ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนพิเศษ 6 สมปรารถนา
อวี้จิ่นเสร็จจากว่าราชการ เขาใช้เวลาจัดการธุระบ้านเมืองในเวลาอันสั้นโดยมิได้สนใจคำทัดทานขอให้ฮ่องเต้ทุ่มเททำงานของเสี่ยวเล่อจื่อเลยแต่น้อย อวี้จิ่นเร่งรี่ไปหาเจียงซื่อ และสั่งให้คนไปเชิญฮองเฮาออกมาเดินเล่นที่อุทยานบุปผา
ในอุทยานบุปผาเต็มไปด้วยชีวิตชีวา หมู่บุปผาบานสะพรั่งทุกแห่งหน
อวี้จิ่นเดินไปและกล่าวกับเจียงซื่อไปพลาง
เหล่าข้าหลวงและนางกำนัลที่เดินตามอยู่ไกลๆ มองดูฮ่องเต้และฮองเฮาด้วยความประหลาดใจ
“อาซื่อ ข้ามีเรื่องที่ต้องบอกกับเจ้า”
“เรื่องอะไรรึ” เจียงซื่อหันหน้ามาส่งยิ้มพลางถาม
อวี้จิ่นมองซ้ายมองขวาก่อนจะกล่าวเสียงเบา “ดูเหมือนเรื่องพี่ใหญ่ของเจ้ากับหย่งชังปั๋วออกจะ…”
เจียงซื่อหยุดชะงักโดยพลัน “ทำไมรึ”
อวี้จิ่นจ้องลึกเข้าไปในตาของเจียงซื่อ ถอนหายใจ “โชคดีที่ตอนนั้นข้าเป็นคนมุ่งมั่นในอุดมการณ์ (หน้าหนา ไร้ยางอาย)”
ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าจะได้แต่งงานกับอาซื่อที่มีนิสัยเชื่องช้าได้เมื่อไหร่
“ข้าเดาว่าหย่งชังปั๋งชอบพี่ใหญ่ของเจ้า หลายปีมานี้ที่เขายังไม่แต่งงานคงเป็นเพราะพี่ใหญ่ของเจ้า”
เจียงซื่อตะลึง “เจ้าหมายถึงพี่เซี่ยอย่างนั้นรึ”
อวี้จิ่นหัวเราะเสียงเย็นด้วยท่าทีไม่ยี่หระ
เสียแรงที่เขาเคยเฝ้ากังวลเกี่ยวกับ ‘พี่เซี่ย’ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นแค่ตาทึ่มคนหนึ่ง
ไม่มีทางเลยที่คนเช่นนี้จะได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองชอบพอ
“ข้าดูไม่ออกเลยสักนิดว่าพี่เซี่ยชอบพี่ใหญ่ของข้า จะเป็นไปได้จริงหรือ…” เจียงซื่อสั่นหัวด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
อวี้จิ่นหัวเราะ “แล้วทำไมจะเป็นไปไม่ได้ เขาก็มิได้อายุน้อยกว่าพี่ใหญ่ของเจ้ามากมาย จะเกิดความรู้สึกเช่นนั้นบ้างมิได้เลยรึ”
เจียงซื่อรำพึง “ข้าแค่ไม่เคยคิดมาก่อน”
เมื่อทบทวนอย่างถี่ถ้วน พี่ใหญ่อายุมากกว่าพี่เซี่ยเพียงสามปี ฉะนั้นก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย
“แล้วพี่ใหญ่…”
“ข้าเพิ่งรู้เรื่องนี้มาจึงมาเล่าให้เจ้าฟัง แต่สุดท้ายก็ยังต้องรอดูว่าพี่ใหญ่ของเจ้าคิดเห็นเช่นไร”
ส่วนฝ่ายชายคิดเห็นเช่นไร หึๆ ความคิดของบุรุษใหญ่จะมีความสำคัญอันใด แค่มีความคิดจะออกเรือนก็นับว่าเพียงพอแล้ว
เจียงซื่อพยักหน้าหงึกหงัก “เช่นนั้นข้าจะหาโอกาสลองถามดู”
เมื่อเรื่องเกี่ยวข้องกับความสุขของพี่ใหญ่ นางจึงต้องระมัดระวังมากขึ้น
เจียงซื่อมิได้ทำตัวกระโตกกระตาก นางรอให้เจียงอีเข้าวังมาเยี่ยมนาง และแสร้งทำเป็นยกประเด็นนี้ขึ้นมากล่าวโดยมิได้ตั้งใจ “พี่ใหญ่ ข้าได้ยินมาว่าหมู่นี้หัวกระไดที่จวนไม่แห้งเลย”
เจียงอีหน้าแดง ปราดตามองไปที่น้องสาว “คนอื่นพูดข้าก็อุตส่าห์ปล่อยผ่าน แต่กลายเป็นว่าเจ้ากลับมาล้อข้าเสียอย่างนั้น…”
เจียงซื่อดึงมือเจียงอีมาจับไว้ “พี่ใหญ่ พี่มีผู้ใดในใจหรือไม่ พี่ยังสาว หากมีผู้ใดในใจก็อย่าปล่อยให้ตัวเองต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้เลย”
ในหัวของเจียงอีปรากฏเงาภาพของใครบางคน นางเม้มปากแน่น “น้องสี่ หยุดล้อเลียนข้าได้แล้ว ข้ารู้สึกว่าชีวิตตอนนี้ก็ปกติสุขดีอยู่แล้ว”
เจียงซื่อรับรู้ได้จากท่าทีที่เปลี่ยนไปของเจียงอี จึงแสร้งถามเอาเสียดื้อๆ “พี่ใหญ่คิดว่าพี่เซี่ยเป็นอย่างไร”
เจียงอีเสียอาการเพียงชั่วแล่นก่อนจะปรับท่าทีให้เป็นปกติ นางกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “น้องสี่อย่าทำให้น้องเซี่ยต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงไปด้วยเลย”
เจียงซื่อเขย่ามือของเจียงอี และกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “พี่ใหญ่ พี่อย่าเอ่ยวาจาเช่นนั้นเลย เราเป็นพี่น้องกัน พี่ช่วยพูดสิ่งที่ตัวเองรู้สึกกับน้องสาวมิได้หรือ”
เจียงอีเงียบงันชั่วขณะหนึ่ง ค่อยๆ ชักมือออก และกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง “ในเมื่อน้องสี่ถาม งั้นข้าก็จะบอก ข้ากับน้องเซี่ยไม่เหมาะกันเลยสักนิด เขาคือหย่งชังปั๋ว ส่วนข้าเป็นประหนึ่งพืชน้ำลอยล่องที่กระเตงบุตรสาวกลับมาอยู่ที่เรือนของมารดา หากข้าแต่งงานกับเขา เขาคงจะถูกเยาะเย้ย ฉะนั้นแล้วข้าไม่อยากให้น้องเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก”
เจียงซื่อได้ฟังแล้วปวดใจ จึงเอ่ยแผ่วเบา “แล้วความรู้สึกของพี่ใหญ่เล่า”
เจียงอียิ้มอย่างขมขื่น “เจ้าเนี่ยนะ ความรู้สึกของข้าจะสำคัญอะไร”
ในเมื่อฟ้ากำหนดชะตามนุษย์ สรรพสิ่งล้วนไม่จีรัง ฉะนั้นแล้วใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่ได้ใช้ชีวิตดั่งที่ตนปรารถนา
มิใช่ทุกคนที่จะโชคดีอย่างน้องสี่
เจียงอีรีบบอกลา
เวลาย่ำค่ำ เจียงซื่อเอนกายพิงอวี้จิ่นพลางกล่าว
“วันนี้พี่ใหญ่เข้ามาที่วัง ข้าถามความจากนางแล้ว ทว่าพี่ใหญ่ไม่คิดจะแต่งงานใหม่”
“แล้วนางมิได้มีใจให้เซี่ยอินโหลวเลยรึ”
เจียงซื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าเดาว่าพี่ใหญ่รู้สึกดีต่อพี่เซี่ย แต่ถึงอย่างไรพี่เซี่ยก็เป็นคนที่เพียบพร้อมไปเสียทุกด้าน…”
“หื้ม?” อวี้จิ่นเลิกคิ้วเย็นชา
เพียบพร้อมไปเสียทุกด้าน? คนโง่ที่ไม่มีปัญญาแต่งเมียน่ะหรือ
เจียงซื่อเห็นไหน้ำส้มสายชูมาแต่ไกล จึงรีบหันไปหอมแก้มชายหนุ่มฟอดหนึ่งพลางกล่าวพอเป็นพิธี “แต่แน่นอนว่าดีสู้อาจิ่นไม่ได้เลย”
แม้จะกล่าวพอเป็นพิธี แต่แววตาของอวี้จิ่นก็ยังยิ้มร่า แผ่นน้ำแข็งเมื่อครู่มลายหายสิ้น
“พี่ใหญ่เจอคนไม่ดี ชีวิตจึงพบเจอแต่ความขมขื่น ข้าก็ไม่อยากต้องเห็นนางโดดเดี่ยวไปชั่วชีวิต ไว้ข้าจะลองเกลี้ยกล่อมนางอีกที หวังว่าสักวันนางจะยอมเปิดใจรับพี่เซี่ย”
สักวัน?
สักวันนี่วันไหน กว่าจึงวันนั้นก็สายเสียแล้ว
เช้าวันถัดมา อวี้จิ่นเรียกเซี่ยอินโหลวมาเข้าเฝ้า
เขามิได้เยิ่นเย้อ ตรงเข้าประเด็น “หย่งชังปั๋วชอบพี่สาวของฮองเฮาใช่หรือไม่”
เซี่ยอินโหลวได้ยินดังนั้นก็ลนลานการใหญ่ รีบคุกเข่าโดยพลัน “นั่นเป็นเพียงความปรารถนาของกระหม่อมฝ่ายเดียว ขอฝ่าบาทโปรดอย่าเข้าใจคุณหนูใหญ่เจียงผิดเลยพ่ะย่ะค่ะ…”
“คุณหนูใหญ่เจียง?” อวี้จิ่นหัวเราะ “เอาเถิด เจ้ากลับไปเถิด แล้วอย่าได้คิดเพ้อเช่นนั้นอีก”
หากเจ้าคนโง่ผู้นี้ชอบอาซื่อ แค่ใช้นิ้วเท้านิ้วเดียว หัวของเขาก็หลุดออกจากบ่าแล้ว เสียแรงที่เขาแสดงท่าทีหวงก้างในตอนแรก
“กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเซี่ยอินโหลวจากไปแล้ว อวี้จิ่นก็หันไปสั่งเสี่ยวเล่อจื่อ “ไปนำราชโองการที่ข้าวางไว้บนชั้นสามของชั้นวางตำรามาให้ข้า และนำราชโองการพระราชทานพิธีสมรสไปถ่ายทอดให้ทั้งสองจวน”
ดวงตาของเสี่ยวเล่อจื่อเบิกกว้าง
ฝ่าบาทด่วนตัดสินพระทัยเช่นนี้ ไม่ต้องปรึกษาฮองเฮาก่อนเลยรึ
แม้ในใจจะคิดเช่นนั้น แต่ก็ไม่กล้าค้าน เขารีบไปตามรับสั่ง
เซี่ยอินโหลวที่กลับมาถึงจวนเก็บตัวอยู่ในห้องตำรา จิตใจสับสนว้าวุ่นเกินจะกล่าว
ฝ่าบาททรงล่วงรู้ความรู้สึกของเขาได้อย่างไร
เมื่อฝ่าบาททรงทราบ เช่นนั้นน้องเจียงสี่ก็ต้องทราบ
เจียงอีไม่ยอมแต่งงานกับเขา หากฮ่องเต้และฮองเฮาทราบเข้าคงนำพาเรื่องกลุ้มใจมาให้นางเป็นแน่…
เสียงเคาะประตูรีบเร่งดังขึ้น “นายท่าน มีราชโองการส่งมาขอรับ”
เซี่ยอินโหลวตกตะลึง รีบเดินออกไปรับราชโองการ
นี่มันราชโองการพระราชทานพิธีสมรส
จนกระทั่งผู้นำสารจากไปแล้ว เซี่ยอินโหลวได้แต่กอดราชโองการอย่างเหม่อลอย
ฝ่าบาทรับสั่งให้เขากับเจียงอีแต่งงานกันงั้นรึ
พ่อบ้านที่ยืนอยู่ข้างๆ ขานเรียกอย่างระมัดระวัง “นายท่าน?”
เหตุไฉนฝ่าบาทถึงได้เลือกสตรีที่เคยแต่งงานมาแล้วให้กับนายท่าน เขากลัวเหลือเกินว่านายท่านจะค้านราชโองการ!
เซี่ยอินโหลวลุกพรวด สับเท้าวิ่งออกไปไวว่อง
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น จวนเจียงก็ได้รับราชโองการเช่นกัน
เจียงอันเฉิงมองใบหน้าซีดเซียวของบุตรสาวคนโตแล้วรู้สึกปวดใจ ประกอบกับความรู้สึกโกรธเคืองที่บุตรเขยคนรองด่วนตัดสินใจเช่นนี้ “อีเอ๋อร์เจ้ามิต้องกังวลไป ฝ่าบาทมิอาจบังคับขู่เข็ญเจ้า เดี๋ยวข้าจะเข้าไปที่วังหลวงเอง!”
เขาจะไปฟ้องลูกสาวคนเล็ก!
เจียงอีรีบคว้ามือเจียงอันเฉิงและเอ่ยงึมงำ “ท่านพ่อ กษัตริย์ตรัสแล้วมิคืนคำ เช่นนั้น เช่นนั้นก็ปล่อยไปตามนั้นเถิด…”
“จะปล่อยได้อย่างไร…” เจียงอันเฉิงเดือดดาล แต่แล้วกลับสังเกตเห็นว่าแก้มของบุตรสาวคนโตค่อยๆ แดงระเรื่อ น้ำเสียงของเขาจึงเปลี่ยนไป “อะแฮ่ม หากข้าคัดค้านรับสั่งของฝ่าบาท น้องสี่ของเจ้าคงลำบากใจ ฉะนั้นแล้วคงต้องลำบากเจ้าแล้วล่ะ”
เจ้าหนุ่มตระกูลเซี่ยและบุตรสาวคนโตมีใจปฏิพัทธ์ต่อกัน เหตุใดเขาถึงไม่เคยรู้มาก่อน
เขาเคยไม่รู้เลยจริงๆ!
เจียงอีมองไปที่หน้าประตูใหญ่ด้วยความรู้สึกสับสน
ตอนนี้น้องเซี่ย...ไม่ เซี่ยอินโหลวคงอยู่ที่หน้าประตูใช่หรือเปล่า
ที่ด้านหน้าประตู พื้นหินบนถนนเส้นนั้นถูกน้ำฝนกัดกร่อนจนเป็นสีขาวโพลน ถนนนั้นถูกใช้เป็นทางเชื่อมระหว่างสองจวนมานานหลายปี
นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า วันหนึ่งเรือนของนางจะอยู่ทั้งฟากนี้ของถนน และฟากนู้นของถนนดุจกัน
คราวนี้ คงจะสมดั่งปรารถนาแล้วใช่หรือไม่