ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 652 ออกเดินทาง
อาเฉี่ยวพยุงจี้หมัวมัวสุดแรงพลางกล่าว “จี้หมัวมัว คงไม่ได้เป็นอะไรมากใช่หรือไม่”
ใบหน้าของจี้หมัวมัวเขียวคล้ำ ริมฝีปากกลายเป็นสีม่วงและหนังตากระตุกวูบ เพราะมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นให้หัว พระชายาเป็นพวกพิลึก สาวรับใช้อีกสองคนของพระนางก็พิลึกดุจกัน
พระชายาแอบไปที่ทางใต้ มิหนำซ้ำยังโกหกฮองเฮา แล้วมันสำคัญด้วยหรือที่หญิงแก่ใกล้จะลงโลงอย่างนางจะตื่นตระหนกตกใจ
“พระชายา นี่พระองค์คงกำลังล้อเล่นใช่ไหมเพคะ” จี้หมัวมัวคิดว่าตนยังพอมีหวัง
เจียงซื่อหัวเราะ “ใช่ที่ไหนกัน ขนาดอาเฉี่ยวกับอาหมานยังจัดเตรียมสัมภาระไว้พร้อมขนาดนี้”
จี้หมัวมัวกลอกตาราวกับว่าจะเป็นลมอีกครั้ง
อาเฉี่ยวพยุงจี้หมัวมัวด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างตบหลังของนางเบาๆ “จี้หมัวมัว อย่าเพิ่งเป็นอะไรไป รอให้นายหญิงพูดให้จบก่อนสิ”
จี้หมัวมัวดันตัวอาเฉี่ยวพลางถามด้วยท่าทีเอาเป็นเอาตาย “อาเฉี่ยว ข้าถามจริงๆ เถอะ นี่เจ้าก็เก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้วอย่างนั้นหรือ”
อาเฉี่ยวพยักหน้าอย่างรู้สึกผิด
จี้หมัวมัวกุมหัว พยายามฝืนร่างกายไม่ให้ล้มพับล้มไป “อาเฉี่ยว พระชายากำลังเล่นตลก เจ้าก็เล่นตลกตามน้ำไปด้วยอีกคนงั้นหรือ”
อาเฉี่ยวยังไม่ทันได้โต้ตอบ ใบหน้าของเจียงซื่อก็เย็นชาขึ้นทันใด “พอ”
น้ำเสียงเย็นเยียบทำให้จี้หมัวมัวชะงักไปด้วยอาการสั่นสะท้าน
เหตุไฉนนางถึงได้ลืมไปว่าพระชายามิใช่คนใจเย็น
เจียงซื่อหุบยิ้ม ใบหน้านิ่งเป็นปกติ “จี้หมัวมัว ที่ข้าเรียกเจ้ามาแค่แจ้งให้ทราบ ไม่ได้ต้องการความคิดเห็น”
คนอื่นมีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องในจวนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
แม้จี้หมัวมัวจะเกรงกลัวเจียงซื่อ แต่นางก็ยังกลั้นใจเอ่ย “ต่อให้พระชายาเกลียดชังบ่าว โทษบ่าว หรือสั่งให้บ่าวไปขัดห้องพระบังคน บ่าวก็จำเป็นต้องพูดเพคะ พระชายาทรงคิดหรือไม่ว่าหากเกิดเรื่อง ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรเพคะ”
ท่าทีเด็ดเดี่ยวของจี้หมัวมัวไม่ได้ทำให้เจียงซื่อเร้าโทสะ
เพราะนางทราบดีว่าจี้หมัวมัวท้ำเช่นนี้ก็เพื่อจวนอ๋อง ฉะนั้นนางจึงบอกเรื่องนี้กับหญิงชรา
เรื่องธุระปะปังในจวนมิใช่งานถนัดของอาเฉี่ยวและอาหมาน ฉะนั้นจี้หมัวมัวจึงเหมาะสมจะดูแลในส่วนนี้มากที่สุด
“ข้าได้รับการยินยอมจากฮองเฮาแล้วว่าหากท่านอ๋องยังไม่กลับมา ข้าไม่จำเป็นต้องออกจากจวน หมัวมัวไม่ต้องกลัวไป หากจวนอ๋องมิได้ส่งเสียงก็จะไม่มีผู้ใดทราบเรื่องนี้”
“แต่ว่า…”
เจียงซื่อเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอาจหาญ “ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หมัวมัวจะเต็มใจช่วยพวกอาเฉี่ยวหรือไม่ก็สุดแท้แต่จะเลือก แต่หากไม่ ก็ขอให้ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็แล้วกัน อาเฉี่ยว พาจี้หมัวมัวออกไป”
“พระชายา พระชายา…” จี้หมัวมัวถูกอาเฉี่ยวลากออกไปจากห้อง นางเดินวนอยู่หน้าห้องอย่างร้อนใจก่อนจะย่ำเท้าปึงปังออกไป
ไม่ได้ นางต้องหากำลังเสริม!
เจียงซื่อเฝ้าดูจี้หมัวมัววิ่งออกไปผ่านทางหน้าต่างก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบา แล้วจึงเดินเข้าไปในห้องข้าง
ในขณะนั้นอาฮวนยังไม่เข้านอน เด็กน้อยกำลังจ้องมองไปที่ลูกกลมๆ หลากสีที่ห้อยอยู่เหนือศีรษะ
เจียงซื่อเก็บความรู้สึกรวดร้าวไว้ในใจ นางหยิบกลองป๋องแป๋งที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาหมุน
เมื่อเสียงป๋องแป๋งดังก้อง อาฮวนก็แสดงท่าทีสนใจ เด็กน้อยหันมาส่งยิ้มให้ผู้เป็นมารดา
เจียงซื่อจับเด็กตัวเล็กมาไว้ในอ้อมกอด นางแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
อาฮวนของนางยังเล็ก แต่นางต้องทิ้งบุตรสาวไว้ที่นี่เพื่อเดินทางไกลโดยไม่รู้เลยว่าจะได้กลับมาเมื่อไหร่
ไม่ได้ นางจะต้องกลับมาฉลองปีใหม่กับอาฮวนให้ทัน
เจียงซื่อตัดสินใจแน่วแน่
“เก็บปทุมจากแม่น้ำเจียงหนาน ใบบัวซ้อนชั้นเขียวชอุ่ม หมู่มัจฉาแวกว่ายบนใบบอน…”
เสียงอ่อนโยนขับกล่อมแผ่วเบา อาฮวนจดจ้องใบหน้าของมารดาไม่วางตา
ไม่รู้ว่าเพลงนั้นถูกขับร้องวนซ้ำกี่รอบกว่าอาฮวนจะหลับ
เจียงซื่อไซร้แก้มของตัวเองกับใบหน้าเล็กๆ แผ่วเบาก่อนจะส่งให้แม่นม แล้วจึงเดินออกไปเงียบๆ
ลานในจวนเย็นเยือกสงัดเงียบ สายลมหนาวโบยโบกพัดกลีบดอกล่าเหมยให้คลี่ออก ส่งอวลไอกลิ่นหอมกระจายทั่ว
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เกล็ดหิมะเรียวเล็กก่อตัวเป็นก้อนปุยสีขาวร่วงหล่นลงมาจากฟ้า
หิมะตกแล้ว
อาเฉี่ยวแอบมองเจียงซื่อแล้วดวงตาของนางก็แดงระเรื่อ
นางยังไม่เคยเป็นแม่คนก็จริง แต่นางรู้ว่าในตอนนี้นายหญิงคงทุกข์ทรมานมากเพียงใด ซึ่งคงไม่ต่างจากตอนที่นางถูกบีบบังคับให้แยกจากมารดาครั้งยังเยาว์วัย
หลายปีเข้า ใบหน้าของมารดาก็เริ่มกระถดหายเข้าไปในความทรงจำรางเลือน มีเพียงความเจ็บปวดที่ยังฝังแน่นในใจที่ไม่อาจลบเลือน
ทันทีที่น้ำตาเย็นเฉียบไหลลงมา อาเฉี่ยวก็รีบยกมือขึ้นปาด นางขานเรียกเสียงเบา “นายหญิง”
ทว่าเจียงซื่อกลับไม่มีน้ำตาให้เห็น ท่าทีของนางยังคงสงบนิ่ง กอปรกับน้ำเสียงที่สงบนิ่งยิ่งกว่า “ตลอดเวลาที่ข้าไม่อยู่ที่จวน พวกเจ้าทั้งสองมีหน้าที่ดูแลอาฮวนให้ดี ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรก็ตาม ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าความปลอดภัยของอาฮวน เข้าใจหรือไม่”
อาเฉี่ยวพยักหน้าหงึกหงัก
อาหมานตบที่อกตัวเองเต็มแรง “นายหญิงวางใจได้เจ้าค่ะ มีบ่าวอยู่ทั้งคน ไม่มีใครได้แตะเสี่ยวจวิ้นจูแม้แต่ปลายขนอย่างแน่นอน”
เจียงซื่อกลับเข้าไปในห้อง ปลดเครื่องประดับออกทั้งหมด นางจัดแจ้งหวีผมเผ้าเสียใหม่ และเปลี่ยนไปใส่อาภรณ์ของสตรีสาวทั่วไป จากนั้นนางก็เดินตามผู้อาวุโสฮวาออกไป
ผู้อาวุโสฮวาที่สวมหมวกคลุมศีรษะที่ปิดใบหน้าช่วงบนเดินนำออกไป บ่าวรับใช้ที่เห็นนางต่างมองมาด้วยสีหน้าสงสัย
อาหมานจ้องเขม็ง “เจ้าคนพวกนี้ไม่รู้จักกาละเทศะเลยหรืออย่างไร นี่คือแขกที่พระชายาทรงเชิญมา พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรมาจ้องแขกเช่นนี้ ถ้ายังไม่หันกลับไป ข้าจะควักลูกตาออกมาให้หมด!”
บ่าวรับใช้ถูกขู่เช่นนั้นก็รีบก้มหน้าก้มตาและแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง
รถม้าลากคันหนึ่งจอดรอท่าอยู่ที่หน้าประตูฉุยฮวา สารถีในวันนี้คือเหล่าฉิน
หลงต้านยืนอยู่ไม่ไกลจากรถม้า ทันทีที่เห็นเจียงซื่อแต่งตัวเป็นหญิงรับใช้ เขาก็อยากจะร้องไห้
เดิมทีเขาเคยคิดว่าการเป็นองครักษ์คุ้มกันความปลอดภัยให้พระชายาที่จวนจะเป็นงานง่าย อีกทั้งยังมีโอกาสได้เฝ้ามองว่าที่ภรรยาในอนาคตของตน แต่ไม่คิดเลยว่าชีวิตจะพลิกพลัน…
หลงต้านไม่อยากคิดถึงอนาคต เขายกมือขึ้นลูบหน้าก่อนจะเดินเข้าไปหา
ม่านประตูรถถูกเลิกขึ้น เจียงซื่อเกาะแขนผู้อาวุโสฮวาขึ้นไปบนรถม้า
อาเฉี่ยวตาแดงหนักกว่าเก่าพร้อมเอ่ย “เดินทางปลอดภัยเพคะ”
เจียงซื่อนิ่งไปชั่วครู่แล้วจึงพยักหน้า
อาเฉี่ยวและอาหมานยังยืนนิ่งอยู่ที่เก่า สายตาจ้องมองรถม้าที่ค่อยๆ เคลื่อนไกลออกไป
อาหมานก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างอดไม่ได้ แต่ถูกอาเฉี่ยวรั้งตัวเอาไว้ “อาหมาน เดี๋ยวคนอื่นรู้”
“ข้ารู้แล้ว” อาหมานถอนหายใจยาวด้วยความเศร้าสร้อย นางยกมือขยี้ตาตัวเอง “ข้าไม่คิดเลยว่าจะถูกนายหญิงทิ้งจริงๆ อาเฉี่ยว เจ้าว่าหากนายหญิงอยู่คนเดียว ใครจะหวีผม ทำอาหาร ซักเสื้อผ้าให้เล่า…”
อาเฉี่ยวเอ่ยปราม “เงียบเดี๋ยวนี้”
อาหมานพูดประหนึ่งว่าจะเปลี่ยนอะไรได้ หากนางรู้เช่นนี้ นางขอควรขอตามไปด้วยแต่แรก
ในขณะที่หญิงรับใช้ทั้งสองกำลังทุกข์ใจ จู่ๆ เงาตะคุ่มสีดำก็พุ่งพรวดออกไป
ทั้งคู่ตกตะลึงอยู่พักใหญ่กว่าจะได้สติ
“อาเฉี่ยว เอ้อร์หนิวตามไปแล้ว ทำอย่างไรกันดี”
เมื่อเห็นว่าเอ้อร์หนิววิ่งตามไปและกระโดดขึ้นไปบนรถม้า อาการของอาเฉี่ยวกลับสงบลง “พวกเราวิ่งไม่ทันเอ้อร์หนิวหรอก ปล่อยมันไปเถอะ”
“ก็จริง” อาหมานอิจฉาเอ้อร์หนิวที่ได้ตามไปด้วย แต่แล้วก็ทำได้เพียงเดินตามอาเฉี่ยวเข้าไปในอวี้เหอย่วน
ผ่านไปไม่นาน สาวรับใช้อีกคนก็เข้ามารายงานว่าจี้หมัวมัวต้องการเข้าเฝ้าพระชายา
แต่เมื่อจี้หมัวมัวที่เพิ่งกลับมาจากการเรียกกำลังเสริมได้เห็นหน้าหญิงรับใช้ทั้งสอง นางก็ขมวดคิ้วปั้นหน้าขรึมพลางถาม “พระชายาพักอยู่รึ พวกเจ้าไปรายงานเหนียงเหนียงทีว่าข้าส่งคนไปแจ้งแก่จั่งสื่อแล้ว ขอให้พระชายาทรงคิดทบทวนดูอีกสักครั้งก่อนไป”
อาหมานสั่นหัว “บัดนี้หมดโอกาสจะคิดทบทวน เพราะพระชายาเสด็จออกไปแล้ว”