ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนพิเศษ 7 รักเดียว
ช่วงนี้จิ่งหมิงตี้มักจะไปชวนพระพันปีหลวงเล่นหมากรุก ซึ่งหมากรุกมิใช่ส่วนสำคัญ แพ้ชนะก็มิใช่ส่วนสำคัญ แต่ที่สำคัญคือการเล่นหมากรุกต้องใช้เวลานาน นั่นทำให้เขามีเวลาถามไถ่ข่าวลือจากพระพันปี
“เจ้าเจ็ดกำลังเจอปัญหาใหญ่” จิ่งหมิงตี้วางหมากพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้ม
หวงไท่โฮ่วมองตรงไปที่จิ่งหมิงตี้
เหตุใดนางถึงได้เห็นความสะใจที่มุมปากของไท่ซั่งหวง
หวงไท่โฮ่วเอ่ยถามเสียงเรียบ “ฝ่าบาทกำลังประสบปัญหาอะไรรึ”
การที่ไท่ซั่งหวงดูสะใจปานนี้ แปลว่าคงมิใช่เรื่องใหญ่อะไร
จิ่งหมิงตี้กะพริบตา ท่าทางดูสาแก่ใจกว่าเดิม “มีขุนนางเสนอให้เจ้าเจ็ดแต่งตั้งนางสนม”
มือของหวงไท่โฮ่วที่กำลังจะวางหมากหยุดชะงัก “แต่งตั้งนางสนม?”
ฝ่าบาทที่เกรงกลัวภรรยาปานนั้นจะกล้าแต่งตั้งนางสนมอย่างนั้นรึ
ไม่สิ ฝ่าบาทที่หลงฮองเฮาชัดเจนเพียงนั้นจะยินดีแต่งตั้งนางสนมงั้นหรือ
หวงไท่โฮ่วหมดอารมณ์จะเล่นต่อ นางกำหมากในมือพลางขมวดคิ้ว “แล้วฝ่าบาททรงตอบเช่นไร”
จิ่งหมิงตี้กระตุกมุมปาก น้ำเสียงที่เปล่งซับซ้อนเกินจะกล่าว “เจ้านั่นก็สะบัดแขนเสื้อเดินหนีไปเลย”
“สะบัดฉลองพระองค์หนีไปเลยรึ” หวงไท่โฮ่วดวงตาเบิกโพลง
“ก็ใช่น่ะสิ!” จิ่งหมิงตี้ตบโต๊ะฉาดใหญ่ และกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธขึ้ง “แก้ปัญหาเช่นนี้ได้อย่างไร นี่ก็มิใช่เรื่องร้ายแรงที่จะพูดกับขุนนางไม่ได้ที่ไหนกัน หากไม่เต็มใจจะทำตามก็แค่อธิบายไปให้ชัดก็เท่านั้น อย่างมากก็แค่มีปากมีเสียงกันนิดหน่อย แต่เหตุใดถึงเดินหนีไปเช่นนี้”
ฮ่องเต้และขุนนางถกถามหยั่งเชิงและประนีประนอมเป็นปกติ การเดินหนีจะได้ประโยชน์อันใด
จิ่งหมิงตี้ยิ่งพูดยิ่งไม่พอใจ “เมื่อก่อนข้าเคยคิดว่าเจ้าเจ็ดเป็นพวกทนเก่ง ไม่คิดว่าจะหัวแข็งดื้อด้านเพียงนี้…”
แท้จริงแล้วจิ่งหมิงตี้รู้สึกอิจฉา
ยามที่ต้องเผชิญหน้ากับขุนนางที่ส่งเสียงเรียกร้องเอ็ดอึง เขาอยากจะสะบัดแขนเสื้อเดินหนีไปตั้งไม่รู้กี่ครั้ง แต่เขาเคยทำสักครั้งหรือเปล่า
แต่กลายเป็นว่าเจ้าเจ็ดกลับทำได้
หวงไท่โฮ่วชักสีหน้าเล็กน้อย “ตอนนี้จิ่นเอ๋อร์เป็นฮ่องเต้ ไท่ซั่งหวงอย่าเอ่ยวาจารุนแรงเช่นนั้นจะดีกว่า”
จิ่งหมิงตี้จ้องตาเขม็ง “เขาเป็นฮ่องเต้ ส่วนข้าเป็นพระราชบิดา เรื่องของบ้านเมืองก็ต้องฟังเขา แต่เรื่องในครอบครัวก็ต้องฟังข้า”
หวงไทโฮ่วเลิกคิ้ว “เช่นนั้นไท่ซั่งหวงมีความคิดเช่นไรกับสิ่งที่เหล่าขุนนางเสนอ”
จิ่งหมิงตี้พ่นลม “เรื่องนี้ข้าขอไม่ยุ่ง ปล่อยให้เขาแก้ปัญหาเองก็แล้วกัน ทั้งที่จริงไม่มีอะไรให้ต้องหนี ก็แค่สนองความต้องการของเหล่าขุนนางใหญ่ไปก็เท่านั้น”
คิดจะให้มีฮองเฮาแค่คนเดียวหรืออย่างไร
หรือต่อให้ไม่ถูกใจสตรีที่อีกฝ่ายหามา ก็ปล่อยไว้มองราวกับเป็นบุปผาก็มิได้เสียหาย
หวงไท่โฮ่วหัวเราะคิกคัก วางหมากตัวสุดท้าย “ชนะแล้ว”
จิ่งหมิงตี้ “…” ชนะก็ชนะไปสิ จะพูดด้วยน้ำเสียงสะใจทำไมกัน
ตั้งแต่สตรีผู้นี้ขึ้นเป็นหวงไท่โฮ่วก็ใช้อารมณ์มากขึ้นเรื่อยๆ
เหอะ เข้าก็จะสะบัดแขนเสื้อเดินหนีไปบ้าง!
จิ่งหมิงตี้สะบัดแขนเสื้อเดินหนีไป
หวงไท่โฮ่วหันไปสั่งนางในด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ปลอกองุ่นใส่จานมาให้ข้า”
……
การที่อวี้จิ่นเดินหนีไปเช่นนั้นทำให้เหล่าขุนนางใหญ่ไม่พอใจอย่างยิ่ง ต่างก็ถูมือถูหมัด ถกแขนเสื้อ เตรียมสำแดงอานุภาพให้จักรพรรดิองค์ใหม่ได้เห็นในเช้าวันรุ่งขึ้น
จะปล่อยให้ติดนิสัยลุกเดินหนีขณะว่าราชการมิได้เป็นอันขาด!
แต่ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเช้าวันถัดมา เหล่าขุนนางรวมตัวอยู่ที่หน้าประตูเฉียนชิงเพื่อรอให้เสี่ยวเล่อจื่อออกมาประกาศว่า “พระทัยของฝ่าบาททรงมิสู้ดี ขอเชิญใต้เท้าทั้งหลายกลับไปก่อนเถิด”
เมื่อเสี่ยวเล่อจื่อเดินจากไปแล้ว เหล่าขุนนางถึงได้ตอบสนอง ฝ่าบาทมิได้พระวรกายมิสู้ดี แต่เป็นเพราะพระทัยมิสู้ดี...
พระทัยมิสู้ดีพระแสงอะไรกัน!
เหล่าขุนนางกลับไปพร้อมอารมณ์ขุ่นเคือง
วันที่สาม ขุนนางที่อารมณ์เดือดปะทุจนถึงขีดสุดก็ยังไม่ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาท
เจียงซื่อมองไปที่อวี้จิ่นที่เพิ่งเสร็จจากการฝึกดาบ หัวเราะพลางถาม “วันนี้ก็ไม่ไปว่าราชการ มิกลัวว่าเหล่าขุนนางใหญ่จะรวมตัวกันรุมทึ้งเจ้ารึ”
อวี้จิ่นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก และเอ่ยอย่างเฉยเมย “จะดัดนิสัยก็ต้องทำให้เข็ดหลาบตั้งแต่หนแรก ค่อยสักสามวัน เดี๋ยวพวกเขาก็จะหายโกรธ และเฝ้ารอให้ข้าออกว่าราชการโดยเร็ว”
เป็นไปตามความคาดหมายของอวี้จิ่น เหล่าขุนนางรีบเก็บความโกรธเคืองไว้ในใจ เป็นความวิตกกังวลและร้อนใจที่เข้ามาแทนที่
จักรพรรดิองค์ใหม่ไม่เหมือนจักรพรรดิพระองค์ก่อน คงมิได้เป็นทรราชใช่หรือไม่
คนทั่วไปอาจคิดว่า หากจักรพรรดิไม่ดี พวกเขาก็แค่ล้มล้างก็สิ้นเรื่อง อย่าล้อเล่นเลย เพราะต่อให้เป็นทรราชปกครองบ้านเมือง พวกเขาก็ทำได้เพียงอดทนรับไว้
ฝ่าบาทรีบเสด็จว่าราชการเถิด เพราะหากเสด็จว่าราชการ อย่างน้อยๆ ก็พอมีหนทางช่วยได้
ไม่รู้ว่าเหล่าขุนนางต้องผิดหวังอยู่นานเท่าใด ในที่สุดจักรพรรดิพระองค์ใหม่ก็ยอมออกว่าราชการในท้องพระโรงเสียที
ในวินาทีนั้น เหล่าขุนนางแทบหลั่งน้ำตา ต่างคนต่างมองหน้ากัน ไม่มีใครกล้ากล่าวโทษเป็นคนแรก
ในที่สุดทุกสายตาจึงหยุดอยู่ที่เสนาบดีกู้
ให้คนที่มีตำแหน่งสูงสุดก็แล้วกัน
เสนาบดีกระแอมไอแผ่วเบา “ฝ่าบาท บ้านเมืองมิใช่ฉากละคร ทรงทราบหรือไม่ว่าการที่พระองค์ไม่เสด็จออกว่าราชการหลายวันส่งผลกระทบต่อขุนนางและข้าราชบริพารมากมายเพียงใด”
อวี้จิ่นได้ยินดังนั้นแล้วอยากจะกลอกตา
ตาแก่พวกนี้คิดจะหลอกเขา
แค่ไม่ออกว่าราชการแค่ไม่กี่วัน บ้านเมืองจะพังพินาศเลยงั้นรึ
ยามที่มีจักรพรรดิไม่ออกว่าราชการนานนับปี ก็เห็นพวกขุนนางพวกนี้อยู่ดีมีสุข จนบางคราวหลงคิดไปว่าตนเป็นเจ้าของบ้านเมืองที่ทำอะไรได้ตามใจนึก
อวี้จิ่นแสดงสีหน้าน้อมรับคำติ และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนสุภาพ “เสนาบดีกล่าวมามีเหตุผลยิ่งนัก เช่นนั้นก็เริ่มประชุมกันเถิด”
ไม่นานเหล่าขุนนางก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมากราบทูล
อวี้จิ่นฟังอย่างตั้งใจ ตัดสินและให้คำแนะนำอย่างเหมาะสม
เหล่าขุนนางรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง
ขอบคุณสวรรค์ ฝ่าบาทมิใช่ทรราช!
จนกระทั่งมีเสนาบดีใหญ่ผู้หนึ่งยกเรื่องแต่งตั้งนางสนมขึ้นมาอีกครั้ง
สีหน้าของอวี้จิ่นเย็นชาโดยพลัน เขาจ้องไปที่ขุนนางผู้นั้นพลางกล่าวเสียงเย็น “หลี่อ้ายชิงใส่ใจเรื่องวังหลังของข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
ขุนนางใหญ่รีบคุกเข่า ทั้งโกรธและตกใจ “กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่การแต่งตั้งพระสนมทำให้ว่านเครือของฝ่าบาทแผ่กิ่งก้านสาขา ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่อาจละเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“พอกันที!” อวี้จิ่นลุกพรวด ใบหน้าเย็นเยียบ “ข้าอารมณ์ไม่ดี จบว่าราชการแต่เพียงเท่านี้”
จักรพรรดิพระองค์ใหม่สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป ทุกสายตาหันไปมองเสนาบดีใหญ่ผู้นั้นเป็นตาเดียว
เสนาบดีผู้นั้นน้อยอกน้อยใจ “ข้าเสนอเรื่องที่ไม่ควรเสนออย่างนั้นหรือ พวกท่านจะปล่อยให้ฝ่าบาทเป็นเช่นนี้ต่อไปหรือ”
คนหนึ่งหัวเราะขมขื่น “ไม่มีใครบอกว่ามิควรเสนอ เพียงแต่ฝ่าบาทตรัสว่าให้เลิกประชุมแต่เพียงเท่านี้ก็เท่านั้น”
เรื่องนี้ไปถึงหูของจิ่งหมิงตี้ เขาอดไม่ได้ที่จะไปหาหวงไท่โฮ่วเพื่อฟังข่าวลือ “เจ้าเจ็ดคิดอะไรตื้นๆ รอดูต่อไปเถิด ออกว่าราชการอีกเมื่อไหร่ต้องมีคนพุ่งชนเสาตายให้ดูเป็นขวัญตาแน่ๆ”
หนนี้อวี้จิ่นอารมณ์ไม่ดีอยู่เป็นนาน กว่าจะกลับมาว่าราชการตามปกติได้ คราวนี้มีผู้ตรวจการผู้หนึ่งกล่าวประมาณความผิดนั้นอย่างร้อนแรงก่อนจะเตรียมวิ่งชนเสาทองคำ
องครักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่โผล่เข้ามารั้งตัวเขาไว้ได้ทัน
“ปล่อยข้า ทรราชเยี่ยงนี้กำลังจะทำลายต้าโจว!” ผู้ตรวจการกล่าวด้วยอาการคลุ้มคลั่ง
อวี้จิ่นหัวเราะเย็นชา “ก่อนที่ข้าจะขึ้นครองบัลลังก์ ฟ้าฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข แม้ในเรื่องกิจการบ้านเมือง ข้าอาจมิได้เก่งกาจเทียบเท่าไท่ซั่งหวง แต่ถึงกระนั้นก็มิเคยเกิดเหตุผิดพลาดร้ายแรง แต่ผู้ตรวจการหวังมีเป้าประสงค์อันใดถึงได้ด่วนตราหน้าว่าข้าเป็นทรราช จากที่ข้าเห็น เจ้ามิได้กำลังทำเพื่อบ้านเมืองและราษฎร แต่เจ้ากำลังทำเพื่อชื่อเสียงของตัวเองต่างหาก!”
ผู้ตรวจการอับอายจนอยากจะตายไปเสีย แต่ทว่าออกแรงดิ้นอย่างไรก็มิอาจพ้นจากพันธนาการนั้น
“องครักษ์ นำตัวผู้ตรวจการหวังไปเฆี่ยนที่หน้าประตูอู่ และนำไปขังไว้ที่คุกหลวง!”
“ฝ่าบาท มิได้นะพ่ะย่ะค่ะ!” เสนาบดีกู้นำคนอื่นๆ คุกเข่าอ้อนวอน
ทว่าแม่ทัพกลับยืนชมความสนุกอยู่เฉยๆ
ครั้นจะว่าไปแล้ว การที่เหล่าขุนนางอ้อนวอนเพื่อผู้ตรวจการหวังมากมายถึงเพียงนี้ เพราะการที่ฝ่าบาทลงทัณฑ์ผู้ตรวจการจะกระทบต่อผลประโยชน์ของพวกเขา ฉะนั้นแล้วเรื่องนี้จึงไม่เกี่ยวข้องกับการทหารของพวกเขา
เหอะๆ เขาเห็นพวกผู้ตรวจการวิ่งเต้นหาเห่าใส่หัวจนเบื่อแล้ว แต่คนพวกนี้ไม่รู้จักลดละเลย
อวี้จิ่นกวาดตามองเหล่าขุนนางที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย พลางกล่าวเสียงเย็น “พวกเจ้าอยากจะไปคุกเข่าที่หน้าประตูอู่พร้อมกันงั้นหรือ”
เหล่าขุนนางสะดุ้งโหยง
หากฝ่าบาทยืนกรานจะทำตามพระประสงค์ พวกเขาคงไม่มีทางเลือกนัก
อวี้จิ่นเย้ยหยัน “ข้าจำต้องเตือนไว้ก่อนว่า คนที่ไปคุกเข่าที่หน้าประตูอู่ทั้งหมดในวันนี้จะต้องถูกจับขังคุกหลวงทั้งหมด ข้าจะไม่ยอมให้คำกล่าวหาที่ว่าเป็นจักรพรรดิที่ทำให้บ้านเมืองล่มจมมาบงการชีวิตข้าเด็ดขาด!”
เหล่าขุนนางสบตากัน และลุกขึ้นด้วยสีหน้าคล้ำหม่น
แม้พวกเขาจะไม่พอใจที่ฝ่าบาทลงโทษผู้ตรวจการ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ฝ่าบาทว่าเป็นจักรพรรดิที่ทำให้บ้านเมืองล่มจม
เพราะหากพวกเขาเจอฮ่องเต้ที่เป็นเผด็จการจริง พวกเขาแทบจะไม่มีสิทธิ์ปริปากพูดเลยด้วยซ้ำ อีกประการหนึ่ง ในยามนี้ฝ่าบาทเองก็ยังทรงเหลือทางรอดให้พวกเขา
“เลิก” อวี้จิ่นสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป
หลังจากครั้งนี้ ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่มีขุนนางคนใดกล้ายกประเด็นแต่งตั้งพระสนมขึ้นมาอีกเลย
จนกระทั่ง ฮองเฮาทรงพระครรภ์ คนเหล่านี้ถึงได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
แต่จักรพรรดิกลับไม่เสด็จว่าราชการ
เหล่าขุนนาง “…”
เสนาบดีกู้และคนอื่นๆ ทนไม่ไหวจึงมารวมตัวกันอยู่ที่ห้องทรงพระอักษรเพื่อเกลี้ยกล่อมจักรพรรดิ “ฝ่าบาท การไม่เสด็จว่าราชการมิใช่หนทางในการแก้ปัญหานะพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงมีแผนจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“มีแผน? ข้าไม่มีแผนอะไรทั้งนั้น”
เสนาบดีกู้กลั้นใจกล่าว “ฝ่าบาท ทุกปัญหามีทางออกนะพ่ะย่ะค่ะ…”
อวี้จิ่นหัวเราะคิกคัก “เสนาบดีกู้เข้าใจผิดแล้ว ความหมายของข้าคือข้าไม่มีแผนจะแต่งตั้งนางสนม มีฮองเฮาแค่คนเดียวก็พอแล้ว”
หลายคนตกตะลึง “ได้อย่างไรกัน”
“แล้วทำไมถึงจะไม่ได้เล่า ที่พวกเจ้าทั้งหลายเป็นกังวลเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตำแหน่งราชทายาทมิใช่หรือ เช่นนั้นข้ากับฮองเฮาก็มีโอรสเพิ่มอีกสองสามคนก็ได้แล้วมิใช่รึ”
“แต่ฝ่าบาท…”
อวี้จิ่นดึงหน้า “หรือเพราะพวกเจ้าตั้งใจจะส่งบุตรสาวและหลานสาวเข้ามาในวัง เพื่อที่วงศ์ตระกูลของตัวเองจะได้ประโยชน์?”
ทั้งหมดรีบกล่าวทันควัน “กระหม่อมไม่มีความคิดเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องมันต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่ฝ่าบาทตรัสออกมาตรงๆ เช่นนี้ กะไม่ให้พวกเขาเหลือหน้าไว้บ้างเลยรึ
อวี้จิ่นหัวเราะเล็กน้อย “ข้าทราบดีว่าพวกท่านเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์ ความสำคัญที่ข้ามอบให้พวกท่านแต่ละคนมิได้เกี่ยวข้องกับสตรีตัวเล็กๆ ต่อจากนี้อย่าเอ่ยเรื่องนี้ให้ข้าต้องรำคาญใจอีก”
แต่ละคนแยกย้ายกลับไป และแลกเปลี่ยนความคิดซึ่งกันและกัน
“เอาเถิด ตอนนี้ฮ่องเต้และฮองเฮาทรงรักใคร่กลมเกลียว ช่วงที่ฮองเฮาทรงพระครรภ์และให้ประสูติพระราชโอรส หากฝ่าบาททนไม่ไหว บางทีพระองค์อาจตรัสออกมาเองก็ได้”
หลังวันประสูติพระราชโอรสองค์น้อย
“คิดไม่ถึงเลยว่าฝ่าบาทจะทรงความอดทนยาวนานเพียงนี้ คอยอีกสักสองปี ทรงเบื่อความจำเจของฮองเฮาเมื่อไหร่ค่อยว่ากันแล้วกัน”
โอรสองค์ที่สอง โอรสองค์ที่สามประสูติตามลำดับ
“ฝ่าบาทยังไม่ทรงเลือกพระสนมเลย เอาอย่างไรต่อดีล่ะ”
“หรือว่าจะรอฮองเฮาให้ประสูติองค์ชายอีกสักสองสามคนแล้วค่อยว่ากันใหม่”
“รอพระแสงอะไรเล่า องค์ชายก็ปาไปตั้งสามพระองค์แล้ว ฝ่าบาทจะแต่งตั้งพระสนมหรือไม่จะมีประโยชน์อันใด”
จะให้ส่งบุตรสาวเข้ามาที่วังเพื่อให้ฮองเฮาเด็ดหัวเล่นงั้นหรือ
เมื่อปล่อยให้ล่าช้านานหลายปี ราชสำนักจำต้องยอมรับความจริงว่าฝ่าบาทไม่ทรงยอมรับธรรมเนียมการมีนางสนม
ในช่วงเวลาเดียวกัน ข่าวนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง
มีสตรีเยาว์วัยไม่รู้เท่าไรต่อว่าด่าทอผู้เป็นสามีมักมากของตน “อยากจะมีอนุงั้นรึ เหตุใดถึงไม่สำเหนียกสถานะของตัวเองไว้บ้าง ขนาดฝ่าบาทยังทรงมีฮองเฮาเพียงพระองค์เดียว แต่เจ้ายังมีหน้ามาบอกจะมีอนุภรรยาอีกงั้นรึ ถุย เลิกฝันเสียเถอะ!”
แม้แต่เสนาบดีกู้ที่ผมงอกแทบทั้งหัวยังถูกกู้ฮูหยินไล่ไปนอนที่ห้องตำราถึงสองคืน “ไปให้อนุแก่สองคนของเจ้านวดไหล่ให้ก็แล้วกัน ข้าเมื่อยมือ”
บรรดานายท่านในเมืองหลวงต่างโอดครวญในใจ ชีวิตนี่มันไม่ง่ายเลยจริงๆ!
จิ่งหมิงตี้สูงวัยแต่ยังเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชาอิจฉาจนหน้านิ่ว และกล่าวแก่หวงไท่โฮ่วด้วยน้ำเสียงคับแค้นใจ “เจ้าเจ็ดพาฮองเฮาออกไปเที่ยวชมธรรมชาติอีกแล้ว!”
ตอนที่เขาเป็นฮ่องเต้ มีโอกาสได้ออกไปเที่ยวรับลมแค่ปีละหน แต่เหตุใดเจ้าเจ็ดถึงพาฮองเฮาออกไปเที่ยวเล่นได้
หวงไท่โฮ่วมิได้ลืมตาขึ้นมามอง “ก็ช่วยไม่ได้ เหล่าเสนาบดีกลัวว่าพระทัยฝ่าบาทจะไม่สู้ดี”
จิ่งหมิงตี้ “…”
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่นอกชานเมือง ฮ่องเต้และฮองเฮาจูงมือกันยืนอยู่ที่ยอดเขา
“อาซื่อ โลกนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาล รอเล่อเอ๋อร์โตเป็นผู้ใหญ่เมื่อไหร่ ข้าจะรีบยกบัลลังก์ให้เขา แล้วเราออกเดินทางไปดูโลกกว้างกันเถิด”
“ดี”
นิ้วมือของทั้งคู่สอดประสาน สายตาทอดยาวไปที่ภูเขาและสายน้ำเบื้องหน้า