ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 789 ฟื้นคืนชีพ
จิ่งหมิงฮ่องเต้เงียบไปในขณะที่ความขุ่นเคืองก่อตัวขึ้นในใจ
ฮองเฮากล้าส่งสายตาตำหนิเขา นี่กลายเป็นเรื่องปกติตั้งแต่เมื่อไรกัน! คิดว่าเป็นฮองเฮา แล้วเขาจะกลัวอย่างนั้นรึ
แต่เมื่อความขุ่นเคืองจางหาย เขากลับรู้สึกโล่งใจ
ฮองเฮาเป็นคนอารมณ์มั่นคง การที่นางก้าวออกมาในช่วงเวลาเช่นนี้แปลว่านางมีวิธีจัดการ นับว่าช่วยเขาลดภาระไปได้มากทีเดียว
เอาเถิด ด้วยสถานะเช่นนี้ เขาจะไม่ถือสาสตรีเพศก็แล้วกัน
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยืดหลังขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ฝ่ายฮองเฮาไม่มีเวลามาใส่ใจจิ่งหมิงฮ่องเต้
อยู่ด้วยกันมาจนป่านนี้แล้ว นางส่งสายตานิดหน่อยก็เพราะมีเรื่องสำคัญกว่า
ฮองเฮามองไปที่นางสนมทั้งสองพร้อมยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ทำไมรึ หรือว่าน้องทั้งสองไม่อยากไป”
หนิงเฟยรีบตอบทันควัน “ไปก็ได้เพคะ หม่อมฉันไม่ได้ทำอะไรผิด จึงไม่กลัวว่าผีจะมาเคาะประตูหรอกเพคะ!”
ฮองเฮามองไปที่เสียนเฟยพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เย็นไม่ร้อน “แล้วเสียนเฟยล่ะ”
เสียนเฟยกำมือแน่นพลางส่งยิ้มเจื่อน “องค์หญิงสิบสี่จากไปตั้งแต่อายุยังน้อย น่าเวทนายิ่งนัก ต่อให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงมิได้ตรัส หม่อมฉันก็อยากไปพบหน้านางสักครั้งเพคะ”
แต่จู่ๆ ฮองเฮาก็เสนอเรื่องนี้ขึ้นมา นางคิดจะทำอะไรกันแน่ หรือฮองเฮาคิดว่าหากนางเห็นร่างขององค์หญิงสิบสี่แล้วจะตกใจจนทำตัวไม่ถูก ส่อพิรุธให้นางจับได้อย่างนั้นรึ
หากฮองเฮาทรงคิดเช่นนี้ ก็ใสซื่อเกินไปแล้ว
ยามที่นางต้องแข็งใจ ใจของนางก็แข็งได้ประหนึ่งหิน นางไม่สะทกสะท้านเพียงเพราะศพของคนตาย
ถึงแม้จะคิดเช่นนั้น แต่เสียนเฟยก็อดรู้สึกตงิดใจกับคำชวนของฮองเฮาไม่ได้ แต่ทว่าใบหน้าของนางยังคงนิ่งเรียบไม่เผยอารมณ์ให้ผู้ใดล่วงรู้
ฮองเฮาอยากจะปรบมือที่พระสนมทั้งสองตอบตกลง
คนหนึ่งเกรี้ยวกราดประหนึ่งนางร้าย ส่วนอีกคนจิตใจเมตตาประหนึ่งพระโพธิสัตว์ การจะหาตัวคนบงการหนึ่งในสองคนนี้คงมิใช่เรื่องง่าย
แต่ก็ไม่รู้ว่าพอพาไปพบสิบสี่แล้ว พระชายาเยี่ยนอ๋องจะมีวิธีการสืบหาความจริงอย่างไร
ความฉุกละหุกเมื่อครู่ทำให้ฮองเฮาไม่มีโอกาสถามลงรายละเอียด แต่เพราะความไว้ใจในตัวเจียงซื่อ ฮองเฮาจึงยอมทำตามแต่โดยดีทั้งที่ห้วงความคิดของนางยังคงขาวโพลนไร้คำตอบ
“ในเมื่อน้องทั้งสองยินดีจะไป งั้นเราก็ไปพร้อมกันเลยก็แล้วกัน”
เสียนเฟยและหนิงเฟยพยักหน้าพร้อมกัน
จิ่งหมิงฮ่องเต้กลับหลังหันไปสั่งการคนในตำหนักชุนหว่า “นี่เป็นช่วงพักกลางวันของไทเฮา พวกเจ้าห้ามเข้าไปรบกวนเด็ดขาด”
ครั้นสั่งเสร็จก็ก้าวพรวดออกไปทันที
เสียนเฟยหันไปมองอย่างอดไม่ได้ มีอารมณ์มากมายแวบผ่านแววตาของนาง
“น้องเสียนเฟยมองอะไรอยู่หรือ” เสียงอ่อนโยนดังลอยมา
เสียนเฟยสะดุ้งโหยงก่อนจะรวบรวมสติพลางหัวเราะกลบเกลื่อน “หม่อมฉันแค่รู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินว่าไทเฮาประทับอยู่ที่ตำหนักชุนหว่าเพคะ”
“เจ้าไม่ต้องพูดมาก” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยเตือนโดยมิได้หันหลังกลับไปมอง
เกิดเรื่องขึ้นในวังไม่เว้นวัน การรบกวนความสุขสราญของไทเฮามันน่าประทับใจตรงไหนหรือ
เสียนเฟยเนี่ยนะ อะไรที่ไม่ควรพูดก็พูดจัง
เสียนเฟยขบริมฝีปาก หลุบตาไม่เกริ่นกล่าว
เมื่อคนกลุ่มหนึ่งเดินออกไป และแม้แต่ร่างของเติ้งกงกงก็ถูกขนย้ายออกไปด้วย ตำหนักชุนหว่าจึงเงียบลงถนัดตา
ในตำหนัก ไทเฮาที่กำลังนอนกลางวังลืมตาขึ้นพลางหันไปถามคนข้างๆ “ไปกันหมดแล้วรึ”
นางในที่เฝ้าดูเหตุการณ์ด้านนอกรีบรายงาน “จิ่งหมิงฮ่องเต้พาคนอื่นๆ ไปที่ตำหนักคุนหนิงแล้วเพคะ เห็นว่าให้พระสนมทั้งสองพระองค์ได้ส่งองค์หญิงสิบสี่เป็นครั้งสุดท้ายเพคะ”
แววตาของไทเฮาขับประกายเล็กน้อย
ให้เสียนเฟยและหนิงเฟยไปส่งสิบสี่เพื่อดูว่าใครจะมีปฏิกิริยาน่าสงสัยอย่างนั้นหรือ
ไทเฮาพลันส่ายศีรษะ
อาศัยอยู่ในวังหลวงมาตั้งนานหลายปี การที่นางสนมจะเสียอาการเพียงเพราะเห็นศพหาได้ยากยิ่ง
เพราะนางสนมเช่นนั้นคงมีชีวิตรอดได้ไม่ถึงสองปี ไม่อยู่มานานจนป่านนี้
ฮองเฮา…
ครั้นคิดถึงสตรีไร้โอรสที่อ่อนน้อมถ่อมตัวแทบจะตลอดเวลา แววตาของไทเฮาก็คมปลาบขึ้นทันใด
จะประมาทฮองเฮาไม่ได้เลยจริงๆ
ส่วนเรื่องของจิ่งหมิงฮ่องเต้นั้น ไทเฮาแทบไม่เคยเอามาใส่หัว
หากไม่พูดเรื่องความกตัญญูที่ฝ่าบาทมีต่อไทเฮา ลำพังการที่บุรุษคนหนึ่งมีสตรีในครอบครองแค่สองสามคนก็น่าหนักใจมากพอแล้ว เพราะเมื่อเสร็จกิจนอกก็ต้องเข้ามาไกล่เกลี่ยกิจภายใน ซึ่งบางครั้งเขาคงอยากปล่อยผ่าน ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นด้วยซ้ำไป
วังหลังก็เป็นเช่นนี้
ไทเฮาจับแขนนางในและค่อยๆ ลุกขึ้น “ไปที่ตำหนักคุนหนิง”
นางอยากจะดูว่าฮองเฮาจะทำอย่างไร
ณ ตำหนักคุนหนิง คนในตำหนักพยายามลงฝีเท้าให้เงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ต่างก็รู้สึกสงสัยทว่าไม่มีผู้ใดกล้าถาม
แม้ด้านนอกดวงอาทิตย์จะขับแสงเจิดจ้าในฤดูร้อน แต่ในตำหนักใหญ่โตหลังนี้กลับเย็นเยือก
ร่างขององค์หญิงสิบสี่ตั้งตระหง่านอยู่ในตำหนักทั้งที่ยังไม่ถูกบรรจุลงโลง
ฮองเฮาเดินนำคนทั้งหมดเข้ามาในตำหนักก่อนจะหยุดยืนที่หน้าประตู “สิบสี่อยู่ด้านใน”
หนิงเฟยผลักประตูเดินเข้าไปโดยไม่รอให้นางในเปิดประตู
ทันทีที่เปิดประตู ไอเย็นเยือกพัดปะทะเข้าหน้า
แม้หนิงเฟยไม่มีเรื่องใดต้องรู้สึกผิด แต่การต้องเห็นองค์หญิงไร้สัญญาณชีพนอนนิ่งแน่อยู่บนแท่น ไออุ่นของฤดูร้อนกลับกลายเป็นไอเย็นวูบวาบ ร่างของนางสั่นสะท้านไม่อาจควบคุม
หนิงเฟยพยายามคุมเท้ามิให้ก้าวถอย นางกลั้นใจเดินเข้าไป
เสียนเฟยประหม่ายิ่งกว่า
ทันทีที่ไอเย็นปะทะเข้าใบหน้าของนาง ขนก็ลุกซู่ เหงื่อกาฬไหลซึมจนฝ่ามือชุ่มชื้น
เสียนเฟยกระแอมไอกลบเกลื่อนความประหม่าพลางก้าวเท้าเดินเข้าไป
พระสนมทั้งสองเดินเข้าไปพบว่า ในห้องนั้นมีอ่างบรรจุน้ำแข็งวางอยู่เต็มห้อง ที่แท้ไอเย็นที่พวกนางรู้สึกมาจากสิ่งนี้เอง
จิ่งหมิงฮ่องเต้บูชาความมัธยัสถ์ โดยปกติแล้วต้องรอให้ถึงเดือนหกตามปฏิทินจันทรคติเสียก่อน ในวังหลวงถึงได้รับอนุญาตให้ใช้น้ำแข็ง แต่บัดนี้เพิ่งจะเข้าสู่เดือนห้าเท่านั้น
ฮองเฮาเฝ้าดูปฏิกิริยาของพระสนมทั้งสองอย่างใกล้ชิดในขณะอธิบายเสียงเรียบ “สิบสี่ตายอย่างมีเงื่อนงำ ฉะนั้นจึงไม่อาจทำพิธีไว้อาลัยได้ในทันที น้ำแข็งเป็นสิ่งที่จะช่วยรักษาสภาพของเด็กน้อยผู้น่าสงสารคนนี้…”
เสียนเฟยและหนิงเฟยชะงักงันนิ่งอึ้ง
ในวังหลวงมีคนมากมายเสียชีวิตไปทั้งที่คดียังไม่กระจ่าง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เคยมีร่างของผู้ใดถูกเก็บรักษาไว้ไม่นำไปประกอบพิธีเช่นนี้
แม้แต่จิ่งหมิงฮ่องเต้ยังประหลาดใจ เขาหันไปมองฮองเฮาโดยไม่รู้ตัว
ฮองเฮาส่งสายตาคมปรามมาที่จิ่งหมิงฮ่องเต้เป็นครั้งที่สอง
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลูบจมูกด้วยความขุ่นเคือง
เอาเถอะ เขาจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น รอดูซิว่าฮองเฮาจะทำอะไร
ฮองเฮาส่งสายตาไวว่องก่อนที่รอบดวงตาของนางแดงระเรื่อ นางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาพลางกล่าว “พวกเจ้าดูสิบสี่ที่น่าสงสารสิ”
นางในเดินมาเปิดผ้าขาวที่คลุมร่างขององค์หญิงสิบสี่
ใบหน้าซีดเผือดปรากฏสู่สายตาคนในห้อง ริมฝีปากสีม่วงคล้ำ ดวงตาทั้งสองข้างปรือเล็กน้อย ใบหน้าบิดเบี้ยวแข็งทื่อไม่กระดุกกระดิก สภาพที่ปรากฏทำให้คนที่เห็นเกือบจะจำไม่ได้ว่านางคือองค์หญิงสิบสี่ที่แสนจะสงบเสงี่ยมและอ่อนสุภาพ
หนิงเฟยเม้มปากแน่น ไม่กล้ามองเต็มตา
ส่วนเสียนเฟยก็หลุบตาพร้อมแอบกำมือแน่น
ชีวิตในวังหลวงอันแสนยาวนานฝึกฝนจิตใจของนางให้แกร่งกล้า ยามที่นางต้องแข็งใจ นางก็ทำมันได้ดี แต่การต้องเผชิญหน้ากับร่างไร้วิญญาณของคนที่ตายเพราะคำสั่งของนาง การจะบอกว่านางไม่มีความกลัวอยู่เลยคงเป็นไปไม่ได้
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองภาพองค์หญิงสิบสี่แล้วได้แต่ถอนหายใจหนักอึ้งพลางกล่าวเสียงขรึม “ในเมื่อพวกเจ้าได้เห็นแล้ว อย่ารบกวนความสงบของสิบสี่อีกเลย…”
ยังไม่ทันจะสิ้นประโยค นางในที่ยืนอยู่ใกล้ร่างองค์หญิงสิบสี่ก็กรีดร้องเสียงหลง
เสียนเฟยหันไปขวับไปทางองค์หญิงสิบสี่ก่อนจะพบว่าดวงตาของเด็กสาวที่ปรือเพียงเล็กน้อยในตอนแรก บัดนี้กลับเบิกโพลงและกำลังจ้องตรงมาที่นาง
เสียนเฟยรับรู้ได้ว่าโลหิตร้อนในร่างพุ่งพรวดขึ้นมากองอยู่ที่ศีรษะ ร่างของนางสั่นสะท้านจนซี่ฟันขบกระทบกัน
อาการของหนิงเฟยก็มิได้ดีไปกว่ากัน นางกรีดร้องตามนางในไปติดๆ “ห๊า ศพของสิบสี่กระตุกงั้นรึ”
แม้ฮองเฮาจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็อดใจสั่นไม่ได้ นางพยายามกุมสติให้มั่นพลางกล่าว “หนิงเฟยอย่าพูดไร้สาระสิ”
“แต่จู่ๆ ตาของสิบสี่ก็เบิกกว้าง!” หนิงเฟยที่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนกล้าหาญใจสั่นสะประหนึ่งถูกฟ้าผ่า
ฮองเฮาเฝ้าดูท่าทีของหนิงเฟย ก่อนจะหันไปพิศดูอาการของเสียนเฟย ถอนใจกล่าว “มีฝ่าบาทผู้ทรงครอบครองพลังแห่งมังกรอยู่ด้วยจะเกิดเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร บางทีสิบสี่อาจจะอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากพวกเราไป ฝ่าบาท พระองค์ทรงเห็นด้วยไหมเพคะ”
มังกรอย่างจิ่งหมิงฮ่องเต้ “…” น่ากลัวเหลือเกิน นี่ศพของสิบสี่กระตุกอย่างนั้นหรือ