ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 636 เจินซื่อเฉิงเข้าวัง
เมื่อได้ฟังคำให้การจากเจียงซื่อก็พอจะทราบได้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
รถม้าขอจวนอ๋องมิใช่รถม้าบุโรทั่งที่จะเสียได้ง่ายๆ ในจุดนี้ว่าน่าแปลกแล้ว แต่สิ่งที่น่าแปลกว่านั้นอีกคือ รถม้าอีกคันที่ต้องโดยสารดันมาเกิดเหตุการณ์ม้าพยศในขณะที่พระชายาฉีอ๋องและพระชายาเยี่ยนอ๋องไม่สามารถขยับตัวจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด…
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ฟังแล้วสมองก็รีดเค้นความคิดสุดฤทธิ์ เขาหันไปถามฮองเฮา “แล้วสะใภ้สี่เป็นเช่นไรบ้าง”
สีหน้าฮองเฮาขรึมขึ้นทันใด “ยังไม่ได้สติเลยเพคะ…”
“แล้วอาการสาหัสหรือไม่”
ฮองเฮาขมวดคิ้วพลางตอบ “หม่อมฉันสั่งให้หมัวมัวไปตรวจสอบดูแล้วเห็นว่าตามร่างกายมีบาดแผลเล็กน้อย เพียงแต่…”
“เพียงแต่อะไร” จิ่งหมิงฮ่องเต้สังเกตเห็นความผิดปกติ
ฮองเฮาถอดถอนใจ “บนใบหน้าของนางมีรอยแผลขนาดใหญ่ซึ่งกินพื้นที่ไปถึงแปดในสิบของใบหน้าเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขยับคิ้ว
การเสียโฉมถือเป็นเรื่องใหญ่ของเหล่าสตรีก็จริง แต่ในความคิดของจิ่งหมิงฮ่องเต้ในตอนนี้ไม่มีเรื่องใดสำคัญไปกว่าการตามหาความจริง
“แล้วเหตุใดถึงยังไม่ได้สติอีกเล่า”
ฮองเฮาส่ายหัว “หมอหลวงเองก็ยังสืบหาสาเหตุไม่ได้เลยเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันไปมองเจียงซื่ออีกครั้ง “สะใภ้เจ็ด เจ้าดูเหมือนมีความเห็น”
ในเมื่อสะใภ้เจ็ดเข้ามาแจ้งเรื่องนี้แก่ฮ่องเต้และฮองเฮาก็แสดงว่านางกำลังคิดจะทำอะไรบางอย่าง
“หม่อมฉันคิดว่าม้าพยศมิใช่อุบัติเหตุเพคะ มีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นฝีมือของใครบางคนเพคะ แต่ว่านี่เป็นเพียงสิ่งที่หม่อมฉันคาดเดาเองเท่านั้น ความจริงเป็นเช่นไรคงต้องหาคำตอบกันต่อไปเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้าหงึกหงัก “เรื่องนี้ต้องสืบหาความจริงให้ได้! พานไห่…”
“บ่าวอยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“ส่งราชโองการไป ข้าขอสั่งให้เจินซื่อเฉิง ผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครสืบหาความจริงเกี่ยวกับคดีม้าพยศของพระชายาทั้งสองพระองค์”
ในกรณีของราชวงศ์ หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้จะต้องให้สายตรวจลับเป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบ มิใช่มอบหมายให้ศาลาว่าการพระนคร แต่สถานการณ์ของศาลาว่าการในขณะนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ในเมื่อใต้เท้าเจินทราบเรื่องที่ไท่จื่อสวมเขาให้เขาแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ไม่สนใจหลักปฏิบัติใดๆ อีกแล้ว
เมื่อเทียบความสามารถในการสืบคดีของหน่วยสายตรวจลับ จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกวางใจในฝีมือของเจินซื่อเฉิงมากกว่า
ครั้นจิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวเสร็จ เจียงซื่อก็รีบแจ้งทันควัน “เสด็จพ่อ ใต้เท้าเจินน่าจะเริ่มสืบหาความจริงแล้วเพคะ”
“หื้ม?”
“ระหว่างทางที่กลับมาที่เมืองหลวง หม่อมฉันสั่งให้องครักษ์ไปแจ้งความที่ศาลาว่าการพระนคร และได้นำตัวคนขับรถของจวนฉีอ๋องไปส่งที่นั่นเพคะ”
ในขณะที่ฟังสิ่งที่เจียงซื่อพูด ทั้งฮ่องเต้และฮองเฮาก็ดึงมุมปากพร้อมกัน
พระชายาเยี่ยนอ๋องนี่ช่างรวดเร็วทันใจดีเหลือเกิน
“พานไห่ ส่งคนสองคนไปดูสถานการณ์ที่ศาลาว่าการพระนครก็แล้วกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันกลับไปหาเจียงซื่อ พลางกล่าวเอ่ยด้วยน้ำเสียงสับสน “สะใภ้เจ็ด คราวหน้าคราวหลังหากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก…”
เดิมทีเขาตั้งใจจะบอกว่า อย่าเพิ่งรีบแจ้งความ แต่เมื่อพูดไปได้เพียงครึ่งค่อนประโยคก็เปลี่ยนใจ
“เจินซื่อเฉิงเป็นคนที่ไว้ใจได้ หากมีเรื่องอะไรก็ไปหาเขานั่นแหละถูกแล้ว”
ช่างเถิด จะลูกชายและลูกสะใภ้ก็เป็นเหมือนๆ กัน แล้วเขาจะทำอะไรได้ อีกอย่างใต้เท้าเจินจะรู้เรื่องนี้เพิ่มอีกเรื่องจะเป็นไรไป
เจียงซื่อเผยรอยยิ้มในตาพลางย่อตัว “ลูกทราบแล้วเพคะ”
ผ่านไปครู่ใหญ่ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “สะใภ้เจ็ด เหตุใดเจ้าถึงเชื่อว่าคนขับรถเป็นคนทำ”
เจียงซื่อคลี่ยิ้ม “หม่อมฉันไม่กล้าเดาสุ่มสี่สุ่มห้าหรอกเพคะ”
“พูดมาเถิดไม่เป็นไร” จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวเนิบนาบ
เจียงซื่อนิ่งไปชั่วอึดใจ อาการของนางยังคงสงบนิ่ง “ความจริงแล้วก็มิใช่การคาดเดาทั้งหมด เพราะระหว่างทางรถม้าของหม่อมฉันเกิดชำรุด พี่สะใภ้สี่จึงชวนหม่อมฉันไปนั่งรถม้าของพระนาง แต่แล้วหลังจากนั้นรถม้าก็เสียการควบคุม อีกทั้งร่างกายของหม่อมฉันและท่านพี่สะใภ้สี่ก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้ แต่เพราะบุญยังมีจึงรอดมาได้เพคะ ขณะที่หม่อมฉันสั่งให้องครักษ์พาตัวคนขับรถจวนฉีอ๋องไปส่งที่ศาลาว่าการ คนขับรถก็เตรียมจะวิ่งหนี หากว่าเขาไม่ได้ทำความผิดจะไม่น่าจะมีท่าทีเช่นนั้นเพคะ…”
ใบหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้เริ่มเหยเก
หากสิ่งที่สะใภ้เจ็ดพูดเป็นความจริง ก็หมายความว่าจวนฉีอ๋องเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ม้าพยศอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในเมื่อพระชายาฉีอ๋องได้รับบาดเจ็บแล้วจะยืนยันได้อย่างไร
เมื่อเคยผ่านเหตุการณ์ที่จิ้นอ๋องสั่งให้คนผลักฉุนเกอเอ๋อร์ตกน้ำ และเหตุการณ์ที่อดีตไท่จื่อทำมนต์ดำใส่เขาแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็อดคิดไม่ได้ว่าพระชายาฉีอ๋องอาจวางแผนกำจัดพระชายาเยี่ยนอ๋อง
แต่คนที่ตั้งใจจะทำร้ายคนอื่นไม่น่าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงด้วยจริงไหม
และเมื่อเป็นเช่นนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงทำได้เพียงกล่อมตัวเองยังไม่ให้คิดไปไกล รอให้พระชายาฉีอ๋องฟื้นก่อนแล้วค่อยมาคิดกันอีกที
ไม่ช้าไม่นานแพทย์หลวงทั้งสองคนก็เดินออกมาถวายความเคารพฮ่องเต้และฮองเฮา
จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถามทั้งสอง “พระชายาฉีอ๋องเป็นเช่นไรบ้าง”
“กราบทูลฝ่าบาท พระชายาคงยังไม่ได้สติพ่ะย่ะค่ะ” หนึ่งในแพทย์หลวงเอ่ยตอบ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ “พวกเจ้าบอกเองว่าเป็นแค่บาดแผลภายนอก หรือว่าข้างในได้รับการกระทบกระเทือนงั้นรึ”
แพทย์หลวงทั้งสองหันมาสบตากัน แพทย์คนที่เอ่ยตอบคำถามก่อนหน้าเป็นคนตอบ “จากการตรวจของกระหม่อม อวัยวะภายในมิได้รับบาดเจ็บพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วทำไมถึงยังไม่ได้สติอีกเล่า” จิ่งหมิงฮ่องเต้ฉงนหนัก
แพทย์หลวงอีกคนตอบ “กระหม่อมเดาว่าตอนที่พระชายากำลังจะตกลงไปในหน้าผา คงตกพระทัยอย่างถึงที่สุดก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ส่ายศีรษะเล็กน้อย
ถ้าจะพูดเช่นนี้ก็หมายความว่าที่สะใภ้สี่ยังไม่ฟื้นเป็นเพราะตกใจกลัวอย่างนั้นหรือ
เจียงซื่อยืนขึ้นในขณะที่ยังหลุบตามองพื้น นางยกยิ้มมุมปาก
แน่นอนว่าพระชายาฉีอ๋องจะฟื้นตอนนี้ไม่ได้ เพราะไม่ฉะนั้นอาจทำให้แผนการของนางวุ่นวาย
ในมุมของเจียงซื่อ นางต้องการให้พระชายาฉีอ๋องฟื้นขึ้นหลังจากที่คำตอบกระจ่างแจ้งเสียก่อน
ที่นางบอกว่านางมีของกำนัลชิ้นใหญ่จะมอบให้ นางมิได้พูดส่งเดช
“ฝ่าบาท ฉีอ๋องมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ข้าหลวงเข้ามารายงาน
จิ่งหมิงฮ่องเต้ส่งสัญญาณเป็นเชิงอนุญาตให้ฉีอ๋องเข้ามา
รออยู่ไม่นาน ฉีอ๋องในอาการตื่นตระหนกก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้
“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ หลี่ซื่อเป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาเอ่ยเป็นคนแรก “นางหมดสติไป ท่านอ๋องเข้าไปดูเองเถิด”
ฉีอ๋องเผ่นพรวดเข้าไปด้วยท่าทีเป็นกังวล
ฮ่องเต้และฮองเฮาหันมาสบตากัน ทว่าไม่มีใครพูดอะไร
ฉีอ๋องเดินเข้าไปข้างใน วินาทีที่เห็นพระชายาฉีอ๋องนอนนิ่งอยู่บนเตียง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
สตรีน่าเกลียดน่ากลัวที่มีรอยบากอยู่บนหน้าคือหลี่ซื่ออย่างนั้นหรือ
ฉีอ๋องเก็บซ่อนท่าทีรังเกียจนั้นไว้และแสดงอารมณ์โศกศัลย์ “พระชายา ตื่นเถิด!”
พระชายาฉีอ๋องยังคงนอนนิ่ง แต่ฉีอ๋องกลับโล่งใจ
ในตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์มาปลอบใจหญิงหน้าตาอัปลักษณ์ และเขาก็กลัวว่านางจะพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมา
ขณะที่จดจ้องไปที่ใบหน้าอันน่าสะพรึงกลัว ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวฉีอ๋อง หากหลี่ซื่อตายไปตอนนี้จะนับว่าเป็นเรื่องดี เพราะต่อให้เจินซื่อเฉิงสืบทราบความจริงว่าม้าพยศเป็นฝีมือของคนบางคน ความผิดทั้งหมดก็จะตกแก่หลี่ซื่อแต่เพียงผู้เดียว เพราะใครต่างก็ทราบดีว่าหลี่ซื่อมิใคร่จะลงรอยกับพระชายาเยี่ยนอ๋อง ส่วนเขา…
หึๆ เรื่องนี้เขาไม่เกี่ยวตั้งแต่แรกแล้ว
ฉีอ๋องแสร้งทำเป็นขานเรียกผู้เป็นภรรยาอยู่หลายครั้งก่อนจะเดินออกมาด้วยท่าทางเศร้าสร้อย
“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ หลี่ซื่อบาดเจ็บสาหัสเลยใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
หลี่ซื่อคงจะได้รับบาดเจ็บสาหัส เพราะมิฉะนั้นคงไม่สลบนานถึงเพียงนี้
ฮ่องเต้และฮองเฮายังไม่ทันได้เอ่ยตอบ เจียงซื่อแสดงน้ำใจแถลงไขให้ชายหนุ่ม “ท่านพี่สี่ไม่ต้องกังวลพระทัยไปเพคะ หม่อมฉันทราบมาว่านอกจากบาดแผลบนพระพักตร์แล้ว ตามร่างกายมีเพียงรอยถลอกเล็กน้อยเพคะ อีกไม่นานก็คงจะฟื้นเพคะ”
ฉีอ๋องหรี่ตามองเจียงซื่อ
เจียงซื่อสบตาตอบด้วยท่าทีสงบนิ่ง มุมปากของนางยกขึ้นเล็กน้อย
หัวใจของฉีอ๋องหนักอึ้ง เขารับรู้ได้ในทันที พระชายาเยี่ยนอ๋องทราบเรื่องทั้งหมด!
หลังจากอาการตกใจในตอนแรก บัดนี้ฉีอ๋องก็เข้าใจทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง
แม้ท่าทีของพระชายาเยี่ยนอ๋องจะมิได้ส่อพิรุธ แต่หากนางเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาทั่วไป ปฏิกิริยาแรกนางไม่น่าจะส่งคนขับรถไปที่ศาลาว่าการพระนครและแจ้งความ
จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ย “เจ้าสี่ เจ้าก็รออยู่ที่นี่ด้วยกันก่อนเถิด รอดูว่าเจินซื่อเฉิงสืบหาเบาะแสอะไรได้บ้าง”
และดูเหมือนว่าการทำงานของศาลาว่าการพระนครจะเร็วกว่าที่ใครๆ คาดไว้ เพราะไม่นานเกินรอเจินซื่อเฉิงก็เข้ามาที่วังหลวงเพื่อรายงานความคืบหน้า