ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนพิเศษ 2 รู้สึกดีต่อกัน
ก่อนพิธีสมรส เจินเหิงไปที่ป่าซึ่งเป็นที่ที่เขาได้พบเจียงซื่อครั้งแรก
ในขณะนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ป่าเขาที่เคยเขียวขจีผลัดใบเป็นสีเหลืองทองแกมแดง วิจิตรงงดงามละลานตา
เจินเหิงเหยียบลงบนกองใบไม้หนาหนุ่ม ก้าวทีก้าวเข้าไปหยุดยืนอยู่หน้าต้นไม้ต้นหนึ่ง
นี่เป็นที่ที่เขาพบสตรีนางนั้น
ในวันนั้นตรงกับวันครีษมายัน[1] เขาจำได้ขึ้นใจ มิใช่เพราะเป็นวันพิเศษอย่างวันครีษมายัน แต่เพราะวันนั้นเป็นวันที่เขาได้พบกับคนพิเศษ
เขาคิดว่าเด็กสาวผู้นี้คือปีศาจที่กระโดดลงมาจากยอดไม้กลางป่า เขาเห็นภาพเหตุการณ์พิสดารแวบแล่นเข้ามาในหัว และนับตั้งแต่ครั้งนั้น เขาก็เฝ้ารอใจจดใจจ่อ มิอาจข่มตาหลับ
หลังจากนั้นเขาถึงได้ทราบว่านางคือคุณหนูสี่จวนตงผิงปั๋ว ซึ่งบิดาของเขาเห็นนางเป็นเหมือนหลานสาวคนหนึ่ง เขาจึงหลงคิดว่านี่คงเป็นพรหมลิขิต
การพบกันของเขาและนางพบออกจะพิลึกพิลั่น อีกทั้งเขาและนางยังมีความเกี่ยวพันกันในวิถีของโลก
แต่หลังจากนั้น นางได้หมั้นหมายกับองค์ชายเจ็ด และเปลี่ยนสถานะเป็นพระชายาอ๋อง ถัดมานางเปลี่ยนสถานะอีกครั้งเป็นพระชายาไท่จื่อ และตอนนี้นางเป็นฮองเฮา
เขาจึงได้ล้มเลิกความคิดนั้นไปนานแล้ว แต่สิ่งเขายังไม่ลืมคือความรู้สึกแรกยามได้พบหน้านาง
แต่เพราะตอนนี้เขากำลังจะแต่งงาน ถึงเวลาแล้วที่เขาจะปล่อยวางความรู้สึกนั้น
ในวันนี้ เจินเหิงซดสุราทั้งเหยือกที่กลางป่าเพียงลำพัง เขาโยนเหยือกเปล่าลงไปในลำธารเล็กๆ
เหยือกดีบุกลอยไปตามกระแสน้ำ ไม่นานก็เลือนลับ
……
ในวันแต่งงาน อากาศปลอดโปร่งสดใส แขกเหรื่อมาร่วมงานมากมาย
มากเสียจนจำไม่ได้ว่ามีแขกกี่คนที่เข้ามาแสดงความยินดีกับเจ้าบ่าว
เจินเหินฟังคำอวยพรด้วยความรู้สึกสงบนิ่ง
เขาเป็นคนมีปัญญาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ได้ยินคำชมมามากมายนับครั้งไม่ถ้วน จนกระทั่งสอบได้ที่หนึ่งในทุกระดับการสอบจอหงวน เขาก็ตกเป็นจุดสนใจของผู้คน เขาเคยชินจนเห็นเป็นเรื่องธรรมดาเสียแล้ว
สำหรับคนอื่น การได้อภิเษกกับองค์หญิงถือเป็นเกียรติยศสูงสุดของชีวิต แต่สำหรับเขาแล้ว แทบจะไม่ต่างอะไรกับการแต่งงานกับหญิงสาวสามัญชน
เมื่อพิธีคารวะฟ้าดินเสร็จสิ้นลงก็ถึงเวลาเข้าห้องหอ เจินเหิงเลิกผ้าคลุมหน้าตามคำขอของเจ้าสาว
ใบหน้างดงามปรากฏแก่สายตา
องค์หญิงฝูชิงช้อนตาขึ้นมอง และประสานสายตากับเจินเหิงอย่างไม่กริ่งเกรง
นางรู้สึกประหม่า
เป็นความประหม่าที่มิใช่เพราะต้องออกเรือน และมิใช่เพราะต้องจากสถานที่คุ้นเคยอย่างวังหลวง แต่เป็นเพราะผ้าคลุมหน้าที่บดบังวิสัยทัศน์ ทำให้นางจมอยู่ในความมืดมิดอีกครั้ง
นางกลัวความมืด
ความกลัวที่ซึมลึกอยู่ในไขกระดูกคงติดตัวนางไปจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต
ด้วยสาเหตุนี้ องค์หญิงฝูชิงถึงได้ยินดีหนักหนายามที่ชายหนุ่มเลิกผ้าคลุมหน้าของนาง
นางสบตาพลางคลี่ยิ้มกว้างโดยไม่รู้
เจินเชิงชะงักไปครู่หนึ่ง
เขามิได้รู้สึกประหลาดใจว่าองค์หญิงซึ่งเป็นทายาทสายตรงเพียงพระองค์เดียวของต้าโจวเป็นสตรีโฉมงาม แต่สิ่งที่เขาคิดคือนางคงเป็นสตรีงามสูงส่งและเย้อหยิ่ง ยามที่นางมองมาที่สามีอย่างเขา สายตาคงเจือไปด้วยความหยิ่งผยอง หรือไม่ก็อาจจะเป็นสตรีงามที่แสดงท่าทีขวยเขินในคืนวิวาห์
เขาไม่คาดคิดว่าสิ่งแรกที่เขาเห็นจะเป็นรอยยิ้มใสซื่อบริสุทธิ์และแววตาสุกสกาวประหนึ่งอัญมณีไร้มลทินคู่นั้น
เจินเหิงคิด สตรีที่มีแววตาเช่นนี้ต้องเป็นสตรีที่ดีอย่างแน่นอน
เขาไม่ได้คาดหวังว่าเขาและภรรยาจะรักใคร่หวานชื่น แต่การได้ภรรยาที่มีจิตใจบริสุทธิ์ อย่างน้อยๆ ชีวิตของเขาก็คงมิได้แย่นัก
เจินเหิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบ
หลังจากพิธีการอันน่าเหนื่อยหน่ายผ่านพ้นไปแล้ว เจินเหิงออกจากห้องหอเพื่อไปเคารพแขกที่มาร่วมงาน
ในสถานะราชบุตรเขย แขกที่มาจึงไม่กล้าร้องขอให้เขาดื่มมากมาย เจินเหิงกลับมาที่ห้องหอพร้อมกลิ่นสุราบางเบา
บนเตียงถูกคลุมด้วยผ้าห่มทอสีแดงสด องค์หญิงฝูชิงกำลังรออยู่เงียบๆ
นางถอดเครื่องประดับบนศีรษะออก และม้วนเป็นมวยง่ายๆ ชุดพิธีการหนักอึ้งถูกแทนที่ด้วยชุดกระโปรงพลิ้วสีแดง
ภาพตรงหน้าลดระยะห่างในใจของเจินเหิง ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว
“กลับมาแล้วรึ อยากดื่มชาให้สร่างฤทธิ์สุราหน่อยไหม” องค์หญิงฝูชิงเอ่ยก่อน
น้ำเสียงของนางใสบริสุทธิ์ไม่ต่างจากแววตา แทบจะไม่มีอาการขัดเขินเลยแม้แต่น้อย
เจินเหิงเผลอยิ้มอย่างช่วยไม่ได้
เขาไม่อาจรักองค์หญิงที่ไม่เคยพบหน้า ส่วนองค์หญิงก็ไม่อาจรักชายหนุ่มที่ไม่เคยพบหน้าดุจกัน
การตระหนักรู้เช่นนี้ทำให้เขารู้สึกเบาสบาย
เริ่มต้นจากการเป็นสหาย บางทีอาจมิใช่เรื่องเลวร้าย
เจินเหิงส่งยิ้มพลางกล่าว “ข้าดื่มมานิดหน่อย ไม่ต้องดื่มแก้เมา ว่าแต่องค์หญิงหิวรึยัง”
เป็นเรื่องปกติที่เจ้าสาวจะรู้สึกหิวในวันแต่งงาน
องค์หญิงฝูชิงส่ายศีรษะ “ไม่หิว ข้าทานมาแล้ว”
เจินเหิงดึงมุมปากเล็กน้อย
องค์หญิงนี่ช่างใสซื่อเหลือเกิน ขนาดแอบกินยังบอกเขาเลย
“เช่นนั้นเราก็พักกันเถิด องค์หญิงเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” เจินเหิงกล่าวออกไปเช่นนั้นโดยมิได้คิดอะไร แต่ครั้นพูดจบกลับฉุกคิดขึ้นได้
เมื่อครู่เขาเพิ่งบอกว่าจะเริ่มจากการเป็นสหาย องค์หญิงได้ยินประโยคเมื่อกี้คงไม่คิดว่าเขาเป็นพวกใจร้อนหรอกใช่หรือไม่…
เมื่อคิดเช่นนี้ เจินเหิงก็เริ่มประหม่า ใบหูแดงระเรื่อ
แต่ดูเหมือนว่าองค์หญิงฝูชิงจะไม่รับรู้ถึงความผิดปกตินั้น นางถามขึ้นมาเฉยๆ “อยากให้ข้าช่วยเจ้าเปลี่ยนอาภรณ์หรือไม่”
ว่ากันว่า ภรรยาต้องเปลี่ยนอาภรณ์ให้ผู้เป็นสามี เพียงแต่นางไม่เคยทำเรื่องพวกนี้มาก่อน กลัวว่าจะเก้ๆ กังๆ…
องค์หญิงฝูชิงที่มิได้รู้สึกขวยเขินในตอนแรกคิดว่า หากช่วยบุรุษเปลี่ยนเสื้อและเกิดแกะกระดุมไม่ออกขึ้นมาจะทำอย่างไร แล้วจู่ๆ แก้มของนางก็แดงระเรื่องอย่างช่วยไม่ได้
แบบนั้นก็น่าอายสิ
เมื่อเห็นองค์หญิงฝูชิงหน้าแดง เจินเหิงยิ่งประหม่ากว่าเก่า เขายกมือปรามพลางกล่าว “ไม่รบกวนองค์หญิงดีกว่า เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
เจินเหิงเกรงว่าหากตนชักช้าองค์หญิงฝูชิงจะเข้าใจผิดว่ารอให้นางช่วย เขาจึงรีบจัดการโดยเร็ว มือเป็นระวิงอยู่นานแต่แกะเชือกบนอาภรณ์ไม่สำเร็จเสียที
องค์หญิงฝูชิงเห็นท่าแล้วหัวเราะแผ่วเบา ทว่าในใจกลับรู้สึกสงบ
ขนาดนี้แล้ว คงไม่มีอะไรให้ต้องขายหน้าแล้วล่ะ
นอนเคียงไหล่ภายใต้ม่านคลุมสีแดงสดที่ทิ้งตัวลงมา เปลวเทียนมงคลสลักลายมังกรคู่หงส์ส่งเสียงลุกไหม้เป็นครั้งคราว เจินเหิงที่นอนอยู่ในม่านหายใจไม่เป็นจังหวะ
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษที่มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง เมื่อต้องนอนอยู่ในม่านกับสตรีงาม อีกทั้งยังเป็นสตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขา จะบอกว่าเขาไม่มีความปรารถนาเลยคงเป็นไปไม่ได้
“องค์หญิง…” เจินเหิงเอ่ยแผ่วเบา
เดิมทีเขาตั้งใจจะบอกว่า เขาออกไปนอนที่ตั่งด้านนอก แต่ทว่ากลับไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย
เจินเหิงหันหน้าไปเล็กน้อยและพบว่าองค์หญิงฝูชิงหลับไปแล้ว
เจินเหิงชะงักไปแล้วยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ใจของเขาค่อยๆ สงบลงแล้ว
เช้าวันถัดมา ทั้งสองเข้าวังมาน้อมทักฮ่องเต้ ฮองเฮา รวมถึงจักรพรรดิพระเจ้าหลวงและพระพันปี
องค์หญิงฝูชิงเกรงว่าเจินเหิงจะตื่นกลัวจึงเอ่ยปลอบ “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ เสด็จพี่และฮองเฮาล้วนแล้วแต่เป็นคนใจดี”
เจินเหิงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเห็นใบหน้าเครียดเขม็งของจิ่งหมิงตี้และอวี้จิ่นในตำหนักหนิงโซ่ว
จักรพรรดิพระเจ้าหลวงอย่างจิ่งหมิงตี้จิบชาที่คนมาใหม่ส่งให้ ดึงหน้าพร้อมกล่าวเตือน “เพราะมัวแต่สาละวนอยู่กับกิจการบ้านเมืองจึงไม่มีเวลาดูแลฝูชิง แต่บัดนี้ทุกสิ่งเปลี่ยนไปแล้ว หากข้ารู้ว่าเจ้ารังแกฝูชิงล่ะก็ หึๆ…”
จิ่งหมิงตี้หวนคิดถึงองค์หญิงใหญ่หรงหยาง
หรงยางทำผิดมากมาย แต่หากหลังจากแต่งงาน ชุยซวี่ดีกับนางสักหน่อย นางคงไม่ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนั้น
พวกบุรุษไม่มีดีเลยสักคน หากเจ้าคนนี้มีใครในใจและเมินต่อฝูชิงจะทำอย่างไร
จิ่งหมิงตี้คิดก่อนจะส่งสายตาให้อวี้จิ่น
อวี้จิ่นรับคำ “เสด็จพ่อวางพระทัยได้ ข้าเชื่อว่าน้องเขยจะดูแลน้องสิบสามอย่างดี หากสามีบกพร่องในการดูแลภรรยาก็ช่างเป็นคนไม่เข้าใจอะไรเสียเลย”
ที่ไม่ยอมทำดีกับฝูชิงเพราะยังคิดถึงอาซื่ออยู่ เรื่องนี้ไม่ต้องสืบก็รู้ได้
กล้าคิดถึงอาซื่ออยู่งั้นรึ หึๆ!
กลิ่นอายอำมหิตหมายจะเข่นฆ่าของบุรุษทั้งสองทำให้เจินเหิงรู้สึกราวกับว่าหนีเอาชีวิตรอดออกมาได้อย่างหวุดหวิดยามที่เท้าก้าวออกจากวังหลวง
องค์หญิงฝูชิงรู้สึกผิดเกินจะกล่าว ‘ปกติแล้วเสด็จพ่อและเสด็จพี่มิใช่คนใจร้าย…?’
เจินเหิงดึงมุมปาก
ดุหรือไม่ดุ ต้องดูว่าอยู่กับใคร
องค์หญิงฝูชิงขบคิดก่อนจะเสนอ “เอาอย่างนี้ หลังจากนี้เจ้าก็ช่วยดีกับข้าหน่อยก็แล้วกัน”
คล้ายกับว่านางกลัวเจินเหิงจะปฏิเสธจึงรีบกล่าวเสริม “ข้าก็จะดีกับเจ้าด้วยเช่นกัน”
สามีดีกับนาง นางก็ดีกับเขา แบบนี้จะได้ไม่มีใครต้องลำบาก เขาเองจะได้ไม่ต้องโดนเสด็จพ่อและเสด็จพี่ข่มขู่
เนื่องด้วยทั้งสองยังไม่สนิทกัน นางจึงไม่อาจอธิบายเหตุผลให้เจินเหิงทราบได้
แต่เพราะเจินเหิงเป็นคนจิตใจงดงาม เขาเข้าใจในสิ่งที่องค์หญิงฝูชิงกำลังจะสื่อได้ในทันที
เมื่อสบเข้ากับแววตาสุกใสประหนึ่งสายน้ำ เจินเหิงก็เผลอยิ้มออกมา
ใช่ ควรทำดีต่อกันไว้ เขาดีต่อนาง นางก็ดีต่อเขา เมื่อสิ่งดีๆ ก่อเกิดเพิ่มพูน เขาเชื่อว่าสักวันหนึ่งเขาทั้งสองจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
ไม่มีใครต้องรู้สึกทุกข์ใจ
ล้อรถม้าเหยียบทับวัตถุใดไม่อาจทราบส่งผลให้รถม้าโคลงเคลง ร่างของหญิงสาวโอนเอน
เจินเหิงประคองไหล่ขององค์หญิงฝูชิงอย่างนุ่มนวลพลางกล่าว “ขอบคุณองค์หญิงที่เตือนข้า ต่อจากนี้เรามาดีต่อกันไว้เถิด”
[1] วันครีษมายันคือวันที่เวลากลางวันยาวนานที่สุดในรอบปี ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงไปทางเหนือมากที่สุด และตกทางทิศตะวันตกเฉียงไปทางเหนือมากที่สุด ถือเป็นวันเปลี่ยนฤดูกาลเข้าสู่ฤดูร้อนของประเทศทางซีกโลกเหนือ และเปลี่ยนสู่ฤดูหนาวของประเทศในซีกโลกใต้