ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 804 กริ้ว
เรื่องที่เสนาบดีจะพูดต่อค้างอยู่ในลำคอเพราะความมืดที่คืบคลานเข้ามาอย่างกะทันหัน
จากนั้นเสียงร้องด้วยความหวาดกลัวก็ดังกระหึ่ม
ภายในท้องพระโรงมืดสนิท มืดชนิดที่ว่าหากยื่นมือออกไปก็ไม่เห็นแม้แต่ฝ่ามือ ความมืดเช่นนี้สามารถขยายความกลัวในใจของคนได้
“คุ้มกันฝ่าบาท!”
ทั้งเสียงตื่นตระหนกทั้งเสียงชนกัน แต่จะได้ยินเสียงร้องไห้ระงมมากกว่า
“เกิดสุริยคราส!”
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร สำหรับคนที่อยู่ในเหตุการณ์มันยาวนานมากราวกับผ่านไปแล้วครึ่งชีวิต ในที่สุดก็มีแสงไฟสว่างขึ้นมา
ภายนอกท้องพระโรงยังคงมืดสนิท
ตอนนี้เหล่าขุนนางไม่สนใจกันและกันแล้วว่าเป็นเช่นไร แม้แต่ความปลอดภัยหรืออันตรายของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ลืมไปหมด ต่างคุกเข่าหมอบคลานไปทางประตูท้องพระโรง คลานไปด้วยร้องไห้ไปด้วย
สุริยคราสเป็นลางไม่ดี เกรงว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
จิ่งหมิงฮ่องเต้นั่งอยู่บนพระที่นั่งมังกร ใจหายวาบ ทั้งร่างเย็นเฉียบ
สุริยคราส? นี่หมายความว่าศีลธรรมของเขาผิดพลาด สวรรค์จึงเตือนด้วยการลงโทษเช่นนี้งั้นรึ
ทันใดนั้นเองในที่สุดฟ้าก็สว่าง แสงไฟภายในท้องพระโรงมืดสลัวลงเล็กน้อยเพราะแสงจากภายนอก
แสงอาทิตย์นอกท้องพระโรงส่องสว่างจ้า ไร้ซึ่งวี่แววความน่ากลัวที่มาเยี่ยมเยือนเมื่อครู่
จิ่งหมิงฮ่องเต้ผ่านเรื่องต่างๆ นานามาอย่างโชกโชน การเป็นฮ่องเต้ที่ยาวนานมากว่าสิบปีไม่มีเรื่องซวยเรื่องไหนที่เขาไม่เคยเจอ จึงสงบสติอารมณ์ลงได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อมองไปรอบๆ เห็นเหล่าขุนนางตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว เขาจึงตรัสออกไป “เสนาบดีกู้ เมื่อครู่เจ้าจะกราบทูลอะไรหรือ”
เหล่าขุนนางเงยหน้ามองฝ่าบาทด้วยความงุนงง
ฝ่าบาทกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่
“เสนาบดีกู้ ข้ากำลังถามเจ้าอยู่” จิ่งหมิงฮ่องเต้เน้นเสียงหนัก
ตาแกพวกนี้ หรือว่าอยากเร่งให้เขาสั่งลงโทษงั้นรึ
เขาก็แค่หาทางรอดให้ตัวเองก่อนไม่ได้หรือ
เสนาบดีกู้ถูกเรียกชื่อ จึงได้สติกลับมาอย่างว่องไว “กระหม่อม…”
เพิ่งพูดไปประโยคเดียวเอง จากนั้นก็พูดไม่ออก
เมื่อครู่เขาจะทำอะไรนะ
ใช่แล้ว เขาต้องการเกลี้ยกล่อมให้ฝ่าบาทคิดเรื่องไท่จื่อใหม่อีกรอบ เพราะว่าก่อนถึงวันพิธีสถาปนาไท่จื่อองค์ใหม่เกิดท้องเสียกะทันหันทำให้ไม่อาจจัดพิธีมอบตำแหน่งได้ นี่เป็นการเตือนจากสวรรค์ว่าฝ่าบาทตัดสินใจเร็วไป
ทว่าสุริยคราสเมื่อครู่ ตรงกับวันสถาปนาไท่จื่อวันนี้พอดี!
นี่มันหมายความว่าอะไรกัน
ในฐานะที่เป็นแกนกลางของราชสำนัก เสนาบดีกู้ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว แสดงว่าไท่จื่อองค์ใหม่มีบุญวาสนาสูงส่งยิ่งนัก ถึงได้หลีกเลี่ยงวันอัปมงคลเช่นนี้ได้!
นี่หมายความว่าไท่จื่อเป็นองค์รัชทายาทที่สวรรค์เลือกสินะ ไม่อย่างนั้นจะป่วยได้พอดีกับช่วงเวลานี้ได้อย่างไร
หากตอนนี้เขาเกลี้ยกล่อมให้แต่งตั้งไท่จื่อใหม่อีกครั้ง ก็จะเป็นการตบหน้าตัวเองชัดๆ เป็นการโดนตบจนหน้าบวมยังไงยังงั้นเลยแหละ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ผู้มีบารมีสูงส่ง แม้ภายในท้องพระโรงจะไม่มีถังน้ำเย็นๆ วางอยู่ แต่เหงื่อจากความอับอายได้ไหลอาบเต็มหลังเสนาบดีกู้
“เสนาบดีกู้?”
เสนาบดีกู้กระแอมเสียงเบาๆ เอ่ยพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “กระหม่อมจะทูลเรื่องเพิ่มการบรรเทาทุกข์ภัยแล้งและน้ำท่วม เหล่าพสกนิกรจะได้ทราบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท…”
ขุนนางท่านอื่นที่ถือสาสน์กราบทูลซ่อนไว้ในแขนเสื้อกลอกตาออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
สมกับเป็นเสนาบดีกู้หนึ่งในร้อยขุนนางจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นเลย เขาน่ะหน้าหนาที่สุด
จิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดตามองเหล่าขุนนาง ตรัสออกไปเนิบๆ “การเกิดสุริยคราสเป็นเพราะสวรรค์ไม่พอใจข้า เพิ่มการบรรเทาทุกข์ ลดภาษีประชาชนล้วนเป็นเรื่องที่ควรทำ อ้ายชิงทุกท่านยังมีเรื่องอันใดจะกราบทูลอีกหรือไม่”
เหล่าขุนนางต่างก้มหน้าก้มตาลง ไม่มีเสียงค้านออกมา
เวลานี้หากพูดให้มากความ คงโง่ชัดๆ
จิ่งหมิงฮ่องเต้รอสักพัก พอเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไร จู่ๆ ก็ทำหน้าเย็นชา “หากอ้ายชิงทุกท่านไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เช่นนั้นก็กลับไปเถอะ และเชิญเจียนเจิ้งจากสำนักหอดูดาวหลวงมาที่ห้องทรงพระอักษรด้วย!”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ทำให้ทุกคำที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสออกมาเป็นดั่งแท่งน้ำแข็ง แต่ละแท่งเสียดแทงทะลุหัวใจเหล่าขุนนาง ทำเอาทุกคนกลัวหัวหด
บรรยากาศภายในท้องพระโรงอึมครึมขึ้นมาทันที ไม่มีผู้ใดกล้าขยับตัว
จิ่งหมิงฮ่องเต้หน้าเขียวคล้ำสาวเท้าก้าวเดินออกไป
สักพักเหล่าขุนนางถึงได้ทยอยเดินตามออกไป เมื่อเดินออกไปนอกวังก็เหลือบมองไปยังทิศทางของสำนักหอดูดาวหลวงอย่างอดไม่ได้ พร้อมกับแอบถอนหายใจออกมาเงียบๆ
เกรงว่าสำนักหอดูดาวหลวงจะเกิดหายนะอันใหญ่หลวงเข้าแล้ว
เจียนเจิ้งแห่งสำนักหอดูดาวหลวงเดินโซซัดโซเซคุกเข่าลงตรงหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้ หมอบลงกับพื้นพลางร้องไห้ระงม “กระหม่อมสมควรถูกประหาร!”
สีหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้ดำทะมึนราวกับเมฆดำ ตรัสถามเสียงดังลั่น “สำนักหอดูดาวหลวงทำบ้าอะไรกัน ถึงได้เลือกวันนี้เป็นฤกษ์งามยามดี เห็นข้าเป็นคนโง่งั้นรึ”
เจียนเจิ้งแห่งสำนักหอดูดาวหลวงตัวสั่นงันงก “กระหม่อมสมควรถูกลงโทษ เกิดความผิดพลาดอันใหญ่หลวงจากลูกน้องทว่ากลับไม่สังเกตเห็น กระหม่อมสมควรถูกลงโทษสถานหนักพ่ะย่ะค่ะ!”
จิ่งหมิงฮ่องเต้แค่นเสียงหัวเราะออกมา “เจ้าสมควรถูกลงโทษสถานหนักจริงๆ! วันสถาปนาไท่จื่อกลับเกิดสุริยคราส ลองคิดดูว่าหากพิธีสถาปนาไท่จื่อถูกจัดขึ้นตามฤกษ์ ข้าจะเอาหน้าที่ไหนไปพบเจอกับเหล่าประชาชน เมืองอื่นจะมองต้าโจวอย่างไร เจ้าอยากให้ข้ากับไท่จื่อถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็นเรื่องน่าขันรึ คนรุ่นหลังคงหัวเราะเยาะกันเป็นว่าเล่น!”
จิ่งหมิงฮ่องเต้โกรธจนตัวสั่น
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยโมโหขนาดนี้ ทว่านอกเหนือจากความโมโหก็รู้สึกใจหาย
โชคดีที่เจ้าเจ็ดท้องเสียจึงทำให้พิธีสถาปนาถูกเลื่อนออกไป ไม่อย่างนั้นไม่อยากจะนึกถึงผลที่ตามมาเลย
“กระหม่อมสมควรถูกลงโทษ กระหม่อมสมควรถูกลงโทษ” เจียนเจิ้งแห่งสำนักหอดูดาวหลวงไม่อาจเถียงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาหัวเขกพื้น
เกิดความผิดพลาดร้ายแรงถึงชีวิตเช่นนี้ ไม่ว่าจะแก้ตัวยังไงคงหนีไม่พ้นโทษประหาร สิ่งที่ทำได้อย่างเดียวก็คือยอมรับความตายดีๆ และขอร้องให้ฝ่าบาทลงโทษเขาผู้เดียว อย่าได้ลากคนในครอบครัวมาด้วยเลย
ทันใดนั้นพานไห่ก็เข้ามารายงาน “ฝ่าบาท ผู้บัญชาการหันมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้เขาเข้ามา”
ไม่นานหันหรานผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินก็เดินเข้ามา พร้อมกับรายงานออกไป “ฝ่าบาท จูตัวฮวนหลิงไถหลางขั้นห้าจากสำนักหอดูดาวหลวงจบชีวิตตัวเองด้วยการแขวนคอตายในบ้านพร้อมทั้งภรรยาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่เกิดสุริยคราสหน่วยองครักษ์จิ่นหลินก็ไปที่สำนักหอดูดาวหลวงเพื่อคุมตัวเหล่าขุนนางไว้ ได้ยินมาว่าผู้ที่รับผิดชอบการดูปรากฏการณ์บนฟ้าคือจูตัวฮวนหลิงไถหลาง แต่ในตอนนั้นเขาไม่ได้อยู่ในศาลาว่าการ ก็เลยตรงไปที่บ้านของเขา
หน่วยองครักษ์จิ่นหลินสองสามนายเพิ่งเข้าไปในบ้านจูตัวฮวน ก็เห็นคานบ้านมีร่างสองร่างห้อยโตงเตงอยู่ คนหนึ่งเป็นชาย อีกคนเป็นหญิง ซึ่งก็คือคู่สามีภรรยาจูตัวฮวนอย่างไม่ต้องสงสัย
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินก็สีหน้าเปลี่ยนทันที
เรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสองปีมานี้ไม่มีอันไหนเป็นอุบัติเหตุเลย ทุกเรื่องล้วนมีคนแอบก่อเหตุ หากบอกว่าที่จูตัวฮวนหลิงไถหลางฆ่าตัวตายเป็นเพราะเสียการงาน เขาไม่เชื่อหรอก!
ความผิดมหันต์นี้ไม่น่าจะใช่ความผิดพลาด น่าจะจงใจต่างหาก!
จิ่งหมิงฮ่องเต้กำที่ทับทับกระดาษหยกขาวไว้แน่นพร้อมกับชี้ไปที่หันหราน บันดาลโทสะตรัสออกไป “คนอื่นๆ ในบ้านเขาล่ะ”
หันหรานเหงื่อแตกพลั่กออกมาเมื่อจ้องไปยังที่ทับกระดาษ ก้มหน้าก้มตาพูดขึ้น “พ่อกับแม่ของจูตัวฮวนได้จากไปนานหลายปีแล้ว พวกเขาสองสามีภรรยาไม่มีลูก ปกติมักจะไปมาหาสู่กับเพื่อนร่วมงานและเพื่อนบ้าน แทบจะไม่ได้ไปหาญาติ…”
แสงสีขาวพุ่งกระทบเข้ากับผนังอย่างจัง เกิดเสียงดังลั่น
ที่ทับกระดาษหยกขาวแตกกระจายตามเสียง ทิ้งรอยไว้บนผนัง ทำเอาหน่วยองครักษ์จิ่นหลินและผู้บัญชาการหันหรานตกใจกลัวจนตัวสั่น
พานไห่ที่ยืนอยู่ในมุมท่าทางนิ่งกว่าเยอะ
ไม่รู้สึกหรอก เขาชินแล้ว
“สอบสวนสำนักหอดูดาวหลวงอย่างละเอียด ห้ามปล่อยใครไปเด็ดขาด!” จิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสพูดหน้านิ่วคิ้วขมวด กวาดตามองเจียนเจิ้งแห่งสำนักหอดูดาวหลวง กัดฟันตรัสออกไป “คุมตัวเจียนเจิ้งแห่งสำนักหอดูดาวหลวงเข้าคุก รอเรื่องทุกอย่างถูกตรวจสอบแน่ชัดแล้วค่อยลงโทษตามความผิด”
ไม่นานเจียนเจิ้งแห่งสำนักหอดูดาวหลวงที่ใบหน้าซีดเซียวก็ถูกลากออกไป
จิ่งหมิงฮ่องเต้เอามือไขว้หลังเดินไปมา เหยียบลงบนเศษที่ทับกระดาษ แววตาเคร่งขรึม
ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องขึ้นในวัง ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นนอกวัง สวรรค์ส่งสุริยคราสมาเพื่อลงโทษที่เขาทำอะไรกันแน่
ลงโทษให้ฟ้าผ่าคนที่พยายามก่อเรื่องให้ตายไปเลยไม่ได้รึไง
“…”