ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 716 ความคิดแวบหนึ่ง
เมื่อเดินออกมาจากพระราชวังแล้ว ท้องฟ้าด้านนอกมืดสนิทตัดกับแสงไฟส่องเรืองจากที่ไกลๆ
ในวันธรรมดา จะมีเพียงบริเวณริมแม่น้ำจินสุ่ยเท่านั้นที่จะมีคนออกมาสังสรรค์รื่นเริงจนถึงรุ่งสาง แต่เมื่อถึงเทศกาลซั่งหยวน ทั่วทั้งเมืองหลวงก็เต็มไปด้วยแสงไฟสว่างไสว เป็นช่วงเวลาที่ชาวเมืองจะออกมาเฉลิมฉลองร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน
แม้ว่าในคืนวันนี้จะเกิดเรื่องขึ้นที่หอเซวียนเต๋อ แต่นั่นมิได้ทำให้บั่นทอนความสุขในการชมโคมไฟ การเล่นทายปริศนาบนโคมลอย หรือแม้กระทั่งการเดินเที่ยวเล่นของหนุ่มสาว
อวี้จิ่นจูงมือเจียงซื่อเดินออกไปพลางหันมาถาม “ยังอยากไปเดินเที่ยวอยู่หรือไม่”
เจียงซื่อมองอวี้จิ่นด้วยสายตาแปลกประหลาด “ตอนนี้ยังมีอารมณ์ไปเดินชมโคมอยู่อีกหรือ กลับจวนกันเถอะ ไม่แน่อาฮวนอาจจะยังไม่นอน”
อวี้จิ่นทำท่าเสียดาย “ข้ายังทายปริศนาบนโคมลอยนั้นไม่ได้เลย”
เจียงซื่อคลี่ยิ้ม “ข้ารู้คำตอบแล้ว”
“คืออะไร”
ขณะที่เกิดเรื่องที่หอเซวียนเต๋อ ทั้งคู่กำลังทายปริศนาบนโคมลอย ปริศนาที่เขียนว่า ‘ความหนาวเหน็บเจ็บทรวงไยต้องหวั่น’ ทำให้อวี้จิ่นคิดจนสมองแทบแตกแต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้
โคมนั้นเป็นรูปกระต่ายน่ารักน่าเอ็นดู คนที่ทายถูกจะได้รับโคมนั้นกลับไป ไม่ว่าเขาจะนำโคมนี้ไปให้ภรรยาหรือบุตรสาวก็ได้ทั้งนั้น
อวี้จิ่นเชี่ยวชาญในเรื่องศิลปะการต่อสู้ ฉะนั้นในด้านวิชาการอาจขาดตกบกพร่องไปบ้าง
หากจะให้อวี้จิ่นพูด เขาก็จะบอกว่า หากจะให้เขาทำได้ดีไปเสียทุกด้าน คนอื่นๆ จะทำอย่างไร เขาเลยต้องเหลือทางรอดให้คนอื่นบ้าง ซึ่งคนอื่นที่ว่าก็คือ นิมิตมงคล
เจียงซื่อทอดสายตามองไปยังถนนราชดำเนินพลางเอ่ยออกมาสองพยางค์ “ทนหนาว”
อวี้จิ่นถูฝ่ามือแล้วทำหน้ารู้แจ้ง “ต้องใช่แน่ ทำไมตอนนั้นข้าถึงนึกไม่ออก”
เจียงซื่อชำเลืองมองไปที่อวี้จิ่น “พูดอย่างกับตอนนี้คิดออกอย่างนั้นแหละ”
อวี้จิ่นผงะไปก่อนจะมองซ้ายขวา และเมื่อเห็นว่ามีเพียงพลทหารเฝ้าพระราชวังที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ไกลออกไป อวี้จิ่นก็บีบแก้มของเจียงซื่อด้วยความไวแสง พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม “บอกมา ว่าเจ้ารังเกียจที่ข้าเรียนน้อยใช่หรือไม่”
เจียงซื่อตกใจ “เจ้าดูออกด้วยรึ”
ทั้งสองหัวเราะร่าแล้วจึงพากันเดินขึ้นรถม้าที่มุ่งหน้ากลับไปที่จวนเยี่ยนอ๋อง
เมื่อมาถึงจวน อาฮวนยังไม่หลับตามคาด ทันทีที่เห็นเจียงซื่อ เด็กน้อยก็ยื่นมือขอให้อุ้ม นางฟังเพลงขับกล่อมอยู่ในอ้อมกอดของมารดาเพียงไม่นานก็ผล็อยหลับไป
อวี้จิ่นคิดในใจว่า แย่แล้ว ปีหน้าเจ้าเด็กน้อยคนนี้คงตัวติดมารดาเป็นตังเม
ทั้งคู่เข้าไปนอนพักอยู่ในห้อง อวี้จิ่นถึงได้มีโอกาสถามถึงสิ่งที่ตนสงสัยขณะที่อยู่ในพระราชวัง “อาซื่อ เจ้าฝันว่าเกิดเรื่องร้ายกับฝูชิงจริงๆ หรือ”
“ข้าแค่ฝันว่าเกิดเรื่องที่งานเทศกาลซั่งหยวน แต่จะเกิดขึ้นวันนี้หรือไม่ ไม่มีอะไรยืนยัน”
อวี้จิ่นเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าไม่เห็นเคยเล่าให้ข้าฟัง”
“ก็แค่ความฝัน ใครจะคาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นจริง ข้ากลัวว่าหากเล่าไป เจ้าอาจจะไปพูดให้เสด็จพ่อต้องคิดมาก ข้าก็เลยไม่เล่า” เจียงซื่ออธิบาย
“แล้วเรื่องก็เกิดขึ้นจริงตามที่เจ้าฝัน ช่างเหลือเชื่อยิ่งนัก…” อวี้จิ่นถอนหายใจ เขาไม่ได้ซักไซ้ต่อ
ครั้นเจียงซื่อเห็นว่าอวี้จิ่นตอบกลับมาเพียงเท่านั้น นางกลับรู้สึกไม่สบายใจจึงเอ่ยถามไปว่า “อาจิ่น เจ้าไม่รู้สึกว่ามันแปลกหรือ”
อวี้จิ่นผุดยิ้ม “ก็ต้องรู้สึกสิ แต่จะให้ข้าทำอย่างไร หรือว่าพอภรรยาฝันดี ข้าก็เลยไม่ต้องตั้งใจทำมาหากินแล้วงั้นหรือ”
“ฝันดี?” เจียงซื่อสงสัย “นี่จะเรียกว่าฝันดีได้อย่างไร ฝันนั้นมิใช่เรื่องดีสักหน่อย...”
ความทรงจำในชาติก่อนมิเคยเป็นเรื่องดี มีแต่เรื่องที่ทำให้ทุกข์ตรมระทมใจทั้งสิ้น
อวี้จิ่นส่งยิ้ม “การที่เจ้าฝันเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า ทำให้ป้องกันเรื่องร้ายได้ทันท่วงที แล้วจะไม่เรียกว่าเป็นฝันดีได้อย่างไร ต่อให้มีคนอิจฉาก็คงแย่งพรสวรรค์นี้ไปไม่ได้”
บางทีอาซื่ออาจมีความลับบางอย่าง แต่นั่นไม่ได้สำคัญ เพราะสิ่งที่สำคัญคือฝันของเขาเป็นจริงแล้ว นั่นก็คือการได้อาซื่อมาเป็นภรรยา
เมื่อได้ยินอวี้จิ่นกล่าวเช่นนั้น เจียงซื่อก็เบาใจ นางคลี่ยิ้ม “ความคิดเจ้านี่พิสดารเหลือเกิน”
อวี้จิ่นดึงม่านจากผ้าฝ้ายลงมา “ที่ฝูชิงต้องเสี่ยงอันตรายวันนี้กลับกลายเป็นโอกาสดีสำหรับพวกเรา”
“ทำไมรึ” เจียงซื่อยังไม่เข้าใจ
อวี้จิ่นเอื้อมมือไปกอดหญิงสาว “เจ้าจำที่ข้าพูดไว้ได้หรือไม่ ที่ข้าบอกว่าข้าอยากเป็นไท่จื่อโดยการยืมมือฮองเฮา ตอนนี้โอกาสมาถึงแล้ว”
“ไหนลองอธิบายให้ข้าฟังซิ”
ม่านจากผ้าฝ้ายกันไม่ให้แสงจันทร์ที่ลอดเข้ามาทางหน้าตาสาดส่องเข้ามาด้านใน อีกทั้งยังกันไม่ให้เสียงกระซิบในม่านเล็ดลอดออกไป
ผ่านไปสองวันเต็มๆ ฮองเฮาก็ยังไม่ได้รับความคืบหน้าเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดกับองค์หญิงฝูชิงจากจิ่งหมิงฮ่องเต้ อารมณ์ของนางหนักอึ้งขึ้นวันต่อวัน โดยเฉพาะยามที่นางต้องเห็นบุตรสาวของตัวเองไปที่ตำหนักฉือหนิง ใจของนางก็ยิ่งเป็นทุกข์หนัก
ในมุมของฮองเฮา ตราบที่ยังไม่พบตัวคนร้ายที่ทำร้ายบุตรสาวของนาง หัวใจของนางก็ยิ่งบีบคั้นขึ้นจนนางเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก
ฮองเฮาเดินใจลอยอยู่ในสวนพร้อมกับนางในอีกคนจนกระทั่งมาถึงบริเวณที่เป็นสวนดอกเหมย
ดอกเหมยร่วงเกลื่อนเต็มพื้นประดุจพรมที่ถักถอยจากดอกเหมย ทำให้เสียงฝีเท้าที่ย่ำลงไปนั้นเงียบเชียบ
ฮองเฮาทุกข์ใจยิ่งนัก นางในที่เดินตามอยู่ด้านหลังไม่กล้าส่งเสียงใด ทำได้เพียงเดินตามเงียบๆ
มีเพียงเสียงแผ่วเบาดังขึ้นจากหลังพุ่มไม้
ฮองเฮาชะงักฝีเท้าพลางเงี่ยหูฟัง
“เจ้ารู้หรือยังว่า เมื่องานซั่งหยวนชิงไต้ไม่ได้พลัดตกลงจากหอ แต่นางตั้งใจกระโดดลงมาเอง”
มีเสียงตกใจของใครอีกคน “นางเป็นนางในข้างกายองค์หญิงฝูชิงมิใช่รึ ชีวิตดีปานนั้นเหตุใดถึงได้กระโดดลงมาเพื่อปลิดชีพตัวเอง”
“มีคนบอกว่า นางตั้งใจจะทำร้ายองค์หญิงฝูชิง แต่เมื่อทำไม่สำเร็จก็เลยฆ่าตัวตาย…”
“มิน่าล่ะ หลังจากเทศกาลซั่งหยวน ข้าถึงไม่เห็นเหล่านางในที่รับใช้องค์หญิงฝูชิงอีกเลย ที่แท้ก็เป็นเพราะแบบนี้นี่เอง”
ฮองเฮายืนฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ทว่าในใจกลับลุกเป็นไฟ
ในเมื่อนางในข้างกายยังไม่ปลอดภัย ฮองเฮาก็ไม่กล้าประมาท นางจึงสั่งให้เปลี่ยนนางในทั้งหมดที่ทำงานอยู่ในตำหนักของธิดา ส่วนนางในที่หายตัวไปเกินครึ่งถูกส่งไปขังเพื่อรอการสอบสวน
นี่มิใช่เรื่องเล็ก คนในวังหลวงจึงตื่นตระหนกกันอยู่พักใหญ่
คนในวังส่วนใหญ่ทราบเรื่องที่เกิดกับองค์หญิงฝูชิง ต่อให้จะปิดก็คงปิดไม่มิด แต่สาเหตุที่ฮองเฮาโกรธคือขนาดคนในวังยังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ซึ่งนับว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ในอีกทางหนึ่ง ที่ไหนมีคน ที่นั่นก็มีเรื่องซุบซิบนินทา ใครหรือจะยับยั้งได้
ฮองเฮาบึ้งหน้าถมึงทึง นางอยากตะเพิดคนที่กำลังพูดเสียเดี๋ยวนั้น
แต่นางคือฮองเฮา การแอบฟังคนอื่นสนทนาเป็นการเสียมารยาท นางถึงยังไม่กล้าทำอะไร
ฮองเฮายังไม่ทันส่งเสียง หนึ่งในนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “ไม่คิดเลยว่าจะมีใครกล้าทำร้ายองค์หญิงที่เป็นพระธิดาในฮองเฮา โชคดีที่ฮองเฮาเปลี่ยนนางในที่ดูแลองค์หญิงใหม่ยกชุด”
อีกคนถอนหายใจ “ฮองเฮาจะปกป้องอะไรได้ ใครจะไปรู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น…”
ฮองเฮาโกรธจัด นางชำเลืองไปที่นางในที่ยืนอยู่ข้างๆ
นางในเข้าใจในทันที นางแผดเสียงดุดัน “ใครมาพูดจาไร้สาระอยู่ตรงนี้ ยังไม่รีบโผล่ออกมาอีก!”
พุ่มไม้สั่นไหวก่อนจะตามาด้วยเสียงฝีเท้าหนีเตลิด
นางในคนนั้นแหวกพุ่มไม้ออกไปดูก็เห็นเงาหลังของคนสองคนกำลังเผ่นแน่บหายไป
ฮองเฮาเดินตามไปพร้อมกับใบหน้าเย็นเยียบประหนึ่งแผ่นน้ำแข็ง
สองคนที่วิ่งหนีไปสวมชุดข้าหลวงในวัง ครั้นจะหาตัวให้พบคงยากราวกับงมเข็มในมหาสมุทร
“เหนียงเหนียง…”
ฮองเฮาสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินกลับไปที่ตำหนักพร้อมกับความรู้สึกอัดอั้นในทรวง
องค์หญิงฝูชิงตกอยู่ในอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า การที่คนงานวังหลวงเอาเรื่องนี้ไปพูดก็คงมิใช่เรื่องแปลก ความโกรธเคืองของฮองเฮายามที่ได้ยินคำซุบซิบยังมิสู้ความหวาดกลัวที่ก่อตัวขึ้นในใจ
นางกังวลว่าหากนางไม่อยู่แล้ว ใครเล่าจะปกป้องบุตรสาวสุดที่รักของนาง
ก่อนหน้านี้เคยมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาให้หัวของนาง หากนางมีโอรสสักคนจะเป็นอย่างไร
นางเป็นฮองเฮา ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับการสืบสันตติวงศ์มากที่สุด หากโอรสของนางได้เป็นองค์รัชทายาท และเมื่อเขาได้ขึ้นครองแผ่นดินผืนนี้ นางยังต้องกังวลว่าจะไม่มีใครปกป้องฝูชิงอีกใช่หรือไม่