของบุตรสาวและยศของเอ้อร์หนิว ช่างน่าอนาถยิ่งนัก หากคิดดูให้ดี คนจะมองฮ่องเต้อย่างไร
เขาเป็นถึงประมุขของประเทศ เหตุใดบุตรชายถึงได้อาภัพเพียงนี้
“แล้วการงานของเจ้า นอกจากเงินเบี้ยหวัดจากราชสำนักแล้ว ไม่มีรายได้ทางอื่นเลยรึ”
อวี้จิ่นถอนหายใจ “ลูกเพิ่งจะมีจวนเป็นของตัวเองได้ไม่นาน แต่งภรรยา และมีบุตรต้องใช้เงินจำนวนมากพ่ะย่ะค่ะ มิได้เหมือนพี่น้องคนอื่นๆ ที่มีจวนประกอบกิจการกันมายาวนานจนมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นด้วยว่า เรื่องนี้คงเอาเจ้าเจ็ดไปเปรียบกับพี่น้องคนอื่นๆ ไม่ได้
“ลูกมิควรทำให้เสด็จพ่อต้องลำบากพระทัย หากเสด็จพ่อจะปรับเบี้ยหวัดก็ทำเถิดพ่ะย่ะค่ะ อย่างมากก็แค่ถูกชายาหัวเราะเยาะนิดๆ หน่อยๆ พ่ะย่ะค่ะ…”
“ชายาของเจ้าหัวเราะเยาะเจ้างั้นหรือ”
อวี้จิ่นกล่าวตรงไปตรงมาด้วยความนอบน้อม “ใช่พ่ะย่ะค่ะ ตอนแรกลูกมิได้ติดใจอะไรพ่ะย่ะค่ะ แต่พระชายาเคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ครั้งหนึ่ง ลูกเลยรู้สึกว่าตัวเองกำลังเกาะสตรีพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกกระดากอาย
การจะลงโทษโอรสของตัวเองจะหนักหนาแค่ไหนก็มิได้เป็นปัญหา แต่การถูกสะใภ้หัวเราะเยาะ เขาเองก็พลอยเสียหน้าไปด้วย
“เอาเถอะ คราวนี้ก็ไม่ต้องปรับเบี้ยหวัดก็แล้วกัน เจ้ากลับไปนั่งสำนึกผิดได้แล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลังเลชั่วอึดใจพลางบอก “พานไห่ นำเงินจากคลังส่วนตัวของข้าห้าร้อย…ไม่ หนึ่งพันตำลึงให้เยี่ยนอ๋องนำกลับไปด้วย”
พานไห่รู้สึกนับถือในตัวอวี้จิ่นยิ่งนัก
อะไรกัน สุดท้ายนอกจากเยี่ยนอ๋องจะไม่ถูกลงโทษแล้ว ยังได้เงินจากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของฝ่าบาทไปอีกตั้งพันตำลึง
เมื่ออวี้จิ่นกลับไปแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้ถึงได้มีเวลาใคร่ครวญกับตัวเอง ใจอยากจะหันไปถามพานไห่ว่านี่เขากำลังถูกเจ้าเจ็ดหลอกหรือไม่ แต่รู้สึกขายหน้าเกินกว่าจะพูดออกไป สุดท้ายจึงไปนั่งอ่านบทละครเงียบๆ
……
อวี้จิ่นหอบเงินพันตำลึงกลับไปที่จวนอย่างมีความสุข
“เสด็จพ่อเรียกเจ้าเข้าวังไปทำไมรึ” อวี้จิ่นถูกเรียกเข้าวังกะทันหัน เจียงซื่อจึงอดเป็นห่วงไม่ได้
เรื่องของไท่จื่อเพิ่งจะผ่านไปไม่นาน อารมณ์ของฝ่าบาทยังไม่สงบนิ่ง อาจิ่นเองก็เป็นพวกไม่ยอมคน หากไปทำให้เสด็จพ่อทรงพระพิโรธ คงจะมีเรื่องยุ่งยากตามมา
“ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อันใด แค่กำชับให้ข้าอยู่อย่างสงบเสงี่ยม สั่งให้พวกเราปิดประตูจวนให้แน่นสนิท ไม่ต้องไปสนใจพวกเจ้าสี่”
เจียงซื่อเม้มปากพลางบอก “การไม่เข้าไปยุ่งก็ดีแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนฉีอ๋องกำลังได้เปรียบ ข้าไม่อาจทนดูฉีอ๋องรับตำแหน่งองค์รัชทายาทหน้าตาเฉย”
นางเคยบอกแล้วว่า ไท่จื่อของต้าโจวจะเป็นใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ฉีอ๋อง
เมื่อชาติที่แล้วพระชายาฉีอ๋องหมายจะเอาชีวิตนาง หากนางเฝ้าดูอีกฝ่ายขึ้นเป็นพระชายาไท่จื่อ การเกิดใหม่หนนี้ของนางคงเสียเปล่า
ให้เลิกคิดเลิกแค้นงั้นหรือ รอให้กำจัดคู่แค้นให้ได้ก่อน เดี๋ยวก็เลิกคิดไปเอง หากเลือกปล่อยวางตอนนี้ คงทำร้ายทั้งสุขภาพจิตและสวัสดิภาพของตนเอง
อวี้จิ่นหัวเราะ “ไท่จื่อเพิ่งจะเสียชีวิตไปไม่นาน ตอนนี้เสด็จพ่อคงยังไม่มีความคิดจะแต่งตั้งองค์รัชทายาท หากใครออกตัวแรง หายนะก็จะตกอยู่บนบ่าของคนผู้นั้น ตอนนี้เจ้าสี่คงคิดว่าตัวเองมีโอกาสมากที่สุด แต่อีกไม่นานคงมีวันที่เจ้าสี่จะต้องหลั่งน้ำตา อาซื่อเจ้าวางใจได้ หากเสด็จพ่อตกลงใจไม่ได้จนต้องเลือกเจ้าสี่ ถึงตอนนั้นเราค่อยเข้าไปขวาง”
แค่กๆ จริงๆ ตอนนี้เขาก็อยากเข้าไปจัดการเจ้าสี่ เพียงแต่เพิ่งถูกเสด็จพ่อลงโทษมาหมาดๆ
แต่ก็แน่นอนว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ไม่ควรเล่าให้อาซื่อต้องกังวลใจ แต่ว่ามีอีกเรื่องที่ต้องบอกให้อาซื่อรับรู้
“อาซื่อ ข้าเข้าวังไปคราวนี้ ได้เงินกลับมาด้วยหนึ่งพันตำลึง”
เจียงซื่อผงะไปในทันใด “หนึ่งพันตำลึงงั้นหรือ เจ้าไปได้มาจากไหน!”
“เสด็จพ่อพระราชทานให้น่ะซิ ช่างเถอะ เจ้าเอาเงินนี้ไปเก็บไว้ ไม่แน่อนาคตเสด็จพ่ออาจจะพระราชทานมามากกว่านี้ก็เป็นได้”
แม้ว่าเจียงซื่อจะไม่ได้สนใจเงินพันตำลึง แต่ถึงอย่างไรการพระราชทานของกำนัลย่อมดีกว่าการถูกลงโทษ นางยิ้มพลางส่งเงินให้อาเฉี่ยวนำไปเก็บไว้ในคลัง
ตามคำบอกเล่าของอวี้จิ่น จิ่งหมิงฮ่องเต้มิได้ยกเรื่องสถาปนาองค์รัชทายาทขึ้นมาพูด ดูท่าแล้วคงจะเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของเหล่าองค์ชายเสียก่อน
เหล่าต้าไม่มีสิทธิ์ในการแข่งขันครั้งนี้ ฉะนั้นตัดออกไปได้เลย
เจ้าห้าที่เป็นจวิ้นอ๋องยังมีปากกลืนอาหารอยู่ได้ก็นับว่าประเสริฐมากแล้ว ยังจะหวังอะไรอีก
เจ้าเจ็ดที่เก็บตัวอยู่ในจวนทำให้เขารู้สึกสบายใจ
ส่วนเจ้าแปด ข้ามไป ไม่ต้องไปพูดถึง
เจ้าสี่ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวมากนัก แต่เหล่าขุนนางที่สุขสบายด้วยเงินเดือนของฮ่องเต้กลับมีท่าทีเอนเอียงไปทางเขา มันหมายความว่าอย่างไร
แล้วก็ยังมีเจ้าหก ดูเหมือนว่าหมู่นี้จะเข้ามาเยี่ยมมารดาในวังถี่กว่าเดิมมากทีเดียว
จิ่งหมิงฮ่องเต้แอบจดบันทึกลับ และปล่อยให้วันเวลาเคลื่อนผ่านไป
อยู่มาวันหนึ่ง มีข่าวร้ายส่งมาจากทางใต้