ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 637 มีพยานบุคคล
เจินซื่อเฉิงเดินตามข้าหลวงเข้ามาในตำหนักหย่างซิน เขาค้อมศีรษะถวายความเคารพฮ่องเต้และฮองเฮา “ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมฮองเฮา”
นอกจากฮ่องเต้และฮองเฮาแล้ว ในตำหนักยังมีเจียงซื่อและฉีอ๋อง คนเหล่านี้มาจากตำหนักคุนหนิง ส่วนพระชายาฉีอ๋องที่ยังไม่ได้สติยังคงอยู่ที่นั่น
“เจินอ้ายชิง มีความคืบหน้าอะไรบ้างไหม” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถามอย่างร้อนใจ ทว่าใบหน้ายังคงนิ่งเรียบ
เจินซื่อเฉิงชำเลืองหางตาไปทางเจียงซื่อแวบหนึ่ง ประหนึ่งพบหน้าคนคุ้นเคย
ช่วงนี้สถานการณ์เงียบสงบ เขาเองก็คันไม้คันมือมานานแล้ว
หรือจะให้พูดอีกนัยหนึ่งคือ ตั้งแต่เขาได้กลับมารับตำแหน่งที่ศาลาว่าการพระนคร คดีใหญ่และคดีสำคัญก็ถูกเด็กสาวตระกูลเจียงสอยไปจนเรียบ
เหอะๆ หนูเจียงซื่อเป็นคนมีความสามารถยิ่งนัก
เจินซื่อเฉิงหันไปมองเจียงซื่ออีกหน
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์ เขาถามใต้เท้าเจินอยู่นะ แล้วเขาจะหันไปมองสะใภ้ของเขาทำไมกัน
เหอะ อย่าคิดว่าเขาไม่รู้นะว่าตาเฒ่านี่เคยจะขอสะใภ้เจ็ดให้กับบุตรชายของตัวเอง หรือว่าตอนนี้ก็ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจนั้น
น่าเสียดายเหลือเกินที่ดันไม่เข้าตาชิ่งจยาตงผิงปั๋ว!
เมื่อคิดเช่นนี้ ความรู้สึกดีที่จิ่งหมิงฮ่องเต้มีต่อเจียงอันเฉิงก็เพิ่มพูนเป็นเท่าตัว และเมื่อคิดถึงการเสียชีวิตของเจียงจั้น ในใจของฮ่องเต้ก็ยิ่งรู้สึกผิด
ไม่ได้การล่ะ เขาต้องชดเชยให้ชิ่งจยาที่ประพฤติตนตามทำนองคลองธรรม รู้จักวางตัวและเป็นผู้มีวิสัยทัศน์เฉียบแหลมคนนี้เสียหน่อย
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตกอยู่ในห้วงความคิด สมองขบคิดหนักว่าควรตอบแทนเจียงอันเฉิงอย่างไร
บุตรชายของเขาพลีชีพเพื่อแผ่นดิน คนหัวขาวเลยต้องมาส่งศพคนหัวดำ จะชดเชยมากมายแค่ไหนก็ไม่มีคำว่ามากเกินไป
มีความคิดหนึ่งแวบผ่านเข้ามา หรือเขาควรจะพระราชทานอนุญาตให้ตำแหน่งตงผิงปั๋วส่งทอดไปอีกสักสามรุ่นดีนะ ตงผิงปั๋วยังหนุ่มยังแน่น หากแต่งงานใหม่ มีบุตรชายอีกสักคนก็ยังไม่สาย
เจินซื่อเฉิงไม่ทราบเลยว่าเพราะมัวแต่หันไปมองเจียงซื่อ บัดนี้ตัวเองเลยได้ขึ้นแท่นศัตรูหัวใจของฝ่าบาทเป็นที่เรียบร้อย แต่ตงผิงปั๋วกลับได้ลาภลอยไปเสียอย่างนั้น
เขายกมือขึ้นคารวะพลางตอบ “กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมพบเบาะแสบางอย่างพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีอ๋องที่ยืนอยู่ข้างๆ เริ่มหวั่นใจ
ความผิดพลาดของหลี่ซื่อจะถูกเปิดเผยหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจินซื่อเฉิงเนี่ยแหละ
แม้ฉีอ๋องคิดจะทอดทิ้งพระชายาของตัวเองตั้งแต่ก่อนหน้านี้ แต่การที่แผนการไม่ถูกเปิดโปงจะเป็นการดียิ่งกว่า เพราะเขาไม่ต้องการให้เรื่องนี้ส่งผลต่อเขาแม้แต่ปลายนิ้ว
“เจินอ้ายชิงลองเล่ามาให้ละเอียดหน่อยซิ” จิ่งหมิงฮ่องเต้ดึงหน้าเคร่งขรึม
เขารู้ดีว่าเจินซื่อเฉิงเป็นคนมีความสามารถและการไขคดีของเขาไม่เคยพลาด
“ลูกน้องของกระหม่อมพบลูกตุ้มใส่กำยานที่บริเวณหน้าผา ซึ่งคาดว่าน่าจะกระเด็นออกมาจากรถม้าของพระชายาฉีอ๋องพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้นำเครื่องหอมในลูกตุ้มกำยานนั้นมาทดสอบแล้วพบว่า หากสูดดมเข้าไปจะทำให้ร่างกายเกิดสภาวะอ่อนแรง และขยับร่างกายไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ…”
เมื่อได้ฟังดังนั้น จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็รีบหันกลับไปหาเจียงซื่อโดยพลัน
เจียงซื่อกล่าวเสริม “เสด็จพ่อ ตอนที่ลูกนั่งอยู่ในรถม้าของท่านพี่สะใภ้สี่ ลูกเห็นว่าลูกตุ้มกำยานนั้นน่าสนใจ อีกทั้งยังทำให้รถม้าทั้งคันอบอวลไปด้วยกลิ่นหอม จึงได้ถามท่านพี่สะใภ้สี่เกี่ยวกับลูกตุ้มกำยานนั้นอยู่พักหนึ่งเพคะ”
“แล้วนางว่าอย่างไร” จิ่งหมิงฮ่องเต้ถามทันควัน
เจียงซื่อชำเลืองไปทางฉีอ๋องพลางตอบ “นางตรัสว่าเครื่องหอมนั้นมาจากต่างแดน เป็นของหายาก หากลูกชอบ กลับมาแล้วพระนางจะให้คนนำมาให้เพคะ”
สายตาคมปลาบประหนึ่งดาบของจิ่งหมิงฮ่องเต้หันขวับไปทางฉีอ๋อง “เจ้าสี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าคือกลิ่นอะไร”
ใบหน้าของฉีอ๋องซีดเผือด เขาตอบด้วยอาการตื่นตระหนก “ลูกมิได้ใส่ใจเรื่องข้าวของเครื่องใช้ของสตรีเท่าไหร่จึงไม่ทราบว่าหลี่ซื่อใช้เครื่องหอมกลิ่นอะไรพ่ะย่ะค่ะ…”
“รถม้าและซากม้าที่ตกลงไปในหน้าผาก็หาพบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเจินซื่อเฉิงเอ่ยประโยคนี้ออกไป ความสนใจของทุกคนก็เบนไปในทิศทางเดียวกัน
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตกใจเล็กน้อย “หาได้เร็วเพียงนี้เชียวรึ”
ในมุมของเขา การที่เจินซื่อเฉิงสามารถหา ‘คนร้าย’ ซึ่งก็คือลูกตุ้มกำยานที่เป็นเหตุให้พระชายาฉีอ๋องและพระชายาเยี่ยนอ๋องขยับตัวไม่ได้ก็น่าตื่นตาตื่นใจมากพออยู่แล้ว แต่ไม่คิดเลยว่ารถม้าที่ตกลงไปในหน้าผาจะถูกกู้ขึ้นมาภายในเวลาอันรวดเร็วเพียงนี้
เจินซื่อเฉิงอรรถาธิบาย “หน้าผาและก้นผาห่างกันไม่มากพ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งยังมีถนนสายเล็กที่นำไปถึงก้นผา บังเอิญว่ามีคนหนึ่งในกลุ่มเจ้าหน้าที่อาศัยอยู่แถวนั้น จึงคุ้นเคยกับหนทางแถวนั้นเป็นอย่างดี เขาเลยพาคนจำนวนหนึ่งลงไปและกู้รถม้าขึ้นมาพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เจินซื่อเฉิงก็เว้นห้วงก่อนจะกล่าวต่อ “ไม่ได้พบเพียงรถม้าเท่านั้น ลูกน้องของกระหม่อมยังได้ผ่าชันสูตรซากม้าและพบสาเหตุที่ทำให้ม้าคลุ้มคลั่งพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หรี่ตาพลางถาม “สาเหตุคืออะไร”
“ลูกน้องของกระหม่อมพบเศษสมุนไพรที่ทำให้ม้ามีอาการหลอนตกค้างอยู่ในกะเพราะอาหารตัวนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาที่นั่งนิ่งมานานขยับคิ้วขึ้นในทันที
ใบหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้ย่ำแย่เข้าขั้น “หรือจะให้พูดอีกนัยหนึ่งคือ สาเหตุที่ม้ามีอาการตื่นตระหนกเกิดจากการที่มันกินสมุนไพรที่เป็นพิษเข้าไปอย่างนั้นหรือ”
“ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้นิ่งเงียบชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยถามเคร่งขรึม “เช่นนั้นเจินอ้ายชิงมีข้อสรุปอย่างไร”
เจินซื่อเฉิงไร้ซึ่งอาการโลเล “ขณะที่พระชายาทั้งสองใช้เวลาอยู่ที่วัดไป๋อวิ๋น คนรถของจวนฉีอ๋องฉวยจังหวะนั้นนำสมุนไพรพิษผสมเข้ากับหญ้าให้ม้ากิน เป็นสาเหตุที่ทำให้ม้ามีอาการตื่นตระหนก ประจวบเหมาะกับลูกตุ้มกำหยานในรถม้าส่งกลิ่นอบอวล ทำให้ผู้คนที่นั่งอยู่ข้างในไม่สามารถเคลื่อนไหวตัวได้…จากข้อสันนิษฐาน กระหม่อมมีความเห็นว่าพระชายาฉีอ๋องจงใจปองร้ายพระชายาเยี่ยนอ๋องพ่ะย่ะค่ะ…”
“เป็นไปไม่ได้!” ฉีอ๋องกล่าวแทรกทันควัน
เจินซื่อเฉิงหันไปหาฉีอ๋องพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “ท่านอ๋องจะคัดค้านอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีอ๋องดึงหน้าขมึงทึงพลางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ใต้เท้าเจินไม่รู้สึกหรือว่าข้อสันนิษฐานนี้มันไร้สาระ”
เจินซื่อเฉิงลูบเคราและถามอย่างใจเย็น “เหตุใดท่านอ๋องถึงคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีอ๋องหัวเราะเย้ยหยัน “หากคนของข้าตั้งใจจะปองร้ายพระชายาเยี่ยนอ๋องจริง เหตุใดนางถึงกลายสภาพเป็นเช่นนี้ หรือเจ้ากำลังจะบอกว่านางไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว จึงคิดว่าจะจบชีวิตไปพร้อมกับพระชายาเยี่ยนอ๋อง”
ฉีอ๋องรัวคำถามในขณะที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็พยักหน้าเห็นพ้อง
เขาเองก็กำลังสงสัยในจุดนี้
ความสัมพันธ์ของสะใภ้สี่และสะใภ้เจ็ดเป็นเช่นไร เขาไม่เคยรู้ เพียงแต่ไม่คิดว่านางจะยอมตายตามกันไป
“เหตุใดใต้เท้าเจินถึงไม่กล่าวต่อเล่า” ฉีอ๋องเลิกคิ้วพลางถาม แววตาในตอนนี้เย็นเยียบอย่างเห็นได้ชัด
เจินซื่อเฉิงยกมือขึ้นคารวะ น้ำเสียงที่เปล่งยังคงสงบนิ่ง “กระหม่อมเองก็ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าเหตุใดพระชายาฉีอ๋องถึงได้สังเวยชีวิตไปพร้อมกับพระชายาเยี่ยนอ๋อง เกรงว่าหากใคร่จะหาคำตอบ คงต้องถามเอาจากพระโอษฐ์ของพระชายาฉีอ๋องเองพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีอ๋องกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดเย้ย “นี่หรือความฉลาดปราดเปรื่องของใต้เท้าเจินผู้ยิ่งใหญ่ พบหลักฐานเพียงผิวเผินไม่กี่ชิ้นก็ด่วนสรุปเสียแล้ว หนำซ้ำยังมาป้ายความเท็จให้พระชายาของข้า และดันบอกให้ไปถามหาเหตุผลเอาจากปากนาง น่าขันสิ้นดี!”
เจินซื่อเฉิงหันไปหยุดมองฉีอ๋องพลางถอนหายใจแผ่วเบา “ความคับข้องใจของท่านอ๋อง กระหม่อมเข้าใจดีพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ที่กระหม่อมสรุปว่าสาเหตุที่ทำให้พระชายาทั้งสองพระองค์ตกอยู่ในอันตรายเป็นแผนการของพระชายาฉีอ๋อง กระหม่อมไม่ได้สรุปจากเศษสมุนไพรพิษในท้องม้าหรือลูกตุ้มกำยานเพียงเท่านั้น แต่กระหม่อมยังมีหลักฐานชิ้นสำคัญกว่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“หลักฐานอะไร” หนนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้และฉีอ๋องเอ่ยถามพร้อมกัน
เจียงซื่อที่หลุบตามองพื้นเปรยตาขึ้นด้วยท่าทางสงบนิ่ง
ฮองเฮาก็หันไปจ้องมองเจินซื่อเฉิงเหมือนกับคนอื่นๆ นางสงสัยว่าเขาจะพบหลักฐานอะไร
เจินซื่อเฉิงมิได้ปล่อยให้ทุกคนคอยนาน เขากระแอมไอแผ่วเบาพลางกล่าว “คนรถของพระชายาฉีอ๋องยอมรับสารภาพแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งหมดนิ่งอึ้งประหนึ่งว่าฟังสิ่งที่เจินซื่อเฉิงพูดไม่เข้าใจ
เจินซื่อเฉิงหันไปมองฉีอ๋องก่อนจะอธิบายต่อ “คนรถของจวนท่านอ๋องรับสารภาพเรื่องที่พระชายาฉีอ๋องสั่งให้เขาผสมสมุนไพรพิษลงในหญ้าของม้าพ่ะย่ะค่ะ…”
ฉะนั้นแล้ว เขาด่วนสรุปจากข้อสันนิษฐานเพียงผิวเผินที่ไหนกัน เขามีพยานบุคคลต่างหากเล่า!