ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนพิเศษ 5 ช่วงเวลาดีๆ
ยังไม่ทันพ้นเดือนแรก อากาศในเมืองหลวงยังคงหนาวเย็น ทางตอนเหนือหนาวเหน็บกว่ามาก
แต่ทว่าที่สีหน้าของเจียงจั้นเย็นชายิ่งกว่า
เป่ยฉีจวิ้นจู่ทำให้น้องสี่ต้องตกลงไปในวังวนของข่าวลือ ไม่รู้ว่าตอนนี้นางจะเป็นอย่างไร
ในช่วงเวลาเช่นนี้เขายังต้องมาคุ้มกันจวิ้นจู่กลับไปส่งที่เป่ยฉีอย่างปลอดภัย
รถม้าหยุดลงกะทันหัน ผ้าม่านเปิดออก ใบหน้าแฉล้มสดใสที่เจือไปด้วยแววแกล้วกล้าโผล่ออกมา
“เจียงจั้น” หลูฉูฉู่ขานเรียก
เจียงจั้นขมวดคิ้ว ชักสีหน้าพลางกล่าว “โปรดเรียกข้าว่าแม่ทัพเจียง เรามิได้สนิทกันปานนั้น”
หลูฉูฉู่กลอกตา เลิกคิ้วพลางกล่าว “ข้าปวดท้อง ช่วยหยุดขบวนสักเดี๋ยว”
เจียงจั้นที่ขี่อยู่บนหลังม้าได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเย็นเยียบ “จวิ้นจู่โปรดรักษาระเบียบด้วย อย่าได้คิดหนีเป็นอันขาด!”
หลูฉูฉู่ขมวดคิ้วพลางกล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ “ใครหนี ข้าปวดท้องจริงๆ ต่างหากเล่า”
ไอ้คนชั่ว ไม่เห็นจะน่ารักเหมือนน้องสาวเลยสักนิด
ในขณะเดียวกัน เจียงจั้นคิด โชคดีที่น้องสาวของเขาเป็นเด็กอ่อนโยน เข้าใจโลก หากมีนิสัยคล้ายกับหลูฉูฉู่ ไม่รู้ว่าตอนเด็กๆ จะถูกเขาอั๊กสักกี่ครั้ง
“ไม่หนี? แล้วหญิงที่ไปถ่ายเบาเมื่อสองสามวันก่อนมิใช่จวิ้นจู่หรอกรึ”
หลูฉูฉู่หน้าแดง พ่นลมพลางกล่าว “ในเมื่อไม่สำเร็จ ข้าก็ไม่คิดจะทำอีก”
นางกล่าวด้วยสีหน้าย่ำแย่ “รีบหยุดขบวนเร็วเข้า ข้าปวดท้องจะแย่แล้ว”
เจียงจั้นมองนางด้วยแววตาสงสัย ลังเลชั่วอึดใจก่อนจะพยักหน้า “เช่นนั้น คราวนี้จวิ้นจู่อย่าได้ตุกติกอีกล่ะ”
หลูฉูฉู่กระโดดลงจากรถม้า นางรีบวิ่งผ่านองครักษ์ไปที่หลังหินขนาดใหญ่โดยมิได้สนใจว่าสาวรับใช้ต้าโจวอีกสองคนวิ่งกระหืดกระหอบตามไป
เจียงจั้นเดินตามไป
หลูฉูฉู่หันกลับมาด้วยท่าทีโกรธจัด ขบฟันกรอดพลางกล่าว “แม่ทัพเจียง ช่วยมีสำนึกหน่อยมิได้รึ!”
เจียงจั้นยืนพิงหินอย่างไม่ใส่ใจ พลางหัวเราะคิกคัก “ก็หากเจ้าหนี ชีวิตน้อยๆ ของข้าก็ไม่เหลือสิ สำนึกมิได้ก่อประโยชน์อันใด”
“เจ้า…” หลูฉูฉู่เริ่มร้อนใจ
ครั้งนี้นางพูดความจริง แต่หากบุรุษหนุ่มผู้นี้ยังยืนอยู่ตรงนี้นางจะทำอย่างไร
“จวิ้นจู่เร็วหน่อย อากาศหนาว ต่อให้เจ้าจะทนได้ แต่เหล่าทหารจะแย่เอา”
ความทรงจำของเจียงจั้นที่มีต่อหลูฉูฉู่ค่อนไปทางเลวร้าย
นอกจากแม่หญิงนี่จะทำให้น้องสาวต้องโชคร้ายแล้ว หากนางคิดจะหนี บรรดาทหารที่ติดตามมาคราวนี้คงซวยกันไปหมด
หลูฉูฉู่เริ่มทนไม่ไหว นางปราดสายตาคมปลาบไปที่เจียงจั้นชั่วอึดใจ และเลิกต่อปากต่อคำ
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลูฉูฉู่จัดแจงอาภรณ์ให้เข้าที่ นางเดินผ่านเจียงจั้นขึ้นไปบนรถม้าโดยมิได้ชายตามองชายหนุ่มเลยสักนิด
เมื่อครู่นางแทบจะไม่สนใจหนุ่มขี้ก้างผู้นี้ แต่ส่วนตอนนี้ นางอับอายเกินกว่าจะมองหน้าเขา
เจียงจั้นเดินตามไปด้วยใบหน้าสงบนิ่ง
กองขบวนเคลื่อนไปพักหนึ่งก่อนจะหยุดลง
“เกิดอะไรขึ้น” หลูฉูฉู่ยื่นศีรษะออกมาถาม
เจียงจั้นดึงบังเหียน สายตามองตรงไปเบื้องหน้า พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “สะพานขาด”
ด้านหน้าคือแม่น้ำขนาดใหญ่ ส่วนสะพานกว้างที่ทอดตัวเหนือแม่น้ำนั้นขาดท่อน หัวสะพานด้านที่หักจมลงไปในน้ำซึ่งบัดนี้กลายสภาพเป็นน้ำแข็งไปเสียแล้ว
เจียงจั้นขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสั่งให้คนเดินไปตามแผ่นน้ำแข็ง
“ด้านหน้าปลอดภัย เชิญจวิ้นจู่ลงมาเถิด”
หลูฉูฉู่ลงจากรถม้า นางยืนนิ่งอยู่บนฝั่งพลางกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “เจ้าแน่ใจหรือว่าลงจากรถม้าแล้วข้าจะปลอดภัย”
จากประสบการณ์แล้ว หากนางเกิดโชคร้ายขึ้นมาอีกเล่า
“เดี๋ยวผอจื่อจะแบกจวิ้นจู่ข้ามแม่น้ำ และเมื่อข้ามไปแล้วจวิ้นจู่จะเดินอยู่กลางขบวนซึ่งมีทหารคุ้มครองความปลอดภัยรอบทิศ”
เจียงซื่อรู้สึกตงิดในใจ
ปกติเป่ยฉีจวิ้นจู่ดูออกจะกล้าหาญ เหตุไฉนจู่ๆ ถึงได้ดูระแวดระวังขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ไม่นานกองขบวนยาวเหยียดก็เคลื่อนผ่านแม่น้ำที่จับตัวเป็นน้ำแข็ง
เจียงจั้นเดินนำหน้าหลูฉูฉู่ เพื่อตรวจสอบความแข็งแรงของแผ่นน้ำแข็ง
ยิ่งตรวจสอบ ก็ยิ่งเบาใจ
แผ่นน้ำแข็งหนาปานฉะนี้
หลูฉูฉู่ก็ขึ้นไปบนหลังผอจื่ออย่างว่าง่าย ไม่กล้าก่อเรื่อง
แต่หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน แม้นางจะขี่อยู่บนหลังก็ยังไม่อาจยืนยันว่าใครจะร่วงลงไปก่อน
ในขณะที่กำลังคิด กลับมีเสียงแคร๊กดังขึ้นจากด้านหน้า “น้ำแข็งแตก!”
เจียงจั้นยกแขนกันหลูฉูฉู่โดยพลัน พร้อมแผดเสียงดังลั่น “ถอย!”
ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของหลูฉูฉู่คือกระโดดลงจากหลังผอจื่อ
ผอจื่อตกใจจนเท้าไม่อาจยืนได้อย่างมั่นคง ร่างที่อยู่บนหลังนางก็ถลาไปไกลลิ่ว และไถลลงไปในช่องน้ำแข็ง
ในวินาทีนั้น เจียงจั้นได้แต่ยืนอึ้ง
ในเมื่อน้ำแข็งแตกจากด้านหน้า ซึ่งไม่มีใครเดินนำหน้าเขา แต่แล้วเป่ยฉีจวิ้นจู่ที่ถูกหามบนหลังซึ่งอยู่ด้านหลังเขาอีกทีตกลงไปได้อย่างไร
กองขบวนยาวเหยียด เหตุไฉนถึงต้องเป็นเป่ยฉีจวิ้นจู่คนเดียวที่ตกลงไป
เมื่อความตะลึงงันผ่านพ้นไปแล้ว เจียงจั้นรีบปลดเครื่องแบบหนักอึ้ง และกระโจนลงไปในช่องน้ำแข็ง
“ท่านแม่ทัพ…” บรรดานายทหารที่เชื่องช้ากว่าจังหวะหนึ่งตะโกนเรียกด้วยความร้อนรน
ภายใต้แผ่นน้ำแข็ง กระดูกทุกส่วนของหลูฉูฉู่ถูกห่อหุ้มด้วยความเย็นยะเยือกในเวลาอันรวดเร็ว ร่างทั้งร่างพลันแข็งทื่อ นางส่งเสียงครวญคราง
นางกะแล้วเชียวว่าความซวยนี่นี้เป็นของนาง!
นางมีวิชาติดตัว หาใช่สตรีร่างเล็กบอบบาง เดิมทีไม่จำเป็นต้องให้ผอจื่อแบกนางข้ามน้ำ แต่เพราะนางรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดวงอาภัพ
แล้วผลล่ะ?
หลูฉูฉู่ก่นด่าในใจ แต่จากประสบการณ์ทำให้นางเม้มปากสนิท และปล่อยร่างกายเบาสบาย
เพราะเมื่อทำเช่นนี้อาจต่อลมหายใจได้นานขึ้นอีกหน่อย
นางว่ายน้ำเป็น เพียงแต่ตกลงมาโดยมิทันได้ตั้งตัว อีกทั้งน้ำในแม่น้ำยังเย็นเยือกทิ่มกระดูก ทำให้นางไม่อาจพาตัวเองขึ้นจากน้ำได้
มือใหญ่คว้าเข้าที่ข้อมือของหลูฉูฉู่ และดึงร่างของนางขึ้นไป
หลูฉูฉู่โล่งใจ นางปล่อยร่างให้ลอยขึ้นไปอย่างนั้น
เจียงจั้นสงสัยหนักกว่าเก่า
คนที่ตกลงไปในช่องน้ำแข็งแล้วยังนิ่งอยู่ได้มีให้เห็นน้อยนัก
จากที่เห็นเป่ยฉีจวิ้นจู่ดูมิใช่พวกที่มีคุณลักษณะโดดเด่น
เมื่อส่งหลูฉูฉู่ขึ้นไปแล้ว ร่างของเจียงจั้นกับแข็งสะท้าน โชคดีที่พลทหารเข้ามาช่วยกันดึงเขาขึ้นไป
กองขบวนขึ้นมาที่ฝั่งอีกด้าน เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง การเดินทางจึงหยุดชะงัก มีการตั้งค่ายก่อไฟอยู่ที่ริมทาง
แม้หลูฉูฉู่จะเปลี่ยนอาภรณ์แล้ว ดื่มชาขิงร้อนไปแล้ว แต่ในขณะที่นั่งอยู่ข้างกองไฟ ร่างของนางกลับยังคงหนาวสะท้านอย่างช่วยไม่ได้
ฝ่ายเจียงจั้นเองก็ไม่ต่างกัน เขาเปลี่ยนอาภรณ์และนั่งห่างออกไปไม่ไกล บุรุษหนุ่มถูกฝ่ามือสองข้างรับไออุ่น ปากที่เปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำสั่นระริก
มารดามันเถอะ หนาวขนาดนี้ หากใครสั่งให้ไปส่งคนอีก เขาจะคิดบัญชีให้หมด!
หลูฉูฉู่มองไปที่เจียงจั้น และกล่าวจากใจจริง “ขอบคุณแม่ทัพเจียงที่ช่วยข้า”
เจียงจั้นกลับไปเป็นฝ่ายรู้สึกละอายใจ “เป็นเพราะข้าไม่ได้ดูแลจวิ้นจู่ให้ดีเอง”
ก็เรื่องเกินคาดปานฉะนี้!
เขาคิดว่าเป่ยฉีจวิ้นจู่จะโกรธขึ้ง โทษที่เขาเหยียบแผ่นน้ำแข็งแตกแต่กลับมิใช่คนที่ตกลงไป หรืออาจจะโมโหในฐานะที่เขาเป็นผู้ดูแลกองขบวนคราวนี้ ไม่คิดว่าเป่ยฉีจวิ้นจู่จะใจกว้าง ไม่ยกเรื่องนั้นขึ้นมาพูด
ความประทับใจเลวร้ายที่เจียงจั้นมีต่อหลูฉูฉู่ค่อยๆ เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
“ตอนนี้เจ้าคงรู้แล้วใช่หรือไม่” หลูฉูฉู่เอ่ยเสียงเรียบ
“รู้อะไร”
หลูฉูฉู่ยิ้มขมขื่น “ข้าโตมาจนป่านนี้ แต่มีแค่สองปีในต้าโจวเท่านั้นที่ชีวิตของข้าราบรื่น ครั้นถูกจับได้และถูกส่งตัวกลับ ขนาดเท้ายังมิทันเหยียบเขตแดนเป่ยฉี ความโชคร้ายของข้าก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว…”
เจียงจั้นฟังที่หลูฉูฉู่สาธยายเรื่องราวตั้งแต่เด็กจนโต และได้แต่นิ่งอึ้ง
นี่…นี่มันน่าอนาถเสียเหลือเกิน
มิใช่เรื่องง่ายเลยที่สตรีผู้มีโชคชะตาพลิกผันรอดชีวิตมาได้จนถึงป่านนี้
“นี่คือสาเหตุที่จวิ้นจู่อยากจะหนีอย่างนั้นหรือ”
หลูฉูฉู่หัวเราะเยาะกับตัวเอง “หากมิใช่แล้วจะเพราะอะไรได้เล่า แม่ทัพเจียงคิดว่าข้าเป็นเพียงเด็กสาวมิรู้ความ หนีออกจากบ้านมาเพราะอยากเที่ยวเล่นอย่างนั้นรึ”
เจียงจั้นหัวเราะแห้ง เริ่มรู้สึกเห็นใจ แต่แล้วจู่ๆ ก็ฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “จวิ้นจู่อยู่ที่เป่ยฉีแล้วมักจะประสบโชคร้าย แต่หากปรารถนาจะย้ายไปอยู่ที่อื่นจริงๆ ก็มิใช่เรื่องยากนี่”
ตาของหลูฉูฉู่เป็นประกาย “เจ้ามีวิธีอย่างนั้นรึ”
“แต่ก็มิได้ง่ายดายปานนั้น คำโบราณว่าไว้ ออกเรือนกับไก่ก็ต้องอยู่กับไก่ ออกเรือนกับสุนัขก็ต้องอยู่กับสุนัข เจ้าก็แค่หาคนต้าโจวหรือไม่ก็คนซีเหลียงสักคนแต่งงานด้วยก็สิ้นเรื่อง ส่วนคนหนานหลานพวกนั้นก็ตัดไปได้เลย เจ้ากับน้องสี่ของข้ามีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อคนเผ่านั้นมิใช่รึ ฉะนั้นหากแต่งงานกับคนหนานหลาน นางคงลำบากใจ”
หลูฉูฉู่ชะงักไป
เจียงจั้นภาคภูมิใจในความปราดเปรื่องของตนเองจึงกล่าวต่อว่า “วิธีการนี้ดีกว่าการหนีออกจากบ้านของจวิ้นจู่มิใช่หรือ”
หลูฉูฉู่หลุดจากภวังค์ นางมองลึกลงไปบนหน้าหล่อเหลาที่ขาวซีด พลางกล่าวแช่มช้า “แม่ทัพเจียงกล่าวมีเหตุผล”
เจียงจั้นรับรู้ได้ถึงภัยที่กำลังคืบใกล้ ทว่าหาสาเหตุไม่พบ
ต้องเป็นเพราะความหนาวจึงทำให้การรับรู้พลาดไปเป็นแน่!
“หากจวิ้นจู่พักจนพอใจแล้ว เราออกเดินทางกันต่อเถิด”
หลูฉูฉู่มองไปที่เจียงจั้นส่งยิ้มบางเบา “อื้อ”
เจียงจั้น “…” เหตุใดถึงได้รู้สึกว่ามีเรื่องน่ากลัวกำลังจะเกิดขึ้น
หลูฉูฉู่ขึ้นไปบนรถม้า นางนั่งพิงพนังพลางหัวเราะแผ่วเบา
หากได้แต่งงานอยู่ที่ต้าโจว นางก็จะได้อยู่ที่นั่นตลอดไป และไม่แน่ว่านางอาจจะได้เป็นคนดูแลร้านน้ำหอมลู่เซิงเซียงต่อก็เป็นได้
เมื่อหวนคิดถึงข่าวลือเหล่านั้น นางก็ได้แต่สงสัย นางเป็นคนดูแลร้านลำดับที่สอง แต่กลับมาบอกว่านางเป็นหุ้นส่วน!
หลูฉูฉู่คิดก่อนจะแอบเลิกม่านมองออกไปด้านนอก
แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกว่าการกลับบ้านคราวนี้มิได้เลวร้ายนัก เพราะอีกไม่นานฤดูใบไม้ผลิก็จะมาเยือนเป่ยฉี