ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 680 เจ้าปากคางคก ข้ามาแล้ว
น้ำเสียงของเจียงซื่อดูสงบแน่วแน่ ทำให้ชายคนนั้นตกใจแล้วโพล่งออกมา “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
เขากลัวตายแต่ก็ยิ่งไม่กล้าเปิดเผยความลับของเผ่าออกมา เมื่อสักครู่ที่เขายอมเปิดปาก เพียงแค่ต้องการทำให้ผู้คนเหล่านี้สับสนและผลักเรื่องนี้ไปให้เผ่าอูเหมียว
แต่เหตุใดชายหนุ่มผู้อยู่ตรงหน้านี้จึงได้รู้ว่าเขาเป็นคนของเผ่าเสวี่ยเหมียว
เจียงซื่อยังคงสงบนิ่งดังเดิม ทำให้ชายผู้นั้นหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น
อวี้จิ่นก้มลงไปมองชายผู้นั้น แตะไปที่คางของตนเบาๆ แล้วเอ่ยถามว่า “หัวหน้าเผ่าของเจ้าส่งเจ้ามาสังหารข้างั้นหรือ”
เดิมทีคนที่เขาตั้งใจจะฆ่ากลับเริ่มลงมือเสียเองก่อน โลกนี้กลับตาลปัตรหรืออย่างไร
แต่เนื่องด้วยเหตุนี้ ทำให้ความลังเลของอวี้จิ่นหมดสิ้นไป
“เจ้าลองบอกเหตุผลมา”
ชายคนนั้นเม้มปากแน่นไม่กล้ากล่าวสิ่งใด
ต่อให้ตีเขาจนตายเขาก็ไม่บอกหรอก
เจียงซื่อไม่แปลกใจกับพฤติกรรมของชายคนนี้
ชนเผ่าเหล่านี้เชื่อในเทพเจ้าแห่งความเที่ยงตรง และจิตใจของพวกเขาแข็งแกร่งมาก พวกเขาจะไม่เอ่ยในสิ่งที่ไม่ควรเอ่ยถึง แม้ว่าจะต้องทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดเพราะถูกงูนับหมื่นตัวรุมฉกก็ตาม
การที่เผ่าเสวี่ยเหมียวลงมือกับอวี้จิ่น คาดว่าคงจะมีแรงจูงใจที่เพียงพอ ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่อยากประจันหน้ากับองค์ชายแห่งราชวงศ์ต้าโจว
หลายวันมานี้ดูเหมือนเจียงซื่อจะรับรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากหัวหน้าผู้อาวุโส ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้เมื่อชาติที่แล้วนางไม่ได้รับรู้ นางครุ่นคิดอยู่ในใจและดูเหมือนจะเดาได้
“เพราะคำทำนายนั้น?”
ชายคนนั้นตกตะลึงแล้วมองมาทางเจียงซื่อราวกับเห็นผี
เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดเด็กหนุ่มผู้มีหน้าตาแสนธรรมดาคนนี้จึงได้รู้เรื่องเหล่านั้น
ปฏิกิริยาของชายผู้นั้นทำให้เจียงซื่อมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่าการคาดเดาของนางถูกต้อง จึงได้กล่าวอย่างเย็นชาว่า “สำหรับองค์ชายเจ็ดแห่งราชวงศ์ต้าโจว ซึ่งเป็นผู้ที่อาจนำพารุ่งอรุณมาสู่เผ่าอูเหมียวได้ พวกเจ้าต้องการตัดไฟแต่ต้นลมใช่หรือไม่”
ก่อนหน้านี้เผ่าเสวี่ยเหมียวและอูเหมียวเคยเป็นครอบครัวเดียวกัน ต่อมาเนื่องจากไม่พึงพอใจกับประเพณีที่เคารพนับถือสตรีเป็นใหญ่ บรรดาบุรุษที่มีความสามารถกลุ่มหนึ่งจึงได้แยกตัวออกมาเป็นเผ่าเสวี่ยเหมียว
น่าเสียดายเหลือเกิน ผู้ที่มีความสามารถและพรสวรรค์สูงสุดมักจะเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ จึงทำให้เผ่าเสวี่ยเหมียวถูกอูเหมียวข่มเหงตลอดมา
หากจะกล่าวว่าบรรดาชนเผ่านับสิบเผ่า ชนเผ่าใดที่เห็นเผ่าอูเหมียวเป็นขวากหนามขวางตา นั่นก็คือเผ่าเสวี่ยเหมียวไม่มีผิดเพี้ยน สำหรับคนที่นำพาประโยชน์มาให้เผ่าอูเหมียวตรงหน้านี้ แน่นอนว่าเผ่าเสวี่ยเหมียวต้องการจะทำลายทิ้ง
หากเป็นเมื่อชาติก่อน เจียงซื่อไม่รู้ถึงคำทำนายนั้นนางคงไม่สามารถคาดเดาเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว และคงไม่โทษเผ่าเสวี่ยเหมียว เห็นได้ชัดว่าการมีข้อมูลต่างๆ ในมือนั้นสำคัญเพียงไร
วินาทีนี้ในที่สุดเจียงซื่อก็อดคิดไม่ได้ว่าคำทำนายอีกสองอย่างนั้นคืออะไร หากว่านางรู้ถึงคำทำนายอีกสองอันนั้น ความลับอันสับสนเหล่านี้คาดว่าคงจะถูกไขจนกระจ่าง
“เจ้าเป็นใครกันแน่” ชายคนนั้นจ้องไปทางเจียงซื่อตาเขม็ง หัวใจของเขาหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
แม้แต่หัวหน้าผู้อาวุโสเผ่าอูเหมียวยังไม่แน่ใจว่าพวกเขารับรู้คำทำนายนั้นหรือไม่ แต่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้รู้ได้อย่างไร
เขาจับจ้องไปยังใบหน้าของเจียงซื่อราวกับจะมองเข้าไปในจิตใจ
เจียงซื่อเพิกเฉยต่อคำถามของชายผู้นี้และนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต “เช่นนั้นหมายความว่าการที่มีสตรีคนหนึ่งซึ่งรูปร่างท่าทางคล้ายกับสตรีศักดิ์สิทธิ์อูเหมียวต้องการเข้าใกล้เยี่ยนอ๋อง เป็นฝีมือของพวกเจ้าด้วยใช่หรือไม่”
ความทรงจำอันน่าหวาดกลัวที่วัดไป๋อวิ๋นนางยังคงจำได้ดี ต่อมานางและอาจิ่นได้วางแผนจับทั้งสองคนนั้นเอาไว้ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่สามารถสืบความใดพบ
ส่วนอาจิ่นไม่ได้เผชิญหน้ากับการลอบฆ่าเพียงแค่ครั้งนั้นครั้งเดียว
เจียงซื่อเหลือบมองไปทางอวี้จิ่น
สีหน้าของอวี้จิ่นดูหนักอึ้งเขาปรากฏรอยยิ้มขี้เล่นขึ้นเล็กน้อยว่า “ข้าก็ยังสงสัยอยู่ เหตุใดเมื่อกลับไปถึงเมืองหลวงแล้วมักจะโดนแมลงวันบินตอมอยู่เสมอ ในที่สุดก็รู้ถึงที่มาที่ไปสักที”
ชายผู้นั้นรู้สึกขนลุกขนพองเนื่องจากรอยยิ้มของอวี้จิ่น เขากัดริมฝีปากล่างของตนเอาไว้
เรื่องที่คนเหล่านี้รู้มาก่อนแล้วเขาไม่อาจทำสิ่งใดได้ แต่สำหรับเขาจะไม่ยอมเอ่ยคำใดออกมาแม้แต่ประโยคเดียว
เสียงดังกร๊อบเบาๆ ลอยมา
สีหน้าของชายผู้นั้นดูบิดเบี้ยว ราวกับต้องการกล่าวบางอย่าง แต่พบว่าเขาไม่อาจเปล่งเสียงได้อีกต่อไป
เกิดอะไรขึ้น?
ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดมนลง ความรู้สึกสงสัยยังคาอยู่ในใจของชายผู้นี้
ในช่วงเวลาอันสั้นนั้น จู่ๆ เขาก็ตระหนักขึ้นได้ องค์ชายเจ็ดแห่งราชวงศ์ต้าโจวยังไม่ทันได้เอ่ยถามสิ่งใดเขาสักคำ ก็ได้หักคอเขาทิ้งเสียแล้ว
คนคนนี้ผิดปกติอย่างแน่นอน…มีผู้ใดสอบปากคำกันเช่นนี้บ้าง…
ความคิดเหล่านี้จางหายไปพร้อมกับศีรษะของชายผู้นั้นที่ร่วงลงมา
อวี้จิ่นหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดขึ้นมาเช็ดมือของเขาแล้วโยนศพเอาไว้ข้างกาย กล่าวเบาๆ ว่า “จัดการเขาให้เรียบร้อย”
หลงต้านตอบรับ จากนั้นลากร่างของชายผู้นี้ซึ่งยังมีความอบอุ่นอยู่เล็กน้อยออกไปทิ้ง
เจียงจั้นเลียริมฝีปากของตนกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ยังไม่ทันได้ถามสิ่งใดจากเขาเลยเหตุใดท่านจึงได้ฆ่าเขาทิ้งเช่นนี้”
เมื่อเดินทางมาถึงสนามรบทางใต้ เจียงจั้นนับว่าเคยเห็นเลือดนองมาไม่น้อย แต่การสืบถามที่ยังไม่ได้ความกลับฆ่าผู้ร้ายเสียแล้ว เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
อวี้จิ่นยิ้มขึ้น “เพียงแค่รู้ว่าใครต้องการจัดการข้าเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ถามมากไปก็ไร้ประโยชน์”
เจียงจั้นดูเหมือนจะไม่เห็นด้วย เขากล่าวด้วยความกังวลว่า “แต่เผ่าเสวี่ยเหมียวต้องการจัดการกับท่าน วิธีการจัดการของบรรดาเผ่าอันน่ามหัศจรรย์เหล่านี้มีมากมาย ยากนักที่จะป้องกัน”
หลังจากที่เขาเดินทางมาที่นี่ก็ได้รับการดูแลอย่างดีจากซั่งเฟิง และซั่งเฟิงเคยกำชับกับเขาหนักหนาว่าพยายามอย่าไปยั่วยุคนในชนเผ่าเหล่านี้ที่อาศัยอยู่ระหว่างราชวงศ์ต้าโจวและหนานหลาน เพราะบางทีอาจถูกจัดการทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นฝีมือผู้ใด
ท่านอ๋องยังไม่ทันสืบถามให้ชัดเจนกลับฆ่าปิดปากคนร้ายเสียแล้ว ในอนาคตคาดว่าคงจะวุ่นวายน่าดู แล้วนี่หากน้องสี่เข้าไปเกี่ยวข้องอีกด้วยก็คงจะแย่
เจียงจั้นอดไม่ได้ที่จะคิดดังนี้แล้วเหลือบมองดูเจียงซื่อ สายตาของเขาอดไม่ได้ที่จะมองไปทางด้านล่าง เมื่อจินตนาการถึงหนอนสีดำที่อยู่ในแขนเสื้อของน้องสาว เขาก็ละสายตากลับมาอย่างเงียบๆ
บางทีอาจจะเป็นเขาที่คิดมากไปเอง…
อวี้จิ่นยิ้มขึ้นอย่างไม่ชอบใจนัก “ไม่สำคัญว่าจะมีวิชามนตรามากมายเพียงใด หลงต้าน เจ้าอารักขาพระชายาไว้ให้ดี ข้าจะออกไปสักหน่อย”
“อาจิ่น...”
อวี้จิ่นตบมือของเจียงซื่อเบาๆ “อย่ากังวลใจไปเลย ข้าเพียงไปฆ่าใครสักคน ประเดี๋ยวก็กลับมา”
เจียงจั้นเช็ดใบหน้าของตน “ช้าก่อนท่านอ๋อง ท่านจะไปฆ่าผู้ใด”
น้ำเสียงผ่อนคลายเช่นนี้ราวกับว่าเขาเพิ่งจะเอ่ยถึงเรื่องไปเดินชมแม่น้ำจินสุ่ยกับสหายแล้วกลับมาอย่างไรอย่างนั้น
“หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียว” อวี้จิ่นตอบคำถามของเจียงจั้นเบาๆ
เจียงจั้นสะดุ้งเสียจนแทบสะดุดล้ม เขารีบเข้าไปคว้าแขนเสื้อของอวี้จิ่นเอาไว้แล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋อง คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฆ่าหัวหน้าเผ่าของเขาได้ ข้าคิดว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องวางแผนระยะยาว”
เจียงซื่อยื่นถุงหอมให้แก่อวี้จิ่นกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “รีบไปรีบมา”
เจียงจั้นหันศีรษะของตนไปมองดูเจียงซื่อ
เจียงซื่อเห็นดังนั้นจึงได้ปลอบโยนว่า “พี่รองวางใจเถิด อาจิ่นรู้ดีว่าควรทำเช่นไร”
เมื่อได้ยินเจียงซื่อกล่าวเช่นนี้ ความสุขในใจของอวี้จิ่นก็เบ่งบานดุจดอกไม้ มุมปากของเขาเผยอเป็นรอยยิ้มขึ้น “อืม ก่อนรุ่งอรุณข้าจะเดินทางกลับมา จะไม่ให้ล่าช้าต่อการเดินทางของเราแน่”
จนกระทั่งร่างของอวี้จิ่นหายลับไปในยามราตรี เจียงจั้นก็ยังคงไม่ได้สติกลับคืนมา
ประเด็นหลักคือกลัวว่าจะส่งผลต่อการเดินทางล่าช้าอย่างงั้นหรือ แล้วนี่น้องสี่ก็ปล่อยท่านอ๋องไปง่ายๆ เช่นนี้เลยว?
“น้องสี่…”
“อืม”
“เดิมทีข้าคิดว่าข้าเองค่อนข้างประมาทแล้ว…”
“ช่วงนี้พี่รองดีขึ้นมากทีเดียว” เจียงซื่อยิ้มปลอบใจพี่ชาย
“ไม่ ข้าหมายความว่า ท่านอ๋องทำเช่นนี้จะประมาทไปหรือไม่”
“พี่รองไม่ต้องเป็นห่วงหรอก อาจิ่นไม่ใช่คนสะเพร่าเช่นนั้น นี่ก็ดึกแล้วเราไปพักผ่อนกันเถิด พรุ่งนี้ยังต้องรีบเดินทาง”
เจียงจั้นกลับไปที่ห้องของตน ก้นยังไม่ทันได้ถึงพื้นเขาก็มีปฏิกิริยาหนึ่ง เขาระลึกไปถึงคำพูด ‘ท่านอ๋องไม่ใช่คนสะเพร่าเช่นนั้น ส่วนเขาดีขึ้นมากทีเดียวช่วงนี้’ เห็นได้ชัดว่าน้องสี่ลำเอียง
คุณชายรองเจียงรู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก แต่เมื่อคิดได้ว่าไม่มีมาคอยปลอบโยนเอาใจตน จึงทำได้เพียงหลับไปด้วยความโกรธเคือง
บัดนี้อวี้จิ่นกำลังวิ่งเข้าไปอย่างรีบร้อนท่ามกลางกลางดึกของเหมันตฤดู ต่างกับผู้ที่กำลังนอนหลับอย่างสนิท…
การฆ่าใครสักคนบางครั้งก็ยุ่งยาก แต่บางคราก็เรียบง่าย
และเขาชื่นชอบที่จะขจัดความยุ่งเหยิงโดยมีดอันรวดเร็ว ไม่ว่าเผ่าเสวี่ยเหมียวจะมีวิธีใดมากมายก็ตาม แต่เมื่อเจ้าคางคกนั่นตายไป ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ คาดว่าชาวเสวี่ยเหมียวคงจะไม่มีเวลาไปยุ่งเรื่องอื่น