ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 632 กลิ่นหอมพิสดาร
สายลมระหว่างทางกลับเมืองหลวงนิ่งสงบ อาหมานนั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกับเจียงซื่อด้วยความรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ใช้ทักษะฝีมือการต่อสู้ของตนเอง
นายหญิงบอกเองว่าพระชายาฉีอ๋องมีแผนการชั่วร้าย แต่นี่ก็กำลังจะกลับเมืองหลวงอยู่แล้ว ยังไม่เห็นลงมือสักที
หากพระชายาฉีอ๋องไม่ได้ทำอะไร นางออกมากับนายหญิงคราวนี้ก็เสียเที่ยวน่ะสิ แค่มากินอาหารเจที่วัดไป๋อวิ๋นแค่มื้อเดียว น่าแย่งอาเฉี่ยวตรงไหน
อาหมานหรี่ตาพลางคิด พร้อมถอนหายใจเบาๆ
ในทันใดนั้น จู่ๆ รถม้าก็หยุดชะงักอย่างกะทันหันทำให้สาวรับใช้ถลาตัวไปด้านหน้า
นางตอบสนองอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งเกี่ยวกระหวัดผนังรถเอาไว้ ส่วนอีกข้างเอื้อมไปประคองตัวเจียงซื่อ “นายหญิง…”
ดูเหมือนเจียงซื่อจะเห็นความตื่นเต้นในสายตาของสาวรับใช้
“รอดูก่อน” เจียงซื่อเอ่ยแผ่วเบา
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เสียงคนรถก็ดังขึ้นจากด้านนอก “พระชายา รถม้าเสียพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงซื่อลงจากรถโดยมีอาหมานคอยช่วยพยุง ล้อรถบิดเบี้ยวเป็นเหตุให้รถม้าวิ่งต่อไม่ได้
“ตรงนี้พังพ่ะย่ะค่ะ คงต้องใช้เวลาซ่อมอีกสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ” คนรถชี้ไปที่จุดเกิดเหตุ
“ให้ข้าดูซิ…” อาหมานเตรียมจะพุ่งเข้าไปทว่าถูกเจียงซื่อรั้งตัวไว้เสียก่อน
“เช่นนั้นเจ้าก็ซ่อมเถอะ แล้วต้องใช้เวลานานเท่าใด” เจียงซื่อเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนสุภาพ
คนรถทำหน้าเหยเก “มาเสียเอาตรงนี้ เกรงว่าคงจะต้องใช้เวลาพักใหญ่พ่ะย่ะค่ะ…”
ทันใด เสียงนุ่มนวลดังลอยมา “น้องสะใภ้เจ็ด มีอะไรหรือ”
เจียงซื่อได้ยินจึงหันไปหาต้นเสียง และพบกับแววตาเป็นห่วงเป็นใยของพระชายาฉีอ๋อง นางลอบหัวเราะเยาะในใจ พวกคนชั่วนี่ไม่รู้จักคิดหาวิธีใหม่ๆ เสียบ้าง จะยุคสมัยไหนก็ยังลงมือบนรถม้าเหมือนเดิม
แต่เพราะเป็นเช่นนี้ นางถึงได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า เมื่อชาติก่อนเหตุการณ์คราวนั้นก็เกิดบนรถม้าเช่นเดียวกัน
มีสิ่งใดให้ต้องกลัว
นางหันไปมองรถม้าที่จอดห่างออกไปไม่ไกล แล้วริมฝีปากของนางก็โค้งเล็กน้อย
นางเป็นคนไม่ระย่อต่อสิ่งใด ยิ่งนางรู้สึกกลัว นางยิ่งอยากเอาชนะ หรือต่อให้ต้องกลัวจนตัวตาย นางก็จะไม่ยอมถอย
“รถม้าเสียเพคะ” เจียงซื่อตอบคำของพระชายาฉีอ๋องด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
พระชายาฉีอ๋องได้ฟังดังนั้น ปากของนางก็ผุดยิ้มอย่างช่วยไม่ได้
คำพูดประโยคนั้นกำลังจะทำให้พระชายาเยี่ยนอ๋องติดกับอย่างไม่ต้องสงสัย
เจียงซื่อเฝ้าสังเกตปฏิกิริยาของพระชายาฉีอ๋อง และยิ้มออกมาในทำนองเดียวกัน
ใครจะเป็นผู้ล่า และใครจะเป็นผู้ถูกล่า น่าเสียดายที่พระชายาฉีอ๋องโง่งมเกินกว่าจะเข้าใจ
แต่ไม่เป็นไร เพราะสุดท้ายปลายทางนางก็คงได้รู้เอง
พระชายาฉีอ๋องพิศมองไปที่รถม้าหลายครั้งก่อนจะส่งยิ้มพลางบอก “น้องสะใภ้เจ็ด ไม่รู้ว่ารถจะซ่อมเสร็จเมื่อไหร่ เราอย่ามัวรอเช่นนี้เลย หากเจ้ามิได้รังเกียจก็ไปนั่งรถม้าของข้าเถิด”
เจียงซื่อทำทีลังเล
พระชายาฉีอ๋องจึงโน้มน้าวต่อ “น้องสะใภ้เจ็ด อากาศเย็นถึงเพียงนี้ พวกเราอย่ายืนตากลมอยู่ตรงนี้เลยจะดีกว่า ในรถม้าของข้ากว้างขวาง นั่งสองคนได้สบายๆ อีกอย่างเจ้าจะได้รีบกลับไปหาบุตรสาวของเจ้า…”
คล้ายกับว่าเจียงซื่อจะคล้อยตามไปกับคำชักชวนนั้น นางผงกศีรษะเล็กน้อย
อาหมานประหม่าจึงเอ่ยแผ่วเบา “นายหญิง…”
เจียงซื่อส่งสายตาไปที่สาวรับใช้เป็นสัญญาณปรามไม่ให้นางออกความเห็น
พระชายาฉีอ๋องแสร้งหัวร่อ “คงต้องลำบากบ่าวรับใช้ของเจ้าแล้ว เพราะคงต้องให้นางเดินเท้าไปพร้อมกับบ่าวของข้า”
โดยปกติแล้วรถม้าคันหนึ่งเพียงพอสำหรับผู้เป็นนายและหญิงรับใช้ แต่เมื่อเจียงซื่อและพระชายาฉีอ๋องต้องโดยสารรถม้าคันเดียวกัน การจะให้หญิงรับใช้นั่งไปด้วยเกรงว่าจะแออัดเกินไป
เจียงซื่อชำเลืองมองอาหมานพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “บ่าวรับใช้ไม่ลำบากหรอกเพคะ”
พระชายาฉีอ๋องได้ฟังเช่นนั้น ดวงตาก็ขับประกายลุกวาว นางลอบถอนหายใจแต่เพียงในใจ
โชคดีที่พระชายาเยี่ยนอ๋องตอบตกลง ทีแรกนางก็ใจตุ้มๆ ต่อมๆ กลัวว่านางจะเลือกเดินเท้ามากกว่าจะโดยสารรถม้าคันเดียวกับนาง
เมื่อเห็นเจียงซื่อขึ้นรถม้าตามพระชายาฉีอ๋องไป อาหมานก็ร้องเรียกอีกครั้ง “นายหญิง…”
นี่มันเรื่องอะไรกัน นายหญิงกำลังจะนั่งรถม้าไปกับคนชั่วอย่างพระชายาฉีอ๋อง ส่วนนางก็ได้แต่เดินตามไป หากเกิดอันตรายกับนายหญิง นางจะช่วยทันได้อย่างไร
เจียงซื่อมองหน้าอาหมานพร้อมดึงหน้าตึง “จำที่ข้ากำชับมิได้หรือ ออกมาข้างนอก กฎระเบียบสำคัญที่สุด”
อาหมานระลึกถึงคำที่เจียงซื่อบอกระหว่างทางมา นางจึงกลั้นใจตอบรับเสียงเบา “สิ่งที่เหนียงเหนียงตรัสสอน บ่าวจะจำไว้เพคะ”
เจียงซื่อขึ้นไปบนรถม้า นางสอดส่ายสายตาสำรวจทั่วคันรถ
บนรถม้าละม้ายคล้ายกับภาพในความทรงจำของนาง การตกแต่งภายในแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย
เรื่องนี้เข้าใจได้ไม่ยาก ในเมื่อสภาวะการเงินของพระชายาฉีอ๋องอัตคัดออกปานนี้ นางจึงต้องใช้รถม้าคันเดิมเป็นเวลาหลายปี
เจียงซื่อครุ่นคิดแล้วรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนใจร้าย แต่ความรู้สึกนั้นกลับทำให้นางเป็นสุขและสบายใจอย่างยิ่งยวด
รถม้าโคลงเคลงเคลื่อนออกจากที่
“น้องสะใภ้เจ็ดอยากทานอะไรหน่อยไหม” พระชายาฉีอ๋องเอ่ยถาม
เจียงซื่อกวาดตามองกล่องผลไม้แห้งหลายกล่องบนโต๊ะตัวเล็ก พลางเอ่ยราบเรียบ “ขอบพระทัยพี่สะใภ้สี่ แต่หม่อมฉันไม่ชินกับการทานอาหารบนรถเพคะ”
ในชาติที่แล้ว ตอนที่นางนั่งรถม้ากับพระชายาฉีอ๋อง นางก็ไม่ได้ทานอะไรบนรถคันนั้น สิ่งที่ทำให้ร่างกายของนางไร้เรี่ยวแรงจนไม่สามารถเอาชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนั้นมิใช่อาหาร แต่เป็น…
เจียงซื่อคิดพลางสูดลมเข้าปอด สายตาสบเข้ากับลูกตุ้มใส่กำยานที่ห้อยอยู่ที่ผนังรถม้า
กลิ่นอวลไอบางเบาลอยออกมาขณะที่ลูกตุ้มแกว่งส่ายไปตามการเคลื่อนไหวของรถ
นางไม่ทราบว่านั่นคือกลิ่นอะไร รู้แต่เพียงว่าเป็นกลิ่นหอม ขนาดคนที่ไวต่อกลิ่นอย่างเจียงซื่อยังรู้สึกว่านี้เป็นกลิ่นหายาก
เมื่อชาติก่อน นางเคยถามว่านี้คือกลิ่นอะไร พระชายาฉีอ๋องอธิบายว่า มันคือกลิ่นเครื่องหอมจากต่างแดน ซึ่งเป็นของหายาก แต่หากเจียงซื่อชื่นชอบ เมื่อกลับไปถึงเมืองหลวง นางจะให้คนนำไปมอบให้
“นี่คือกลิ่นของอะไรหรือเพคะ หอมมากทีเดียว” เจียงซื่อคิดแล้วจึงเอ่ยถาม
พระชายาฉีอ๋องชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะคลี่ยิ้ม “เป็นกลิ่นเครื่องหอมจากต่างแดน เป็นของหายาก แต่หากน้องสะใภ้เจ็ดชื่อชอบ กลับไปแล้วข้าจะให้คนนำไปให้เจ้าที่จวน”
เจียงซื่อผุดยิ้มตอบรับ “เครื่องหอมหายากเช่นนี้ พี่สะใภ้สี่เก็บไว้ใช้เถิดเพคะ โดยปกติแล้วหม่อมฉันก็มิได้ใช้ข้าวของประเภทนี้เท่าไหร่ แค่สงสัยเลยถามดูเพคะ”
พระชายาฉีอ๋องลอบถอนหายใจแผ่วเบา นางคลายหมัดที่กำไว้แน่น
จากนิสัยของสะใภ้เจียง นางคิดว่าจะถูกจับได้เสียแล้ว
เครื่องหอมนั้นเป็นของหายากที่ได้มาจากต่างแดนจริงตามที่บอก แต่เมื่อนำไปผสมกับสิ่งที่ทำให้กล้ามเนื้อของมนุษย์อ่อนแรง เมื่อสูดดมเข้าไป มันจะค่อยๆ รุกล้ำเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อ แต่หากดื่มยากันพิษไว้ล่วงหน้า กลิ่นนี้ก็จะไม่มีผลต่อร่างกายของคนๆ นั้น
พระชายาฉีอ๋องจับเวลาในใจรอให้เจียงซื่อเริ่มมีอาการเสียก่อน
ฝ่ายเจียงซื่อเองก็กำลังจับเวลาเช่นกัน
ในเมื่อนางจะแสดงละคร ก็ต้องแสดงให้สมจริง การแสดงร่วมกับพระชายาฉีอ๋องจะได้ออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ
เมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลา เจียงซื่อก็ค่อยๆ เอนร่างพิงกับผนังรถ ขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “ท่านพี่สะใภ้สี่ รบกวนช่วยเปิดม่านหน่อยได้ไหมเพคะ หม่อมฉันรู้สึกหายใจไม่ค่อยสะดวกเลยเพคะ”
เจียงซื่อเห็นประกายแววตาและรอยยิ้มของพระชายาฉีอ๋องที่แปรเปลี่ยนเป็นความลุ่มลึก
“น้องสะใภ้สี่หายใจไม่ออกอย่างนั้นหรือ”
“อื้อ”
“ได้ งั้นข้าจะแง้มม่านให้ลมเข้าหน่อยก็แล้วกัน” น้ำเสียงของพระชายาฉีอ๋องแปลกพิลึก นางใช้ปลายนิ้วเลิกม่านขึ้นเล็กน้อยพร้อมกระแอมกระไอ
เจียงซื่อที่นั่งพิงผนังรถดูอ่อนแรงเต็มทีประหนึ่งไม้ต้นใหญ่ไร้เรี่ยวแรงยืนหยัดต้านลม
ในวินาทีนั้น จู่ๆ ม้าที่ลากรถก็ควบตะบึงอย่างกะทันหัน