ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 722 จงเหรินลิ่ง
แม้ว่าตาชั่งในใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้จะเริ่มเอียงไปทางอวี้จิ่นแล้ว ทว่าเดิมเขายังคงลังเลอยู่ แต่สุดท้ายการที่เซียงอ๋องกลับมาอีกครั้งทำให้ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยได้
สำหรับเจียงซื่อที่ฝันว่าองค์หญิงฝูชิงจะมีอันตรายช่วงเทศกาลหยวนจิ่งหมิงฮ่องเต้เชื่อเพราะต่อมาเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ
จากนั้นฮองเฮาเสนอขึ้นมาว่าอยากได้องค์ชายอยู่ใต้พระนามโดยอ้างว่าพระโพธิสัตว์เข้าฝัน จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงทำได้เพียงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
พระโพธิสัตว์สามารถเข้าฝันฮองเฮาได้งั้นหรือ เป็นสามีภรรยากันมาตั้งนานหลายปีคิดว่าเขาไม่รู้รึ เดิมฮองเฮาไม่ใช้คนที่สนใจในพระโพธิสัตว์ด้วยซ้ำ!
ต่อมาเขาได้ยินเซียงอ๋องบอกว่าไม่อยากมีภรรยาโดยอ้างว่าเป็นเพราะความฝัน อย่าว่าแต่เชื่อเลย จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่เอาที่ทับกระดาษหยกขาวที่เปลี่ยนอยู่บ่อยๆ มาทุบหน้าเซียงอ๋องก็บุญแล้ว
จากนี้ไปหากทุกคนต่างใช้ข้ออ้างเรื่องความฝันมาเรียกร้องเรื่องต่างๆ โดยไร้เหตุผล เห็นเขาเป็นฮ่องเต้กันอยู่หรือไม่
เจ้าแปดนี่ช่างมีความสามารถจริงๆ เลย นึกไม่ถึงเลยว่าจะหาข้ออ้างมาหลอกลวงเขาเพราะไม่อยากมีภรรยา จะยกลูกที่เห็นเขาเป็นคนโง่เช่นนี้ให้ฮองเฮางั้นหรือ ไม่ได้แน่นอน!
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้ตัดสินพระทัยได้ ก็มุ่งหน้าไปยังตำหนักคุนหนิง
ฮองเฮาเพิ่งกลับมาถึงตำหนักคุนหนิงได้ไม่นาน แม้ว่าจะมีองค์หญิงฝูชิงกับองค์หญิงสิบสี่ที่กลับมาจากตำหนักฉือหนิงมาพูดคุยด้วยก็ตาม ก็ยังคงรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย
ฝ่าบาทจะเลือกเยี่ยนอ๋องหรือไม่
ถึงแม้ว่านางจะแสดงความคิดเห็นออกไปอ้อมๆ ทว่าเรื่องสำคัญเช่นนี้แน่นอนว่าฝ่าบาทต้องมีความคิดของตัวเองอยู่แล้ว
ถ้าหากสุดท้ายแล้วฝ่าบาทเลือกเซียงอ๋อง นางจะควรจะตอบโต้อย่างไรดี
นางเป็นภรรยาของฮ่องเต้ ตำแหน่งจึงแตกต่างกับเหล่าพระสนมโดยสิ้นเชิง แต่หากทะเลาะกับฝ่าบาทขึ้นมาจริงๆ เห็นได้ชัดเลยว่าต้องไม่สบายใจแน่ อย่างไรก็ตามอะไรที่ยอมได้ก็ยอม แต่บางเรื่องก็จำเป็นต้องสู้ อย่างเช่นเรื่องรับพระโอรสเป็นบุตรของตน
องค์หญิงฝูชิงมองเห็นความผิดปกติของฮองเฮาจึงกระซิบออกไป “เสด็จแม่ ท่านยังกังวลเรื่องข้าอยู่อีกหรือ”
ฮองเฮาเก็บความรู้สึกไว้ ส่งยิ้มบางๆ ให้องค์หญิงฝูชิง “หลายวันมานี้พวกเจ้าทั้งสองล้วนซูบผอมกันหมด”
องค์หญิงฝูชิงเม้มริมฝีปาก “ลูกทำให้เสด็จแม่ลำบากใจแล้ว จากนี้ไปลูกกับน้องสิบสี่จะไม่ออกจากตำหนักไปตามอำเภอใจแล้ว จะอยู่ที่ห้องสุสานหรือไม่ก็อยู่กับท่านและเสด็จย่าทุกวันเลยเพคะ ทรงอย่าได้นึกถึงเรื่องนี้อีกเลย…”
ฮองเฮาแตะฝ่ามือองค์หญิงฝูชิงเบาๆ “เจ้าเด็กโง่”
เป็นเพราะว่าลูกสาวต้องไปตำหนักฉือหนิง เกรงว่าแม้จะอยู่ในตำแหน่งฮองเฮาก็หมดหนทางห้าม ถึงได้รู้สึกกังวล
เรื่องที่เกิดช่วงเทศกาลหยวน แท้จริงแล้วเกี่ยวข้องกับไทเฮาหรือไม่
ฮองเฮาคิดกำลังคิดเรื่องเหล่านี้ในใจ ทันใดนั้นก็ได้ยินนางในรายงานขึ้น “ฮ่องเต้เสด็จ…”
ฮองเฮาและองค์หญิงอีกสองท่านลุกขึ้นต้อนรับ จิ่งหมิ่งฮ่องเต้สาวเท้าก้าวเข้ามา
ไม่จำเป็นต้องพิธีรีตองมาก จิ่งหมิงฮ่องเต้มองลูกสาวทั้งสอง ยิ้มพลางตรัสขึ้น “ที่แท้พวกเจ้าก็มาหาฮองเฮา”
องค์หญิงฝูชิงเม้มริมฝีปากลง ยิ้มพูดออกไป “หากรู้แต่แรกว่าเสด็จพ่อจะมา เมื่อครู่คงมาพร้อมกับเสด็จพ่อแล้วเพคะ”
เมื่อเห็นฮองเฮาทำหน้าไม่เข้าใจ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ยิ้มพร้อมกับอธิบาย “เมื่อครู่ออกไปเดินข้างนอก บังเอิญเจอเข้ากับเด็กสองคนนี้พอดีน่ะ”
ฮองเฮารู้ดีว่าที่จิ่งหมิงฮ่องเต้มาหาเวลานี้แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะเรื่องบันทึกนามพระโอรส นางไม่แสดงอาการใดออกมาต่อหน้าองค์หญิงฝูชิงและองค์หญิงสิบสี่เลยแม้แต่นิดเดียว พูดคุยสัพเพเหระอยู่ไม่กี่ประโยค ถึงได้เอ่ยขึ้น “องค์หญิงฝูชิงและองค์หญิงสิบสี่ พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
องค์หญิงฝูชิงกับองค์หญิงสิบสี่ย่อเข่าเคารพพร้อมกัน แล้วทูลลา
ฮองเฮาลูบถ้วยชา กำมือแน่น ทว่าใบหน้ากลับนิ่งสงบ
ต่อหน้ากษัตริย์ของบ้านเมือง ทำได้เพียงเก็บความประหม่าไว้ในใจ แสดงท่าทางรีบร้อนออกไปอาจทำให้เรื่องกลับตาลปัตรได้
จิ่งหมิงฮ่องเต้ดื่มชา แล้วตรัสออกมาก่อน “ข้าคิดได้แล้ว ให้เจ้าเจ็ดอยู่ภายใต้นามของเจ้าก็แล้วกัน”
ฮองเฮาโล่งอกไปเยอะเลย เผยรอยยิ้มออกมาเด่นชัด “เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งเพคะ”
พอสังเกตเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของฮองเฮา จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็อมยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าฮองเฮาจะพอใจกับการตัดสินใจของข้านะ”
ฮองเฮารีบแสดงความเคารพต่อจิ่งหมิงฮ่องเต้ พลางเอ่ยพูดออกไป “ไม่ว่าฝ่าบาทจะให้องค์ชายท่านไหนอยู่ภายใต้นามของหม่อมฉัน หม่อมฉันล้วนพอใจทั้งนั้น แต่แน่นอนว่าหากเป็นเยี่ยนอ๋องจะพอใจมากเป็นพิเศษ”
เมื่อได้ยินฮองเฮาพูดเช่นนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกเป็นทุกข์ กลับกันกลับรู้สึกสุขใจขึ้นเล็กน้อย ยิ้มตรัสออกไป “ฮองเฮาแน่ใจว่าเจ้าเจ็ดจะดูแลองค์หญิงฝูชิงได้ดีหรือ”
ฮองเฮาเงียบไปพักหนึ่ง เอ่ยขึ้น “ข้าเป็นสตรี คงคิดการณ์ไกลได้ไม่เท่าฝ่าบาท และไม่ได้เข้าใจอะไรมากนัก แต่ข้ารู้สึกว่าบุรุษที่ปฏิบัติตัวดีต่อภรรยาและคนใกล้ตัวนั้นไม่เลวแน่นอน”
ดูอย่างฉีอ๋อง ปกติมักจะพูดว่ารักใคร่กลมเกลียวกับพระชายาฉีอ๋อง ทว่านางสนมในจวนแทบจะไม่มีที่อยู่แล้ว และหลังจากที่พระชายาฉีอ๋องเกิดเรื่องก็กลับมีท่าทีเยือกเย็นไปเสียอย่างนั้น
เรียกว่าเยือกเย็นก็ไม่ถูก เรียกว่าไร้น้ำใจจะถูกต้องกว่า
ถึงแม้พระชายาฉีอ๋องจะทำผิด แต่ถ้าหากฉีอ๋องเป็นห่วงนางจริงๆ ก็ไม่ควรเมินเฉยเช่นนี้ กับภรรยาที่อยู่ด้วยกันมาตลอดยังเป็นเช่นนี้ แล้วกับคนรอบข้างจะคิดอย่างไร
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินฮองเฮาพูดเช่นนี้ จึงแค่นเสียงหัวเราะออกมา
ฮองเฮาช่างมีสายตาเฉียบแหลมเสียจริง เขาก็ทำดีต่อภรรยา
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตัดสินใจได้แล้ว จึงรู้สึกดีขึ้นมา ส่วนฮองเฮาก็สมหวังดังปรารถนา จึงอารมณ์ดียิ่งกว่า
คนอามรมณ์ดีสองคนนั่งคุยกันแน่นอนว่าจึงคุยกันได้อย่างออกรสออกชาติ จิ่งหมิงฮ่องเต้นั่งอยู่สักพักถึงได้ลุกออกไป
เมื่อออกไปจากตำหนักคุนหมิง จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เงยหน้ามองฟ้า
ท้องฟ้ากว้างใหญ่ยิ่งนัก
พอกลับมายังห้องทรงพระอักษร จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ออกคำสั่งพานไห่ “เรียกจงเหรินลิ่ง”
ต้าโจวสร้างจงเหรินฝู่ก็เพื่อบันทึกราชนิกุลของราชวงศ์โดยเฉพาะ อีกทั้งเขียนและจัดการเรื่องหน้าที่การงานของฮ่องเต้และราชวงศ์
ฮองเฮาต้องการให้องค์ชายท่านหนึ่งอยู่ภายใต้พระนามเป็นเรื่องใหญ่ เช่นนั้นจึงขาดการปรึกษาหารือกับจงเหรินลิ่งไม่ได้
ไม่นาน เหล่าจงเหรินลิ่งก็เดินตัวสั่นเทาเข้ามา ถวายบังคมจิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้รีบตรัสออกไป “เสด็จอาไม่จำเป็นต้องมากพิธี เชิญนั่ง”
แต่ไหนแต่ไรมาจงเหรินลิ่งมีจงซื่ออ๋องกงเป็นผู้รับผิดชอบ จงลิ่งเหรินคนปัจจุบันอายุมากแล้วเป็นเสด็จอาของจิ่งหมิงฮ่องเต้
พานไห่รีบยกเก้าอี้มาวางไว้ที่ด้านข้างพระปิตุลา ประคองเขานั่งลง
เมื่อเห็นเสด็จอาร่างใหญ่ฝืนนั่งลงบนเก้าอี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เหลือบมองพานไห่
เหตุใดถึงให้เสด็จอานั่งลงบนเกาอี้เล็ก หากหกล้มไปจะทำอย่างไร
พานไห่เต็มไปด้วยความรู้สึกน้อยใจ
ต่อหน้าฝ่าบาททุกคนล้วนนั่งเก้าอี้เล็กนี่นา นอกจากฮองเฮาแล้ว ผู้ใดจะสามารถนั่งเก้าอี้โยกได้เล่า
ทว่าจงเหรินลิ่งกลับไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ เอ่ยถามออกไป “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทเรียกกระหม่อมเข้าวังมามีเหตุอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้แสดงสีหน้าบอกเป็นนัยให้พานไห่คุ้มกันอยู่ข้างกายจงเหรินลิ่ง จากนั้นยิ้มออกมาเล็กน้อย “มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ต้องพูดกับเสด็จอา”
เหล่าจงเหรินลิ่งยืดตัวตรงขึ้น แสดงท่าทีตั้งใจฟัง
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชำเลืองมองเหล่าจงเหรินลิ่งที่สามารถบรรยายได้เลยว่าเป็นชายร่างใหญ่ที่มีแววตาแน่วแน่เข้มแข็ง เขารู้สึกกังวลเล็กน้อย ลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงได้ตรัสออกไป “ข้าจะให้บันทึกนามเยี่ยนอ๋องเป็นโอรสภายใต้นามฮองเฮา…”
ทันทีที่พูดจบ เหล่าจงเหรินลิ่งก็เซพลัดตกลงมาจากเก้าอี้ โชคดีพานไห่มือไวตาไวประคองไว้ได้ทันจึงไม่เป็นอะไร
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลุกพรวดขึ้นอย่างอดไม่ได้ สีหน้าเป็นห่วง “เสด็จอาเป็นอะไรหรือไม่”
เหล่าจงเหรินลิ่งใบหน้าเหยเก ลมหายใจหอบถี่ ไม่สนใจเรื่องที่จะล้มเลยสักนิด เอ่ยพูดทันควัน “ฝ่าบาท ฮองเฮารับพระโอรสเป็นบุตรเป็นเรื่องใหญ่ ฝ่าบาทต้องคิดทบทวนให้ถี่ถ้วนนะพ่ะย่ะค่ะ!”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่เอ่ยเรื่องประทานที่นั่งออกมาอีก ตรัสพลางยิ้มบางๆ “เสด็จอาวางใจเถอะ ข้าคิดมาดีแล้ว”
“ฝ่าบาทได้ปรึกษาหารือกับหกกรม และเสนาบดีทั้งเก้าหรือยังพ่ะย่ะค่ะ”
รอยยิ้มบนพระพักตร์จิ่งหมิงฮ่องเต้เย็นชายิ่งขึ้น “นี่เป็นเรื่องในครอบครัว บอกเสด็จอาก็พอแล้ว”