ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 687 เว่ยซื่อเข้าวัง
ครั้นฮองเฮาเห็นองค์หญิงฝูชิงและองค์หญิงสิบสี่เดินเข้ามา นางก็วางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะพร้อมส่งยิ้มพลางถาม “ไหนเจ้าบอกว่าหลังจากไปเยี่ยมพี่สะใภ้เจ็ดแล้วจะไปเดินเที่ยวเล่นที่ตลาดมิใช่หรือ เหตุใดถึงได้กลับมาไวนัก”
องค์หญิงฝูชิงเม้มปากพลางเอ่ย “ร้านค้าพวกนั้นยังปิดอยู่เลยเพคะ พวกลูกถึงได้กลับมาก่อน”
ลึกๆ นางสงสัยว่าเสด็จแม่อาจทราบเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว ถึงได้ตอบรับคำขอของนางโดยไม่มีท่าทีอิดออด
ฮองเฮามองไปที่องค์หญิงสิบสี่พลางถาม “พวกเจ้าไปเยี่ยมพระชายาเยี่ยนอ๋องมาแล้วงั้นหรือ”
องค์หญิงทั้งสองตอบรับเป็นเสียงเดียว “ไปเยี่ยมมาแล้วเพคะ”
“เอ่อ แล้วนางว่าอย่างไรบ้าง”
องค์หญิงฝูชิงและองค์หญิงสิบสี่หันมาสบตากัน
ฮองเฮาเลิกคิ้ว “มีอะไรรึ”
องค์หญิงฝูชิงขบริมฝีปากก่อนจะตอบ “ตอนที่พวกลูกไปถึง ท่านพี่สะใภ้เจ็ดกำลังสวดภาวนาอยู่ในหอพระ นางมิได้ตรัสสิ่งใดเพคะ…”
หัวใจของฮองเฮาเริ่มเต้นแรง แต่น้ำเสียงของนางยังคงราบเรียบ “เหตุใดนางถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ พวกเจ้ามิได้รอสนทนากับนางก่อนหรือ”
องค์หญิงฝูชิงไม่เห็นว่าเป็นเรื่องแปลก นางเพียงแต่ส่งยิ้มพลางตอบ “สาวรับใช้ข้างกายของท่านพี่สะใภ้เจ็ดเล่าว่า ก่อนหน้านี้นางฝันถึงใครคนหนึ่ง ซึ่งคนผู้นั้นบอกว่าให้นางสำรวมวาจาจดจ่อกับการทำสมาธิแล้วอานิสงส์จะส่งผลแรงกล้า เมื่อทำเช่นนั้น ไม่เพียงแต่พี่เจ็ดจะกลับมาเร็วขึ้น แต่อาจมีเรื่องมงคลเกิดขึ้นก็เป็นได้เพคะ ดังนั้นพวกลูกจึงไม่อยากรบกวนท่านพี่สะใภ้เจ็ด”
ฮองเฮารู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน นางให้องค์หญิงทั้งสองกลับตำหนัก และนั่งครุ่นคิดกับตัวเองครู่หนึ่งก่อนจะเรียกองค์หญิงสิบสี่กลับมา
เมื่อองค์หญิงสิบสี่กลับมายืนอยู่ต่อหน้าฮองเฮาเป็นครั้งที่สอง นางก็ทราบในทันทีว่าการออกจากวังคราวนี้ต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างที่นางไม่รู้
นางรู้ว่าควรวางตัวเช่นไร เมื่อฮองเฮายังมิได้กล่าวเอ่ย นางก็ทำเพียงยืนนิ่งๆ อย่างเชื่อฟัง
ฮองเฮาพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย “สิบสี่ เจ้ากับฝูชิงได้พบพระชายาเยี่ยนอ๋องจริงๆ ใช่หรือไม่”
“พบเพคะ”
“ไหนเจ้าลองเล่าเหตุการณ์อย่างละเอียดให้ข้าฟังหน่อย”
“หม่อมฉันกับพี่สิบสามเข้าไปนั่งรออยู่ในห้องบุปผาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่หมัวมัวจะพาไปที่หอพระเพคะ ที่หน้าหอพระมีสาวรับใช้สองคนยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู พวกนางบอกว่าพวกนางคือสาวรับใช้ข้างกายของพระชายาเยี่ยนอ๋องเพคะ…”
“แล้วพระชายาเยี่ยนอ๋องล่ะ”
“ท่านพี่สะใภ้เจ็ดอยู่ในหอพระเพคะ พวกหม่อมฉันมิได้เข้าไป เพียงแต่ยืนกล่าวทักทายอยู่ที่หน้าประตูเพคะ”
“เช่นนั้นก็หมายความว่า ตั้งแต่พวกเจ้าไป พระชายาเยี่ยนอ๋องมิได้พูดอะไรเลยอย่างนั้นหรือ”
“เพคะ”
ฮองเฮาเงียบงันเนิ่นนานก่อนจะถาม “เจ้ามิได้จำผิดใช่หรือไม่ว่าที่เจ้าเห็นคือพระชายาเยี่ยนอ๋องจริงๆ”
คำถามพิสดารของฮองเฮาทำให้องค์หญิงสิบสี่อดใจเต้นมิได้
นางเป็นคนรอบคอบจึงใคร่ครวญชั่วครู่ก่อนจะตอบ “หม่อมฉันมีโอกาสพบท่านพี่สะใภ้เจ็ดไม่บ่อยนัก แต่ที่เห็นเป็นท่านพี่สะใภ้เจ็ดจริงๆ เพคะ…”
ฮองเฮาผงกหัวรับ “เจ้ากลับไปได้แล้ว ส่วนเรื่องวันนี้ อย่าได้เล่าให้ใครฟังเป็นอันขาด”
องค์หญิงฝูชิงถวายความเคารพฮองเฮา “เสด็จแม่วางพระทัยได้เพคะ ลูกทราบดีเพคะ”
ฮองเฮาพอใจในความเป็นเด็กรู้ความขององค์หญิงสิบสี่จึงมอบกำไลทองให้นางเป็นของกำนัล
องค์หญิงสิบสี่รับมาอย่างว่าง่ายก่อนจะกลับออกไป
ฮองเฮาพิงฉากกั้นพลางใคร่ครวญ
เมื่อถึงช่วงเวลาอาหารเย็น จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ส่งคนมาแจ้งว่าจะมาเสวยพระกระยาหารเย็นที่ตำหนักคุนหนิง ฮองเฮาจึงรีบสั่งให้ห้องเครื่องเตรียมสำรับสำหรับสองที่
ท้องฟ้ามืดเร็วกว่าปกติในขณะที่ตำหนักคุนหนิงจุดโคมแดงเรียงรายสว่างไสว ภายในตำหนักเรื่อสีนวลชวนให้รู้สึกอบอุ่น แต่ถึงกระนั้นจิตใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้กลับร้อนรน หลังจากกลืนอาหารไปได้เพียงสองคำ เขาก็สั่งให้นางในที่คอยปรนนิบัติออกไป แล้วจึงยกถ้วยชาขึ้นมาถือพลางเอ่ยถาม “ฝูชิงกลับมาแล้วรึ นางได้พบสะใภ้เจ็ดหรือไม่”
“ตอนที่พวกนางไปถึง สะใภ้เจ็ดกำลังสวดภาวนาอยู่ในหอพระเพคะ พวกนางจึงมิได้อยู่ที่นั่นนาน เพียงแต่ยืนดูจากที่หน้าประตูเท่านั้น…”
เมื่อได้ยินฮองเฮากล่าวดังนั้น จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ถอนหายใจพร้อมคลี่ยิ้มออกมาด้วยความโล่งอก “สะใภ้เจ็ดมีจิตใจแน่วแน่จริงๆ การที่คนหนุ่มคนสาวจะเป็นเช่นนี้ได้ต้องใช้ความตั้งใจอย่างมาก”
หากให้เขาไปนั่งท่องคัมภีร์สวดมนต์ เขาคงหลับตั้งแต่เริ่มแล้ว
ฮองเฮาขบคิดอยู่นาน แต่เพราะไม่มีหลักฐานชัดเจนจึงไม่อยากบอกเรื่องที่ตัวเองรู้สึกติดใจให้ฮ่องเต้รับรู้ นางจึงเพียงแต่ส่งยิ้มพลางตอบรับ “พระชายาเยี่ยนอ๋องเป็นผู้มีจิตศรัทธาแรงกล้า อีกไม่นานเยี่ยนอ๋องก็คงจะกลับมา”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินฮองเฮาเอ่ยถึงโอรสของตัวเอง คิ้วของเขาก็ขมวดด้วยความไม่พอใจ “ไปตั้งนานแล้วยังไม่กลับมาอีก ไอ้เด็กหัวรั้นเอาแต่ยืนกรานทำเรื่องที่มิได้ก่อประโยชน์”
ว่ากันว่าร่างบุตรชายของตงผิงปั๋วตกลงไปในแม่น้ำจี๋สุ่ย ซึ่งเป็นแม่น้ำที่มีกระแสน้ำไหลเชี่ยว มิใช่คูน้ำสายเล็กๆ ฉะนั้นการจะตามหาร่างศพให้พบยากยิ่งกว่าการขมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก
ฮองเฮารู้สึกดีต่อเยี่ยนอ๋องและพระชายาอยู่เป็นทุนเดิม นางจึงกล่าวแต่สิ่งที่ดี “เยี่ยนอ๋องรักพระชายาปานฉะนี้ เป็นเรื่องดีเสียอีกเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เย้ยหยัน “ไปเสียตั้งไกล ปล่อยให้ภรรยาสวดมนต์วันแล้ววันเล่า ไม่กลัวเลยหรือว่าหากนางเปลี่ยนใจไปใฝ่ทางธรรมจะทำอย่างไร…”
“อะแฮ่ม” ยิ่งฟัง ฮองเฮาก็ยิ่งรู้สึกไม่เข้าท่าจึงกระแอมไอออกมา
แต่จิ่งหมิงฮ่องเต้กลับรู้สึกราวกลับว่าได้ยกหินออกจากอก ความรู้สึกในตอนนี้เบาสบายจึงตั้งใจจะพักที่ตำหนักคุนหนิงเสียเลย
……
ณ ตำหนักอวี้เฉวียน เสียนเฟยได้ยินว่าฮ่องเต้พักอยู่ที่ตำหนักคุนหนิงก็เป็นเดือดเป็นร้อน
ฝ่าบาทจะไปนอนค้างกับนางสนมสาวๆ สวยๆ ที่ไหนก็ได้ แต่กลับไปนอนค้างอยู่กับฮองเฮา แล้วจะให้คนเก่าคนแก่ที่เข้าวังมานานอย่างนางรู้สึกอย่างไร
หมู่นี้เสียนเฟยรู้สึกว่าเรื่องอะไรก็ไม่เป็นใจ
นอกจากจะกำจัดสะใภ้เจ็ดไม่สำเร็จแล้ว สะใภ้สี่ดันพลอยติดหางเลขไปด้วย หากสะใภ้สี่เสียชีวิตไปก็นับว่าเลยตามเลย แต่กลายเป็นว่านางถูกช่วยชีวิตไว้ได้เสียอย่างนั้น ตำแหน่งพระชายาฉีอ๋องจึงถูกครอบครอง ทั้งที่นางไม่สามารถจัดการเรื่องต่างๆ ภายในจวนแทนเจ้าสี่ได้เลย
หากเป็นเช่นนี้ เจ้าสี่คงจะเหนื่อยไม่น้อย ไม่ต้องไปดูอื่นไกล ขนาดฉลองขึ้นศักราชใหม่ เจ้าสี่ยังเก็บเนื้อเก็บตัว แม้จะบอกว่าหลีกหนีจากปัญหายุ่งยาก แต่ถึงอย่างนั้นนางผู้เป็นมารดาก็อดสงสารไม่ได้
ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเจ้าสี่เหมาะสมจะได้รับตำแหน่งมากที่สุด แต่ฮ่องเต้กลับไม่แสดงท่าทีใดๆ การกระทำของฝ่าบาทต้องการจะสื่อความหมายใดกันแน่
เมื่อหวนคิดถึงท่าทีของฮ่องเต้ที่ปฏิบัติต่อฮองเฮาตลอดสองปีที่ผ่านมา เสียนเฟยก็เป็นทุกข์หนัก นางพยายามหาจังหวะช่วงฉลองปีใหม่เรียกพี่สะใภ้เว่ยซื่อเข้ามาที่วังเพื่อจะเตือนเรื่องนี้
เช้าวันถัดมา เสียนเฟยเชิญเว่ยซื่อ ฮูหยินแห่งอันกั๋วกงเข้ามาที่วังโดยใช้ข้ออ้างว่าอยากพบหน้าญาติมิตรในช่วงเทศกาลปีใหม่
เสียนเฟยไม่ได้พบหน้าเว่ยซื่อมานานแล้ว ฉะนั้นทันทีที่พบกันในห้องบรรทมของเสียนเฟย นางจึงตกใจไม่น้อย “ท่านพี่สะใภ้ เหตุใดสีหน้าถึงไม่สดชื่นเอาเสียเลย”
พี่สะใภ้ของนางเป็นคนยิ้มแย้มทว่าข้างในกลับทุกข์ตรม โดยปกตินางจะเป็นคนอ่อนโยน แต่ตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน นางก็ไม่เหมือนหญิงสาวที่มีบุตรชายอายุสามสิบอีกแล้ว
นางในตอนนี้ดูแก่ลงไปมากทีเดียว
โคนผมสีขาวปรากฏชัด หางตาเริ่มหย่อนคล้อย อีกทั้งผิวพรรณของนางก็หมองคล้ำ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ดูแก่ลงไปถนัดตา
เมื่อได้ยินเสียนเฟยเอ่ยถามเช่นนั้น เว่ยซื่อก็ถอนหายใจ “หม่อมฉันไม่มีสิ่งใดจะปิดบังเหนียงเหนียงหรอกเพคะ ที่หม่อมฉันเป็นเช่นนี้ก็เพราะเจ้าสาม!”
หากเป็นเมื่อก่อน เว่ยซื่อคงจะทำตัวเข้มแข็ง แต่ภรรยาของเจ้าสามเข้ามาอยู่ในบ้านตั้งนานแล้ว จากที่นางเห็นความสัมพันธ์ของเรือนสามก็ไม่สู้ดี บุตรชายที่เคยเชื่อฟังกลับกลายเป็นหนุ่มสำมะเลเทเมาอยู่ที่แม่น้ำจินสุ่ย เว่ยซื่อเองก็หมดแรงจะปิดเรื่องนี้
“เมื่อก่อนอี้เอ๋อร์หลงเฉี่ยวเหนียงอย่างกับอะไรดี เหตุใดจู่ๆ ถึงได้กลายเป็นเช่นนี้”
เว่ยซื่อพ่นลมเย็นชา “หญิงใจแคบ ก็ใจแคบอยู่ร่ำไป ลำพังตัวเองก็มีบุตรไม่ได้ ยังมิวายกลัวว่าอี้เอ๋อร์จะรับสาวรับใช้มาเป็นอนุ ทั้งที่น่าจะรู้จักอี้เอ๋อร์ดีว่าคนอย่างเขาไม่มีทางเอาสาวรับใช้มาเป็นอนุภรรยาอยู่แล้ว แต่นางก็ยังหาเรื่องชวนทะเลาะได้ไม่เว้นวัน พอนานวันเข้า อี้เอ๋อร์ก็เริ่มจะทนไม่ไหว เขาเลยหนีไปเที่ยวที่แม่น้ำจินสุ่ย หากเขาเอาสาวรับใช้มาเป็นอนุ หม่อมฉันก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล แต่ที่แม่น้ำจินสุ่ยมีแต่พวกผู้หญิงสำส่อน…”