ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนพิเศษ 4 คว้าน้ำเหลว
“เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ” เป็นคำอธิบายที่ใช้อธิบายความรู้สึกของนายท่านรองเจียงในช่วงที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี
นับตั้งแต่พระชายาเยี่ยนอ๋องขึ้นเป็นพระชายาไท่จื่อ เขาก็เป็นที่นับหน้าถือตาในหมู่เพื่อนร่วมงาน และเมื่อบุตรชายคนโตประสบความสำเร็จในการสอบชิวเหวย นั่นยิ่งทำให้เขามีสง่าราศีมากยิ่งขึ้นเป็นเท่าตัว
เมื่อถึงการสอบชุนเหวยในปีถัดมา ข่าวดีก็มาเยือนจวนตงผิงปั๋ว จวนทั้งหลังอบอวลไปด้วยความชื่นมื่น เฝิงเหล่าฮูหยินแจกจ่ายเงินจำนวนมหาศาล เป็นเหตุให้นายท่านรองเจียงใช้ชีวิตได้อย่างสง่าผ่าเผย
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่า บนหนทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ จู่ๆ เจียงชังจะตกจากหลังม้าระหว่างทางกลับจากงานเลี้ยงมงคลฉยงหลินของเหล่าบัณฑิตจนขาหัก
บัณฑิตหนุ่มจิ้นซื่อกลายเป็นคนพิกลพิการในชั่วข้ามคืน ไร้แล้วซึ่งอนาคตที่เคยหวังไว้
ความรู้สึกของนายท่านรองเจียงประหนึ่งร่วงดิ่งลงมาจากเมฆสูง
คนรอบข้างมีชีวิตที่ดีรึจะสู้บุตรชายแท้ๆ มีชีวิตที่ดี
การได้เห็นว่าอนาคตที่กำลังสดใสพังลงด้วยตาตัวเองทำให้เขารู้สึกทุกข์ทรมานเกินจะกล่าว
คนที่รู้สึกย่ำแย่กว่านายท่านรองเจียงคือเจียงชัง
เมื่อสามปีก่อนความเจ็บป่วยทางด้านร่างกายส่งผลกระทบต่อการสอบจอหงวน ทำให้เจียงชังจมดิ่งกับความเศร้าหดหู่อยู่เป็นนานกว่าจะกลับมาฮึดสู้ได้อีกครั้ง แต่เมื่อบรรลุเป้าหมายยิ่งใหญ่อย่างแรกของชีวิต เตรียมกางปีกบินดั่งนกอินทรีกลับต้องเป็นอินทรีปีกหัก อนาคตดับสูญเสียอย่างนั้น
หลังจากได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก เจียงชังเป็นเช่นไรก็พอจะเดาได้ นับตั้งแต่วันที่ขาหัก เขาก็ไม่ออกจากห้องอีกเลย
“นายท่าน แย่แล้วขอรับ คุณชายใหญ่เมาแล้วก่อเรื่องขอรับ…” มีคนของเรือนเจียงชังวิ่งพรวดเข้ามารายงาน
นายท่านรองเจียงก้าวพรวดออกไปพร้อมใบหน้าคล้ำหม่น แม้เท้าจะยังไม่ทันก้าวข้ามธรณีประตูก็ได้กลิ่นสุราคละคลุ้งเตะจมูก
ภายในห้อง ข้าวของเกลื่อนกลาด
“ปล่อยข้า ปล่อยข้า!”
“คุณชายใหญ่ อย่าวิ่งชนกำแพงเลยเจ้าค่ะ หากบาดเจ็บขึ้นมาจะทำอย่างไรเจ้าคะ”
“สภาพเยี่ยงผีอย่างข้าอยู่ไปจะได้อะไรขึ้นมา ปล่อย!”
นายท่านรองเจียงก้าวฉับเข้ามา กวาดตามองข้าวของระเกะระกะพร้อมกล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ปล่อยเขา!”
เมื่อสาวรับใช้สองนางที่กำลังพยายามฉุดรั้งเจียงชังสุดชีวิตได้ยินนายท่านรองเจียงกล่าวเช่นนั้นก็แอบรู้สึกโล่งใจ
ของมีคมต่างๆ ถูกเก็บออกจากห้องตั้งแต่แรกแล้ว เพราะเกรงว่าคุณชายใหญ่จะเมากร่ำแล้วทำเรื่องไม่คาดคิด แต่ผู้ใดจะคิดว่าคุณชายใหญ่จะวิ่งชนกำแพง ต่อให้ป้องกันอย่างไรก็คงไม่เป็นผล
ท่าทีของเจียงชังซึมกะทือ เขามองมาที่นายท่านรองเจียงด้วยสีหน้านิ่งเฉย
ผู้เป็นบิดาเดินดุ่มเข้าไป ยกมือขึ้นตบเข้าที่แก้มเจียงชังเต็มแรง
เสียงตบคมชัด ทำเอาบ่าวรับใช้ในเรือนชะงักงันนิ่งอึ้ง
สติเจียงชังคืนกลับ แววตาจ้องตรงไปที่นายท่านรองเจียง
นายท่านรองเจียงแผดเสียงด้วยใบหน้าแดงก่ำ “พอได้แล้ว เจ้าจะปล่อยให้ตัวเองตกต่ำไปถึงไหน!”
“ตกต่ำ?” เจียงชังละสายตา ชี้นิ้วที่ตนเองพลางหัวเราะอย่างขมขื่น “ท่านพ่อ นอกจากปล่อยให้ตัวเองตกต่ำแล้วข้าจะทำสิ่งใดได้ ข้ามันไร้ประโยชน์!”
เจียงชังฟูมฟาย “ข้ามันไร้ประโยชน์ คนไร้ประโยชน์ก็ควรตกต่ำมิใช่หรือ ข้าจะเริ่มต้นใหม่เหมือนเมื่อสามปีก่อนได้อย่างไร”
นายท่านรองเจียงฟังแล้วปวดใจ แต่ทำได้เพียงกล่าวเตือนสติบุตรชาย “ที่เจ้าเลือกสอบขุนนางเป็นเพราะเจ้าเป็นคนมีพรสวรรค์ ซึ่งอันที่จริง บุตรหลานในตระกูลสูงศักดิ์มักเข้ามาอยู่ในแวดวงนี้เพราะมีเส้นสายหนุนนำ แต่เมื่อทางที่เดินถูกปิด เจ้าก็ไม่คิดจะมีชีวิตต่อแล้วหรือ ขาแข้งเดินไม่สะดวกเหมือนเก่าแล้วจะอย่างไร ขนาดลุงของเจ้ายังเสียมือไปข้างหนึ่งเพราะช่วยชีวิตอันกั๋วกงในอดีต เจ้าก็จะได้เป็นตงผิงปั๋วอย่างท่านลุงของเจ้า”
เจียงชังยิ้มอย่างเศร้าโศก “ข้ากับท่านลุงจะเหมือนกันได้อย่างไร ท่านลุงมียศ แล้วข้ามีอะไร หากข้าสอบจอหงวนไม่ติดก็คงต้องเป็นข้าราชการไร้อนาคตไปชั่วชีวิตมิใช่หรือ”
บุตรหลานที่เกิดในตระกูลสูงศักดิ์มีอยู่มากมาย นอกจากบุตรชายคนโตที่มีสิทธิ์สืบสกุลซึ่งเป็นผู้ที่มีอนาคตสดใสเพียงหนึ่งเดียวแล้ว คนอื่นๆ ที่มีหน้าที่การงานก็มีชีวิตไม่ต่างกันมากนัก หากมิได้เป็นคนโชคดีจริงๆ
ฉะนั้นแล้วหาใดจะสู้การสอบบัณฑิตได้อย่างสง่าผ่าเผย กอปรกับมีแรงสนับสนุนจากวงศ์ตระกูล และค่อยๆ ก้าวขึ้นไปเป็นขุนนางชั้นสูง
นายท่านรองเจียงสั่งให้บ่าวรับใช้ออกไปจากห้อง แสงประกายทอผ่านแววตา “ชังเอ๋อร์ แล้วใครบอกกันเล่าว่าเจ้าไม่มีโอกาสสืบทอดบรรดาศักดิ์”
เจียงชังผงะไป “ท่านพ่อกำลังพูดอะไร”
“เจ้าเด็กโง่ บัดนี้ตระกูลเจียงของเราเป็นตระกูลฝั่งฮองเฮา ต่อให้เจ้ามิได้สอบจอหงวนเข้าไปเป็นขุนนาง แต่เจ้าก็ยังมีโอกาสอีกมากมาย”
“แต่น้องสี่มิได้สนิทชิดเชื้อกับเรือนรองของเรา” เจียงชังพึมพำ
นายท่านรองเจียงหัวเราะเสียดเย้ย “แม้จะไม่สนิท แต่นางก็ได้ชื่อว่าเป็นคนตระกูลเจียง ใครต่างก็รู้ว่านางเป็นฮองเฮา อีกหน่อยไม่ว่าพวกเราจะประกอบกิจการอันใดก็จะต้องมีคนสนับสนุนกำลังและทรัพย์สินเป็นแน่”
เจียงชังเงียบงัน
นายท่านรองเจียงกล่าวต่อ “อย่าเพิ่งไปพูดถึงเรื่องไกลเลย น้องสี่ของเจ้าเป็นฮองเฮาแล้ว ตามธรรมเนียมก็ควรมีการพระราชทานยศแก่ตระกูลของฮองเฮา เจ้าคิดว่าลุงของเจ้าจะครอบครองสองตำแหน่งคนเดียวอย่างนั้นหรือ”
“ท่านพ่อ…” มุมปากของเจียงชังกระตุกวูบ
นายท่านรองเจียงตบบ่าบุตรชาย “พยายามเข้า เจ้าคือบุตรชายคนโตของเรือนรอง ถัดจากเจ้ายังมีน้องชายอีก เจ้าจะพลาดไม่ได้เป็นอันขาด!”
เจียงชังกะพริบตาก่อนจะค่อยๆ ขับประกายเล็กน้อย
หากได้สืบทอดตำแหน่ง อนาคตก็คงไม่ดำมืดอีกแล้ว…
นายท่านรองเจียงออกไปจากเรือนและตรงไปที่เรือนฉือซิน
เจียงชังเป็นหลานชายคนโปรดของเฝิงเหล่าฮูหยิน ครั้นเกิดเรื่องกับเจียงชังประกอบกับข่าวลือขอให้ปลดพระชายาไท่จื่อ เฝิงเหล่าฮูหยินก็ล้มหมอนนอนเสื่อเสียหลายวัน โชคดีที่มีเรื่องดีเข้ามาพอให้ชื้นใจได้ กล่าวคือจิ่งหมิงฮ่องเต้ยกบัลลังก์ให้ไท่จื่อ เฝิงเหล่าฮูหยินถึงได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
เมื่อหลานสาวได้เป็นฮองเฮา ความหดหู่ที่เกิดจากหลานชายคนโตหมดอนาคตก็มิใช่เรื่องร้ายแรงอีกต่อไปแล้ว
นางยังมีหลานชายอีกหลายคน หากคนนี้หมดอนาคต ก็ยังมีคนอื่นๆ อยู่
ทันทีที่นายท่านรองเจียงเห็นหน้าเฝิงเหล่าฮูหยิน และพบว่าหญิงชรามีสีหน้าแช่มชื่นสดใส เขากลับรู้สึกตงิดใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“มีอะไรรึ” เมื่อเป็นบุตรชายคนรอง นางยังคงต้อนรับด้วยสีหน้ายินดี
ในความรู้สึกของนาง เหล่าเอ้อร์เป็นคนที่ใช้การได้มากที่สุดแล้ว ส่วนเหล่าต้านั้นก็แค่โชคดี
“ท่านแม่ ในวังหลวงมีข่าวลือความเคลื่อนไหวเรื่องจะพระราชทานตำแหน่งให้พี่ใหญ่บ้างหรือไม่”
เฝิงเหล่าฮูหยินชำเลืองมองไปที่นายท่านเจียงรอง
นายท่านรองเจียงถอนหายใจยาว “ลูกเกรงว่าชังเอ๋อร์จะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์โดยสมบูรณ์ หากยังปล่อยให้เขาเก็บตัวทุกข์ระทมอยู่แต่ในห้อง และถ้าหากเขาเป็นอย่างบุตรชายคนสุดท้องของอันกั๋วกงที่สำมะเลเทเมาอยู่ที่แม่น้ำจินสุ่ยทั้งวันทั้งคืน จวนของเราก็จะถูกหัวเราะเยาะเอาได้”
เฝิงเหล่าฮูหยินเข้าใจความหมายที่นายท่านรองเจียงกำลังจะสื่อ นางขบคิดพลางกล่าว “เรื่องนี้ข้าจะหาทางเร่งให้ เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไปเลย”
เฝิงเหล่าฮูหยินใคร่ครวญอยู่นานก่อนจะตัดสินใจให้เจียงอีเป็นคนออกโรง
เจียงอีไม่กล้าหักหน้าผู้เป็นย่า นางทำได้เพียงเข้าไปที่วังตามคำสั่ง
เจียงซื่อฟังคำแถลงของเจียงอีแล้วก็ผุดหัวร่อออกมา “เรื่องนี้ข้าจำได้ขึ้นใจอยู่แล้ว พี่ใหญ่บอกให้ท่านย่าวางใจเสียเถิด”
เจียงอีได้คำตอบที่ต้องการแล้วจึงโดยสารรถม้ากลับไป
รถม้าเคลื่อนไปอย่างมั่นคง ระหว่างทางที่กลับไปที่จวนตงผิงปั๋ว เจียงอีเลิกมุมผ้าม่านขึ้นกะทันหัน
ด้านนอกรถ ต้นหลิวยังคงพลิ้วไหวตามแรงลม เพียงแต่ไม่ปรากฏเงาของบุรุษหนุ่มที่นางพบในวันนั้น
เจียงอีวางม่านลงก่อนจะหัวเราะเจื่อนกับตัวเอง
เมื่ออวี้จิ่นเสร็จจากออกว่าราชการ เขาฟังเรื่องที่เจียงอีเข้ามาที่วังจากเจียงซื่อก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเย็นชา “ใจร้อนถึงเพียงนี้เชียวรึ งั้นข้าก็จะช่วยสนองก็แล้วกัน”
เรื่องที่เจียงชังตกม้าเป็นสิ่งที่เขาจัดการแทนอาซื่อ ฉะนั้นแล้วการมาร้องขอยศจากเขาจึงมิต่างจากการฝันกลางวัน
วันถัดมามีราชโองการจากองค์จักรพรรดิส่งมา กล่าวคือ เนื่องจากตงผิงปั๋ว เจียงอันเฉิงมียศอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องพระราชทานยศใดๆ เพียงแต่เลื่อนขั้นให้เป็นตงผิงโหว
นายท่านรองเจียงคุกเข่าลง รอยยิ้มที่มุมปากแข็งค้างก่อนจะจางหายไป จนกระทั่งคนส่งราชโองการกลับไปแล้ว เขาก็ยังคงค้างอยู่ในท่านั้น
แม้เฝิงเหล่าฮูหยินจะเสียดายแทนบุตรคนรอง แต่ถึงกระนั้นผลลัพธ์นี้ก็มิได้จัดว่าเลวร้าย เมื่อเห็นนายท่านเจียงรองยังคงนิ่งจึงรีบเอ่ยเตือน “เหล่าเอ้อร์ ลุกขึ้นมาได้แล้ว”
นายท่านรองเจียงไม่ตอบสนอง
“พยุงนายท่านรองขึ้นมา”
เมื่อบ่าวรับใช้สัมผัสชายเสื้อของนายท่านรองเจียง ร่างของเขากับทรุดลงแทบพื้น
สีหน้าของเฝิงเหล่าฮูหยินเปลี่ยนไปโดยพลัน “เหล่าเอ้อร์ เจ้าเป็นอะไรไป”
นายท่านรองเจียงเส้นเลือดในสมองแตก
เมื่อข่าวลือไปถึงหูจักรพรรดิองค์ใหม่ จักรพรรดิก็แสดงความห่วงใยโดยการให้นายท่านรองเจียงได้พักสงบ
นับตั้งแต่นั้นมา นางท่านรองเจียงก็ไม่ได้ไปปรากฏตัวท่ามกลางแวดวงชั้นสูงอีกเลย
แต่ทว่าที่แม่น้ำจินสุ่ยกลับมีคนเมาขาเสียเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง ยามที่ร่ำสุราจนเต็มคราบ เขามักจะคุยโวว่าตนเป็นคุณชายจากจวนโหว แต่ทว่าเป็นความจริงหรือไม่กลับไม่มีผู้ใดยืนยันได้