ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 642 ติดตามสถานการณ์
พระชายาฉีอ๋องได้รับการกระทบกระเทือนจนสติฟั่นเฟือนจึงมีคนมากมายมาแสดงความเสียใจ เป็นเหตุให้ในขณะนี้ที่หน้าประตูใหญ่จวนฉีอ๋องมีรถม้าจอดรอท่าเนืองแน่น
บรรดาท่านอ๋องไม่พลาดโอกาสที่จะแสดงความเป็นห่วงเป็นใย (มาดูเรื่องสนุก) ถึงจวนฉีอ๋อง
ฉีอ๋องเพิ่งจัดการไล่ฉินอ๋องกลับไปได้ไม่นาน บ่าวรับใช้ก็เข้ามารายงานว่าหลู่อ๋องและสู่อ๋องมาถึงแล้ว สิ่งที่เขาต้องทำคือออกไปต้อนรับด้วยความกระตือรือร้น
“พี่สี่ ข้าได้ยินมาว่าท่านพี่สะใภ้สี่ประสบอุบัติเหตุม้าพยศ อาการเป็นอย่างไรบ้าง” หลู่อ๋องเอ่ยถามทันทีที่พบหน้า
พระชายาหลู่อ๋องที่ยืนอยู่ข้างผู้เป็นสามีดึงมุมปากขึ้นเล็กน้อย
นางยังไม่ทันได้ถามอะไรเลย ท่านอ๋องที่เป็นเพียงน้องเขยจะรีบร้อนไปไหน
ฉีอ๋องขมวดคิ้วเป็นปมแน่น เผยสีหน้ากลัดกลุ้ม “อุบัติเหตุคราวนี้กระทบกระเทือนต่อสภาพจิตใจของนางอย่างรุนแรง ตอนนี้ไม่อาจพบหน้าผู้ใด”
ดวงตาหลู่อ๋องเป็นประกาย “ไม่อาจพบหน้าผู้ใดอย่างงั้นหรือ”
ฉีอ๋องนิ่งไปชั่วอึดใจ
ดวงตาเจ้าห้าเป็นประกายขนาดนี้หมายความว่าอย่างไร
สู่อ๋องเอ่ยปาก “จริงซิ พี่สี่ ท่านพี่สะใภ้เป็นเช่นไรบ้าง สามารถเข้าไปเยี่ยมได้หรือไม่”
หากจะบอกว่าฉีอ๋องอดกลั้นต่อความเบาปัญญาของหลู่อ๋อง แต่กับสู่อ๋อง เขารู้สึกระแวดระวังมากกว่า
เมื่อไท่จื่อเสียชีวิต ในบรรดาองค์ชายที่เหลือในตอนนี้ สู่อ๋องถือว่าเป็นภัยต่ออนาคตของเขามากที่สุด
เสด็จแม่ของสู่อ๋องคือจ้วงเฟย แม้สถานะจะต่ำกว่าเสียนเฟย แต่ก็เป็นที่โปรดปรานมากกว่า อีกทั้งผู้เป็นตาของสู่อ๋องยังเป็นผู้อาวุโสในสถาบันกั๋วจื่อเจียน ซึ่งถือเป็นผู้มีอำนาจบารมีของแผ่นดินต้าโจว
ยิ่งไปกว่านั้นคือ หากเทียบกับฉีอ๋องซึ่งเป็นองค์ชายสี่ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ทรงโปรดปรานสู่อ๋องซึ่งเป็นองค์ชายหกมากกว่า
ในจุดนี้ ฉีอ๋องทราบดี
พวกเจ้าหกคงมาหัวเราะเยาะเขาสินะ
ในใจฉีอ๋องโกรธดั่งไฟสุม ทว่าไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า เขาเพียงแต่ถอนหายใจ “ขอบใจน้องหกและน้องสะใภ้ แต่เนื่องจากพี่สะใภ้สี่ของพวกเจ้าถูกกระทบกระเทือนจิตใจอย่างหนัก หากเจอคนนอก นางจะมีอาการตื่นตระหนก ท่านหมอจึงสั่งให้นางพักรักษาตัว…”
“เช่นนั้น พี่สี่ก็ดูแลท่านพี่สะใภ้สี่เถิด พวกข้าไม่รบกวนการพักผ่อนของท่านพี่สะใภ้สี่แล้วจะดีกว่า” สู่อ๋องคลี่ยิ้มเล็กน้อย
พระชายาหลู่อ๋องและพระชายาสู่อ๋องไม่มีกะจิตกะใจจะสนทนาอยู่แล้ว จึงปล่อยให้สามพี่น้องสนทนากันตามลำพัง หลู่อ๋องถามอย่างอดไม่ได้ “ท่านพี่สะใภ้สี่บริจาคเงินปัจจัยเพียงสี่ร้อยตำลึง ส่วนน้องสะใภ้เจ็ดบริจาคหนึ่งพันแปดร้อยตำลึงเป็นความจริงงั้นหรือ”
ใบหน้าฉีอ๋องคล้ำหม่นโดยพลัน
ส่วนสู่อ๋องก็ชะงักงันนิ่งอึ้ง
เขาเคยคิดว่าเจ้าห้าเป็นพูดไม่คิด แต่ไม่คิดเลยว่าจะไม่ยั้งคิดขนาดนี้ พูดโพล่งออกมาเช่นนี้ไม่ต่างอะไรจากการตบหน้าเจ้าสี่
แต่ถึงกระนั้น ต้องยอมรับว่าตบได้เข้าเป้าพอดิบพอดี เขาถึงได้ดูเรื่องสนุกๆ
“พี่สี่?” ครั้นเห็นฉีอ๋องนิ่งเงียบไม่ตอบโต้ หลู่อ๋องก็เร่งเร้าด้วยท่าทีใสซื่อ
หึๆๆ เขารอโอกาสเอาคืนมานานแล้ว
เจ้าสี่เป็นพวกมือถือสาก ปากถือศีล เขาคงลืมเรื่องทำแท่นล้างพู่กันของเสด็จพ่อแตกตอนเด็กๆ ไปแล้วล่ะสิ ที่สุดท้ายกลับมาโยนว่าเป็นความผิดของเขา
หลู่อ๋องหวนคิดถึงเรื่องเก่า ในตอนนั้นเขาพยายามอธิบายว่าตนไม่ได้เป็นคนทำ แต่ฉีอ๋องก็พยายามบอกว่าไม่ใช่ฝีมือเจ้าหก ดังนั้นสุดท้ายแล้วทุกคนจึงคิดว่าเป็นฝีมือของเขา ความอัปยศในครั้งนั้น เขาจำได้ไม่รู้ลืม
อย่าคิดว่าเขาโง่ เขาไม่ได้ทำผิด แต่กลับต้องมารับโทษ ไม่ว่าคนตรงหน้าจะแสร้งทำดีเพียงใด เขาก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่ใช่คนดี!
หลู่อ๋องพลิกดูหน้าสมุดบันทึกบัญชีออมใจ
แต่ทว่าเรื่องนี้กลับไม่เหลืออยู่ในความทรงจำของฉีอ๋อง สิ่งเดียวที่เขาอยากทำในตอนนี้คือชกหน้าหลู่อ๋อง
แต่เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากอดทนเอาไว้
หลี่ซื่อเพิ่งทำความผิด หากเขาทะเลาะวิวาทกับพี่น้องอีก ความประทับใจของเสด็จพ่อที่มีต่อเขาคงย่ำแย่หนักกว่าเดิม
เดี๋ยวนะ เหตุใดเขาถึงใช้คำว่า ‘หนักกว่าเดิม’
ฉีอ๋องแอบพ่นลมภายใต้ใบหน้าคล้ำหม่น “เรื่องของพวกสตรี ข้าไม่ได้ใส่ใจจะถาม”
หลู่อ๋องส่ายหัว “จึ๊ๆ ท่านพี่สะใภ้สี่ใช้ชีวิตโดยไม่สนใจโลกเลยจริงๆ”
ฉีอ๋องอยากจะไล่ตะเพิดน้องชายไปให้พ้นหน้า “ข้าต้องไปดูพี่สะใภ้สี่ของพวกเจ้าก่อน…”
หลู่อ๋องได้สิ่งที่ตนปรารถนาแล้วจึงคลี่ยิ้ม “เช่นนั้นพวกข้าขอตัวกลับก่อน น้องหก เจ้าล่ะ”
สู่อ๋องดึงมุมปากโดยพลันพลางบอก “พี่สี่ พี่รีบไปดูท่านพี่สะใภ้สี่เถิด ข้าก็จะกลับแล้วเหมือนกัน”
ได้ดูเรื่องสนุกแล้ว ยังไม่รีบกลับจะให้รออยู่กินข้าวหรืออย่างไร
สามีภรรยาสองคู่เดินออกมาจากจวนฉีอ๋อง
หลู่อ๋องเดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก็ชะลอฝีเท้า พลางถามด้วยความสงสัย “หรือเราควรไปเยี่ยมน้องสะใภ้เจ็ด”
พระชายาหลู่อ๋องเลิกคิ้ว “หม่อมฉันจะไปเยี่ยมกับน้องสะใภ้หกก็แล้วกันเพคะ”
หลู่อ๋องยังคงนิ่งงัน เป็นสู่อ๋องที่คลี่ยิ้มออกมาก่อน “จริงด้วย เจ้าเจ็ดไม่อยู่ พวกเราไปที่จวนคงไม่เหมาะ”
พระชายาหลู่อ๋องหรี่ตามองสามีตนเองก่อนจะเดินไปจวนเยี่ยนอ๋องกับพระชายาสู่อ๋อง
ในตอนนั้นอาหมานกำลังเล่าเรื่องตื่นเต้นที่ตัวเองประสบมาอย่างออกรสออกชาติ นางถูกห้อมล้อมไปด้วยบ่าวรับใช้และเหล่าผอจื่อ
สาวรับใช้เชิดคางพลางสอดส่ายสายตาไปรอบๆ พร้อมเอ่ยถาม “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าฮ่องเต้หน้าตาเป็นเช่นไร”
ทุกคนส่ายศีรษะอย่างพร้อมเพรียง
“ข้ารู้!” อาหมานสาธยายหน้าตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้
บ่าวรับใช้นางหนึ่งเฝ้ามองด้วยความรู้สึกชื่นชม “พี่อาหมาน พี่นี่สุดยอดไปแล้ว ได้พบพระพักตร์ฝ่าบาทด้วย”
บ่าวรับใช้อีกหลายคนรีบเอ่ยเสริม “จริงด้วย ฝ่าบาทเป็นผู้มีเกียรติสูงสุดของแผ่นดินต้าโจว พี่อาหมานสุดยอดจริงๆ…”
อาหมานคลี่ยิ้มพลางบอก “สุดยอดที่ไหนกัน เพราะได้ตามนายหญิงเข้าไปถึงได้มีโอกาสเห็นพระพักตร์ฝ่าบาท หากพวกเจ้าขยันทำงานเพื่อพระชายา อีกหน่อยก็คงได้รับโอกาสดีๆ เช่นนี้”
อาเฉี่ยวที่เห็นอาหมานคุยโวไม่หยุดปากอยากจะห้าม แต่แล้วก็ทำเพียงส่ายหัวและกลืนถ้อยคำเหล่านั้นลงคอ
“จริงสิ ข้าลืมบอกไปว่า ชื่อของข้า ฝ่าบาทก็ทรงจำได้ด้วยนะ!”
ประโยคนั้นของอาหมานทำให้ทั้งหมดร้องอุทานออกมาทันใด แต่ในขณะนั้นมีบ่าวรับใช้นางหนึ่งเข้ามาแจ้งข่าวว่าพระชายาหลู่อ๋องและพระชายาสู่อ๋องเสด็จมาที่จวน เหล่าหญิงรับใช้และบรรดาผอจื่อถึงได้แยกย้ายกันไปทำงาน
ความสุขที่ได้บรรลุเป้าหมายเล็กๆ ของเจียงซื่ออยู่ไม่นาน
เพราะความโศกศัลย์จากการสูญเสียพี่ชายและความคิดถึงคะนึงหาสามีที่ต้องเดินทางไกลยืนระยะยาวนานยิ่งกว่า
หลังจากสนทนากับพระชายาหลู่อ๋องและพระชายาสู่อ๋องไม่นาน เจียงซื่อก็ได้รับจดหมายจากจวนตงผิงปั๋ว
จดหมายนั้นเขียนโดยเจียงอี เนื้อความบอกกล่าวถึงความเป็นห่วงเป็นใยต่อน้องสาว และลงคำถามทิ้งท้ายว่า สะดวกมาที่จวนในวันพรุ่งนี้หรือไม่
เจียงซื่อรีบตอบกลับจดหมายว่านางจะไปเยือนจวนปั๋ว
จวนปั๋วที่ได้รับจดหมายตอบรับจากเจียงซื่อก็รีบสั่งให้พ่อบ้านไปรอเฝ้าอยู่ที่ด้านนอก ทันทีที่เห็นเจียงซื่อก็รีบส่งคนเข้าไปรายงานที่เรือนฉือซินทันที
“ซื่อเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” เจียงอันเฉิงสำรวจเจียงซื่อตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อเห็นว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บ ใบหน้าซีดขาวใสตอนแรกจึงค่อยๆ เรื่อสี
เขาเพิ่งสูญเสียบุตรชายไป หากบุตรสาวของเขาเป็นอะไรไปอีกคน เขาคงไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไป
เจียงซื่อมองดูบิดาที่ซูบผอมลงไปไม่น้อยกอปรกับหางตาที่หย่อนคล้อย “ลูกไม่เป็นอะไรเลยเจ้าค่ะ ลูกทำให้ท่านพ่อต้องเป็นห่วงเสียแล้ว”
“เป็นห่วงน่ะเรื่องเล็ก เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
เฝิงเหล่าฮูหยินเอ่ยขัดสองพ่อลูก “พระชายา เหตุใดจู่ๆ ถึงเกิดเหตุการณ์ม้าพยศได้เล่า”
เจียงซื่อปรับสีหน้า “คำถามของท่านย่าตอบได้ยากยิ่งนัก เรื่องอุบัติเหตุมีเหตุผลที่ไหนกันเจ้าคะ”
แม้เฝิงเหล่าฮูหยินจะรับรู้ได้ว่าเจียงซื่อไม่สบอารมณ์ แต่นางก็ยังมีเรื่องที่อยากพูด “ข้าได้ยินมาว่าต่อหน้าฮ่องเต้ พระชายามีปากเสียงกับฉีอ๋องงั้นหรือ ถึงอย่างไรฉีอ๋องก็เป็นพระเชษฐาของท่านอ๋อง พระชายาจะพูดหรือทำอะไรก็ควรระมัดระวังมากกว่านี้”
เจียงซื่อเบะปาก
พี่ชายของอาจิ่นอย่างนั้นหรือ ท่านย่าคงคิดว่าฉีอ๋องมีโอกาสจะได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาทจึงกลัวว่านางจะทำผิดต่อว่าที่ฮ่องเต้คนใหม่ และทำให้จวนปั๋วต้องพลอยลำบากไปด้วยล่ะสิ