ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 643 ลาภลอย
ท่าทีไม่ยี่หระของเจียงซื่อทำให้เฝิงเหล่าฮูหยินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ทำได้เพียงเก็บความคับข้องใจนั้นไว้และเอ่ยเตือนด้วยความอดทน “พระชายา เจ้าอย่าได้ดื้อรั้นนักเลย ท่านอ๋องจะได้ไม่ต้องพลอยลำบากไปด้วย…”
เจียงซื่อขมวดคิ้วพลางตัดบทยืดยาวของเฝิงเหล่าฮูหยิน “ท่านย่ากำลังคิดไปถึงไหนหรือเจ้าคะ หากข้าทำตัวไม่เหมาะสมต่อหน้าฮ่องเต้ ท่านย่าคิดว่าฮ่องเต้จะทรงทนอยู่เฉยๆ หรือเจ้าคะ เรื่องมีปากเสียงกับฉีอ๋อง…”
ประโยคของเจียงซื่อขาดห้วง นางจ้องมองไปที่เฝิงเหล่าฮูหยินด้วยใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม “ท่านย่าไปฟังเรื่องไร้สาระนี้มาจากไหนหรือเจ้าคะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินผงะไปทันใดเพราะจนด้วยคำถาม
ข่าวลือนี้จะมาจากที่ใดก็ตามแต่ เพียงแต่นางได้ยินมาเท่านั้น ครั้งแรกที่นางได้ยิน นางรู้สึกตกใจยิ่งนัก นางกลัวว่าหากฉีอ๋องได้เถลิงอำนาจวันใด เขาจะระบายความโกรธกับจวนปั๋ว นางถึงได้รีบเตือนเจียงซื่อ
เมื่อเห็นใบหน้าเครียดเขม็งของหลานสาว เฝิงเหล่าฮูหยินถึงกับสั่นสะท้าน
เหตุใดนับวันนางยิ่งรับมือได้ยากขึ้นเรื่อยๆ นางเตือนแค่ประโยคเดียว กลับถูกสวนขึ้นมาเสียอย่างนั้น นางเป็นพระชายาอ๋องแล้ว ย่าคนนี้ก็ไม่เคยอยู่ในสายตานางเลยงั้นรึ
เมื่อทบทวนทุกคำพูดและการกระทำของเจียงซื่อหลังจากที่นางแต่งงานเข้าไปอยู่ในจวนเยี่ยนอ๋อง ความคับข้องใจทั้งหมดทั้งมวลที่สะสมมาก็ปะทุโดยพลัน ใบหน้าคล้ำหมองกล่าวเอ่ย “ข้าได้ยินจากไหนก็ไม่สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญคือเมื่อพระชายาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ การจะพูดหรือจะแสดงอะไรก็ควรระมัดระวังทุกย่างก้าว อย่าไปทำให้ผู้ใดรู้สึกระคายเคือง คนรอบข้างจะได้ไม่พลอยลำบากไปด้วย”
เจียงอันเฉิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแทรก “ท่านแม่ ซื่อเอ๋อร์เป็นเด็กรู้ความ นางรู้ว่าควรวางตัวเช่นไร…”
“เจ้าเงียบไปเลย!” เฝิงเหล่าฮูหยินแผดเสียงใส่บุตรชายคนโตที่ไม่เคยอยู่ในสายตา
เมื่อเห็นว่าบิดาถูกปฏิบัติเช่นนั้น สายตาของเจียงซื่อก็ขับประกายเย็นชาในทันที นางเลิกคิ้วพลางถาม “ท่านย่าคิดว่าใครคือคนที่ไม่ควรทำให้ระคายเคืองหรือเจ้าคะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินหน้าบึ้งตึงมิได้โต้ตอบ
เจียงซื่อคลี่ยิ้มพลางถามสั้นๆ “ฉีอ๋อง?”
เฝิงเหล่าฮูหยินไม่อยากมีปัญหากับหลานสาวที่เป็นพระชายาอ๋อง นางทำได้เพียงถอนหายใจ “ซื่อเอ๋อร์ ย่าไม่ได้ตำหนิเจ้า แต่เพราะฉีอ๋องเป็นบุคคลที่เจ้าไม่ควรมีเรื่องด้วย เพราะในตอนนี้หากตัดฉินอ๋องออกไป ก็นับว่าเขาเป็นโอรสองค์โตที่สุด…”
“ท่านย่าคิดมากเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” เจียงซื่อกล่าวเย็นชา
เมื่อเห็นว่าหลานสาวไม่มีท่าทีคล้อยตามแม้แต่น้อย เฝิงเหล่าฮูหยินก็เริ่มเร้าโทสะอีกครั้ง “เจ้าหนูสี่ หากเจ้าทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง เจ้าไม่กลัวว่าจวนปั๋วจะเดือดร้อนกันหมดหรือ”
เจียงซื่อชำเลืองมองไปที่เฝิงเหล่าฮูหยินพลางกล่าว “พระชายาฉีอ๋องกลายเป็นคนวิกลจริต ไม่สามารถพบหน้าผู้ใดได้แล้วเจ้าค่ะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินนิ่งอึ้ง นางยังไม่เข้าใจสิ่งที่เจียงซื่อต้องการจะสื่อ
แต่เมื่อเจียงซื่อกล่าวจบ นางกลับยกถ้วยชาขึ้นมาละเลียดทีละน้อย
เฝิงเหล่าฮูหยินรู้สึกว่าประโยคที่นางพูดสื่อความหมายบางอย่าง สายตาของนางจึงยังคงจดจ้องไปที่หลานสาว
เจียงซื่อรู้ว่าเฝิงเหล่าฮูหยินกำลังพิศมองมาที่นาง นางจึงผุดยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ หลานก็แค่พูดให้ฟัง”
สีหน้าของเจียงอีที่นั่งอยู่ข้างๆ เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง หัวใจของนางเต้นแรง
นี่น้องสี่…กำจัดพระชายาฉีอ๋องไปอีกคนแล้วหรือ
เฝิงเหล่าฮูหยินสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเจียงอี นางจึงขมวดคิ้วและคิดใคร่ครวญคำพูดของเจียงซื่ออีกครั้ง
ในทันใดนั้น หัวใจของเฝิงเหล่าฮูหยินแทบหยุดเต้น เพราะมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในสมอง นี่หนูสี่กำลังขู่นางงั้นหรือ
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เฝิงเหล่าฮูหยินก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “พระชายา…”
เจียงซื่อเขี่ยถ้วยชาในมือพลางถามอย่างใจเย็น “ท่านย่าไม่เห็นด้วยหรือว่า ชีวิตคนเราช่างไม่เที่ยงเอาเสียเลย”
เฝิงเหล่าฮูหยินไม่อาจทำใจสงบนิ่งได้อีกต่อไป นางมิได้ตอบรับคำกล่าวของหลานสาว
เจียงซื่อวางถ้วยกระเบื้องสีขาวลงบนโต๊ะตัวเล็ก แย้มยิ้มพลางบอก “ฉะนั้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องคิดมากเลยเจ้าค่ะ การปล่อยให้เรื่องที่อยู่ไกลเกินเอื้อมมาทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ ช่างเป็นการกระทำที่โง่เขลาจริงไหมเจ้าคะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินส่ายศีรษะซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เด็กคนนี้เนี่ยนะ ขนาดพระชายาฉีอ๋องนางยังกล้าคิดบัญชี นี่ใจนางไม่คิดจะเป็นรองผู้ใดเลยหรืออย่างไร
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปสุดท้ายภัยก็จะมาถึงตัว!
เฝิงเหล่าฮูหยินปรับเปลี่ยนน้ำเสียงให้จริงจังกว่าเก่า “ซื่อเอ๋อร์ อยู่ใกล้กษัตริย์ก็เหมือนอยู่ใกล้เสือ…”
ถึงอย่างไรนางคงไม่สามารถขัดใจเจ้าเด็กนี่ได้ ขนาดพระชายาฉีอ๋อง นางยังกล้าทำ แล้วนางที่เป็นย่า นางจะไม่กล้าลงมือได้อย่างไร
ในวินาทีนั้น เฝิงเหล่าฮูหยินยอมรับแล้วว่าความสัมพันธ์ของนางและหลานสาวที่อยู่ในสถานะสูงส่งช่างเปราะบาง ดังนั้นนางคงไม่มีโอกาสได้เป็นท่านย่าที่เคารพรักของหลานสาวอีกแล้ว
น้ำเสียงของเฝิงเหล่าฮูหยินอ่อนลง ส่วนเจียงซื่อส่งยิ้มจางๆ “ท่านย่าวางใจได้เจ้าค่ะ เสด็จพ่อทรงดีกับหลานมาก”
เฝิงเหล่าฮูหยินกลอกตา
เจ้าหนูสี่แข็งกร้าวดื้อดึงขนาดนี้ ฮ่องเต้จะทรงดีต่อนางได้อย่างไร
ในขณะนั้น บ่าวรับใช้ในจวนก็รี่เข้ามา “เหล่าฮูหยิน ที่วังหลวง…ที่วังหลวงให้คนมาส่งราชโองการเจ้าค่ะ!”
เฝิงเหล่าฮูหยินลุกพรวด นางปราดตาไปทางเจียงอันเฉิงที่อยู่ในอาการงงงวย ก่อนจะหันไปมองเจียงซื่อที่ทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางหันไปหาบ่าวรับใช้พร้อมออกคำสั่ง “ไปช่วยข้าเปลี่ยนชุดเดี๋ยวนี้”
นางเปลี่ยนไปสวมชุดพิธีการในเวลาเพียงไม่นาน ก่อนจะพาคนอื่นๆ ไปที่เรือนหน้า
ข้าหลวงผู้ถ่ายทอดพระราชโองการยืนรออยู่ที่กลางลาน ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าจึงหันหลังกลับมา
เฝิงเหล่าฮูหยินสับเท้าเข้าไปหาไวประหนึ่งเหาะเหินเดินอากาศพร้อมเอ่ย “ให้กงกงคอยนานแล้ว”
“เหล่าฮูหยินไม่ต้องมากพิธี” ข้าหลวงอยู่ในท่าทีอ่อนสุภาพ เขาหันไปถวายความเคารพแก่เจียงซื่อ “ถวายบังคมพระชายา ที่แท้เหนียงเหนียงก็อยู่ที่นี่”
เจียงซื่อผงกศีรษะเล็กน้อย “เล่อกงกงไม่ต้องมากพิธี”
เฝิงเหล่าฮูหยินได้ยินประโยคนั้นซ้ำเป็นครั้งที่สองทว่ากลับรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งยวด
นางเกรงว่าจะทำให้ข้าหลวงต้องคอยนาน นางจึงรีบเร่งมาที่เรือนหน้าจนขาแทบจะขาดเป็นสองท่อน แต่ข้าหลวงกลับถวายความเคารพเจ้าหนูสี่ นี่สินะคือความต่างของสถานะ นี่สินะคือสิ่งที่ใครก็ต่างก็อยากคว้ามาครอบครอง
การได้มีหลานสาวเช่นนี้ถือเป็นเกียรติอย่างหาที่สุดไม่ได้ เพียงแต่นิสัยของนางออกจะพิลึกเสียหน่อย อีกทั้งนางยังกลัวด้วยว่าหลานสาวของตนจะเที่ยวไปก่อเรื่อง
เหมือนกับในตอนนี้ เฝิงเหล่าฮูหยินหวั่นใจ เพราะนางไม่รู้ว่าราชโองการนั้นเกี่ยวกับเรื่องอะไร
หากเป็นเรื่องชดเชยการสละชีวิตของเจียงจั้น ก็ควรรอให้เยี่ยนอ๋องกลับมาจากทางใต้ก่อนมิใช่หรือ
เฝิงเหล่าฮูหยินยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน ใจของนางในขณะนี้ร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
เสี่ยวเล่อจื่อหยิบราชโองการสีเหลืองทองออกมา คลี่ออกพลางออกเสียงเริ่มอ่านฉะฉาน
เฝิงเหล่าฮูหยินมีตำแหน่งสูงสุดจึงอยู่หน้าสุด ทุกคนในจวนคุกเข่ารอรับราชโองการกันถ้วนหน้า
เสียงแหลมเล็กของข้าหลวงดังก้องอยู่เหนือศีรษะ “ด้วยราชโองการแห่งสวรรค์ ฮ่องเต้จึงทรงมีพระราชบัญชา ข้าปกครองแผ่นดินด้วยวาจาและระงับความโกลาหลด้วยกำลัง แต่ตงผิงปั๋วผู้มีนามว่าเจียงอันเฉิงกลับเชี่ยวชาญทั้งการใช้สมองและการใช้กำลังต่อสู้ เป็นฟันเฟืองสำคัญของราชสำนัก อีกทั้งยังให้กำเนิดบุตรชายเจียงจั้น ผู้มีความสามารถโดดเด่นเหนือใคร และให้กำเนิดบุตรีเจียงซื่อผู้สิริโฉม…จึงมีคำสั่งอนุญาตให้ตำแหน่งตงผิงปั๋วส่งต่อไปอีกสามชั่วอายุคน จบราชโองการ”
แม้เสี่ยวเล่อจื่อกล่าวจบไปสักพักแล้ว แต่ในลานยังคงสงบนิ่ง ประหนึ่งว่าสรรพสิ่งนิ่งค้างอยู่กลางอากาศ
ทุกคนที่กำลังคุกเข่าหรือแม้แต่เจียงซื่อต่างตกอยู่ในภวังค์
นี่มันเกิดอะไรขึ้น นางยังไม่ได้ทำอะไรเลย เหตุใดจู่ๆ ถึงมีลาภลอยหล่นทับเช่นนี้
ตำแหน่งตงผิงปั๋วเป็นของเจียงอันเฉิง การที่ได้รับอนุญาตให้ตำแหน่งส่งทอดไปอีกสามรุ่นเท่ากับเป็นเครื่องรับประกันให้กับบุตรหลานของเขา
เจียงซื่อน้อมรับด้วยความเต็มใจ นางรู้สึกยินดีแทนผู้เป็นบิดาอย่างหาที่สุดมิได้
เสี่ยวเล่อจื่อเห็นว่าไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองจึงกระแอมไอแผ่วเบา “ท่านปั๋ว ออกมารับราชโองการไปเถิด”
เจียงอันเฉิงรับราชโองการไปด้วยอาการมึนงง ในหัวขาวโพลนไร้ความคิด
“เช่นนั้นพวกข้าขอตัวกลับไปรายงานที่วังหลวงก่อนก็แล้วกัน” เสี่ยวเล่อจื่อรีบกลับออกไป
เฝิงเหล่าฮูหยินลุกขึ้นโดยมีซานไท่ไท่กัวซื่อช่วยพยุง ร่างกายของนางอ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรง
นางคว้ามือเจียงอันเฉิงและรีบถามทันควัน “เหล่าต้า นี่มันเรื่องอะไรกัน”
เจียงอันเฉิงหันไปมองเจียงซื่อด้วยสีหน้างงงวย